บทที่1.1
“คือ?”
ฉันเลิกคิ้วขณะจ้องหน้าคนที่ขึ้นชื่อว่าแฟนอย่างไม่สบอารมณ์
เราสองคนเพิ่งคบกันเมื่ออาทิตย์ก่อน จริงอยู่ที่ฉันไม่ได้จริงจังกับความสัมพันธ์ในครั้งนี้สักเท่าไหร่ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ฉันก็รู้ดีว่าควรวางตัวยังไงให้เหมาะสมกับสถานะ ‘แฟน’
ผิดกับไอ้สารเลวตรงหน้าลิบลับที่กล้าทำเรื่องบัดซบลับหลังฉันกับงูพิษตัวหนึ่ง...ซึ่งเคยมีเรื่องกับฉันเมื่อสมัยยังเป็นเฟรชชี่
จบจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมันก็ไม่ได้เข้ามาจุ้นจ้าน แต่พอฉันคบกับผู้ชายคนนี้ มันก็เสนอหน้าเข้ามาเหมือนรอเวลาเอาคืนฉัน
โอเค ฉันจะไม่โทษผู้หญิงหญิงฝ่ายเดียว เพราะถ้าตัวผู้มันไม่เล่นด้วย...ทุกอย่างก็คงไม่เป็นแบบนี้
ตบมือข้างเดียวไม่ดัง เคยได้ยินประโยคนี้ไหม?
“ฟ่างฟังเราก่อนนะเว้ย...” ไอ้แฟนเฮงซวยทำท่าจะก้าวเข้ามาหาฉันในสภาพที่สวมบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียว ส่วนยัยนั่น...กำลังนั่งติดตะขอเสื้อชั้นในอย่างไม่รีบร้อน
แอบกินของชาวบ้านแล้วยังลอยหน้าลอยตา ด่าว่าเหี้ยยังสงสารเหี้ยเลย
“อย่ามาแตะตัวฉัน!” ทันทีที่ปลายนิ้วแตะโดนข้อมือ ฉันรีบสลัดออกทันทีอย่างรังเกียจ วันนี้เรามีนัดดูหนังรอบหกโมงครึ่ง ฉันแค่มาหามันที่บ้านก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมงเพราะไม่มีอะไรทำ...ไม่คิดเลยว่าจะมาเห็นภาพที่มันกำลังคั่วกับผู้หญิงคนอื่นอยู่ โชคดีจริง ๆ
“ฟ่าง คือแบบนี้...”
“หนึ่งก็บอกมันไปสิว่าหนึ่งไม่ชอบผู้หญิงเล่นตัวอะ” ฝ่ายหญิงทำเสียงดัดจริตหลังจากติดตะขอเสื้อชั้นในเสร็จ ระหว่างนั้นฉันลองสำรวจไปรอบ ๆ ห้อง เห็นถุงยางใช้แล้วตกอยู่ข้างเตียง... “ก็ฟ่างไม่ยอมหนึ่งเองไม่ใช่เหรอ เขาก็เลยต้องมาทำแบบนี้กับเราไง”
ไม่จริงใจไม่ว่านะ แต่การให้เกียรติซึ่งกันและกันมันเป็นพื้นฐานที่คนเป็นแฟนกันควรจะมี
ถ้าหากแค่นี้ยังทำไม่ได้ ก็เลิกให้มันจบ ๆ ไป หลังจากนั้นจะเอากับใครฉันก็ไม่แคร์แล้ว
“ทำไมเธอพูดแบบนั้นวะ!!” ไอ้แฟนเฮงซวยหันไปตะคอกฝ่ายหญิงหน้าแดงก่ำ ฉันไม่ขอเอนเอียงไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งแล้วกัน เอาเป็นว่าหลักฐานมันคาตา ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้เปลืองน้ำลายอีกแล้ว “ฉันยังไม่ได้พูดเลยนะว่า...”
“หนึ่งพูด! หนึ่งบอกเราว่าฟ่างไม่ยอมนอนด้วยก็เลยเบื่อไง โอ๊ย!” ฉันไม่รอให้ยัยนั่นพล่ามจบก็เดินเข้าไปกระชากเส้นผมยาว ๆ ออกแรงดึงจนใบหน้าของผู้ถูกกระทำแหงนขึ้นฟ้าตามแรงกระชาก “อะ อีฟ่าง!”
“คันเหรอ?” ฉันกระซิบเสียงเย็นขณะมองมันที่พยายามปัดป้อง สักพักก็ฉีกยิ้มแล้วกดเสียงข้างหู “อยากได้นักก็เอาไปเลยนะ...”
กริ๊ก พูดจบก็กระชากเสื้อชั้นในของมันติดมือมา ก่อนออกไปข้างนอกไม่ลืมหันไปมองทั้งสองคนพร้อมรอยยิ้มหวานหยดย้อย “จะใส่ทำไม ยังไงพวกมึงก็เอากันต่ออยู่แล้ว”
เอ่ยจบฉันก็เดินออกมาแบบเชิด ๆ ไม่มีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ไอ้แฟนสารเลวนั่นแม้แต่นิด แค่หงุดหงิดและอารมณ์เสียเล็กน้อยตามประสา
“แม่ง...” ถึงอย่างนั้นก็อดหลุดสบถไม่ได้เมื่อเดินมาถึงจุดที่ตัวเองจอดบิ๊กไบค์คันโปรดไว้
อย่าถามถึงเสื้อชั้นในของมันนะ ก่อนออกมาฉันโยนทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว
เสนียดมือ!
ความจริงแพลนหลังจากดูหนังจบคือฉันต้องไปสุมหัวกับเพื่อนที่ 'แอลกอฮอล์' ซึ่งเป็นร้านนั่งชิลเจ้าประจำ ก็ดื่มสังสรรค์ตามประสาเพื่อนนั่นแหละ แต่พอทุกอย่างเป็นแบบนี้เห็นทีคงต้องไปตั้งแต่หัววันซะแล้วมั้ง
คิดได้ดังนั้นฉันจึงโทรหาไอ้นนท์...หนึ่งในเพื่อนแก๊งเดียวกันเพราะอยากมีคนนั่งคุยแก้เซ็ง แต่ปรากฏว่ามันไม่ยอมรับสาย ฉันจึงเปลี่ยนไปโทรหาพวกที่เหลือซึ่งก็ไม่มีไอ้ตัวไหนยอมรับสายฉันสักกะตัว
เวลาที่เพื่อนต้องการดันหายหัว ไอ้พวกบัดซบ
สุดท้ายฉันเลยต่อสายหาใครบางคนซึ่งคิดว่าผลลัพธ์คงไม่ต่างจากคนอื่น ๆ
แต่เปล่า...รอเพียงไม่นานปลายสายก็กดรับ
[โทรมามีปัญหาไร] ทั้งที่ไม่เห็นหน้าแต่รังสีความกวนตีนกลับมีทะลุปรอด
“กินเหล้ากัน” กลอกตามองบนใส่หนึ่งทีถึงค่อยเอ่ยเจตนารมณ์
[โดนผัวทิ้งแล้วชอกช้ำระกำใจไง?]
คำพูดคำจากวนประสาทพร้อมหาเรื่องของมันทำเอาอกฉันร้อนระอุยิ่งกว่าเดิม
คบกันมาตั้งแต่ปีสอง...สันดานของเพื่อนคนนี้เป็นอะไรที่ฉันโคตรไม่ชอบ มันเป็นคนที่ค่อนข้างอารมณ์ร้าย หยาบคาย ไม่ยอมคน เอาตรง ๆ นอกจากหน้าตาแล้ว...ฉันหาข้อดีไม่เจอเลย
ชื่อของมันคือ ‘ดิน’ แต่ฉันเรียกว่า ‘ไอ้ดิน’
ฉันรู้สึกไม่ชอบขี้หน้ามันตั้งแต่แรกพบ แต่เพราะเราอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เรียนสถาปัตยกรรมเหมือนกัน ไปเที่ยวกับเพื่อนกลุ่มเดียวกัน แถมห้องพักก็ยังอยู่ตรงข้ามกันอีก การเจอหน้ามันเลยเป็นเรื่องเคยชิน ซึ่งถ้าเลือกได้ฉันก็ไม่อยากรู้จักมันนักหรอกนะ
“ฉันไม่มีผัว” ฉันกระชากเสียงใส่ พอฉันอยู่ใกล้ผู้ชายคนไหนมาก ๆ มันชอบบอกว่าคน ๆ นั้นเป็นผัว งั้นเพื่อนในกลุ่มห้า – หกคนนี่ก็ผัวฉันหมดเลยถูกไหม? รวมถึงตัวมันเองด้วย “ตามเสือกเหรอ ไหนโผล่หัวมา”
ฉันว่านะ...ไอ้เงาตะคุ่ม ๆ ตรงปากซอยนั่นต้องเป็นไอ้ดินแน่ ๆ
สำหรับบางคน อาจมองว่าที่มันทำแบบนั้นเพราะเป็นห่วง แต่สำหรับฉันกลับมองว่าเป็นการสาระแนไม่เข้าเรื่องมากกว่า
แหงล่ะ มันเคยบอกว่าไม่ชอบแฟนคนปัจจุบันของฉันด้วยเหตุผลที่ว่าหน้าตาน่าหมั่นไส้
เออ แล้วใครจะไปตาตี๋ ตัวขาว สไตล์โอป้าหน้าหวาน...แต่สันดานดิบอย่างมันล่ะ!
[คำพูดคำจา เดี๋ยวต่อยร่วงเลยฟาริดา]
“กับผู้หญิงนี่ขยันปล่อยหมาออกจากปากจังนะดลภาคี” ฉันบอกแล้ว...ไอ้ดินเป็นประเภทที่ฉันไม่อยากรู้จัก “ก็เห็นเก่งแต่ปาก”
[เออ ก็เก่งนะ จะปากจะลิ้นก็ได้หมด หรือจะลองล่ะ หื้ม?]
“ไม่อยากลองอะ กลัวไม่ถึงอารมณ์”
ไอ้ดินเป็นคนแบบนี้ นอกจากความเถื่อน ทำตัวเลวไปวัน ๆ แล้ว ยังชอบพูดจาสองแง่สองง่ามกับเพื่อน ซึ่งในกลุ่มเรานอกจากฉันแล้วยังมีผู้หญิงอีกหนึ่งคนที่โดนกวนตีนมากพอกัน
แต่ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ใช่ประเภทที่จะปล่อยให้ตัวเองถูกกระทำต่ำ ๆ อยู่ฝ่ายเดียวอยู่แล้ว
[ไอ้ฟ่าง เดี๋ยวมอมเหล้าแม่ง]
“ทำไม จะมอมแล้วปล้ำฉันไง? ชอบก็บอก”
[ท้าทายเหรอ...] น้ำเสียงจากปลายสายทั้งน่าขนลุกและชวนให้ต่อยหงาย เพราะแบบนี้ไง ฉันกับมันเลยกัดกันไม่เว้นแต่ละวัน
“ท้าไปนายก็ไม่ทำ ไอ้ปอดแหก”
[อีมารร้าย...เดี๋ยวรู้กันเลย]
ติ๊ด!
ดูมัน...ด่าฉันว่าเป็นอีมารร้ายไม่พอ ยังกล้าตัดสายกันไปดื้อ ๆ อีก
‘เดี๋ยวรู้กัน’ เหรอ? เออมาสิ อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะทำอะไรฉันได้
เวลา 20:00 นาฬิกา
@แอลกอฮอล์
หลังจากเรื่องตอนเย็น ฉันตัดสินใจขับรถเล่นแก้เซ็ง พอถึงเวลาก็มาสิงสถิตที่ร้านเหล้าร้านประจำ ซึ่งแน่นอนว่าในกลุ่ม...ฉันเป็นคนแรกที่มาถึง
ขณะนั่งดื่มเหล้าปั่นและฟังดนตรีสดไปเรื่อย ๆ สองตาก็กวาดไปโดยรอบ มองทั้งคนที่นั่งดื่มอยู่ก่อนแล้วกับพวกที่เดินเข้ามาใหม่
ฉันจะไม่อะไรเลย...ถ้าหากกลุ่มที่เข้ามาใหม่ไม่ใช่พวกที่เคยมีเรื่องกับเพื่อนตัวเองเมื่อราวหนึ่งเดือนก่อน
เรื่องมันเริ่มต้นเพราะมีใครสักคนในกลุ่มนั้นเข้ามาจีบ ‘หยง’ หนึ่งในกลุ่มเพื่อนฉันด้วยวิธีที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ตอนแรกฝ่ายเราก็พูดด้วยดี ๆ นั่นแหละ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเมาแล้วเรื้อน สุดท้ายจึงตะลุมบอนกันแบบไม่มีใครยอมใคร...ดีที่ฉันรู้จักกับเจ้าของร้านเป็นการส่วนตัว เขาจึงเพียงแค่ตักเตือน ไม่ติดใจเอาความถึงขนาดแจ้งตำรวจจับ
“เฮ้ย ๆ” ภวังค์ความคิดถูกทำลายลงทันทีเมื่อหนึ่งในกลุ่มนั้นสะกิดเพื่อนให้หันมามองฉันซึ่งนั่งอยู่คนเดียวที่มุมร้าน “มาคนเดียวว่ะวันนี้ เอาไง”
จับใจความสิ่งที่พวกมันพูดไม่ค่อยได้ เนื่องจากดนตรีสดค่อนข้างดัง ด้วยเหตุผลนั้นฉันจึงลากสายตาไปอีกทาง
ทว่าไม่ทันไร พวกมันสองคนก็พุ่งตรงเข้ามาหาฉันอย่างมีจุดหมาย ซ้ำยังนั่งลงฝั่งตรงข้ามกัน...แม้ไม่อยากมองก็ต้องมองอย่างช่วยไม่ได้
“วันนี้เพื่อนไม่มาด้วยเหรอครับ”
น้ำเสียงของหนึ่งในนั้นทั้งกวนประสาทและน่าขนลุก ฉันรู้เพียงพวกมันเคยมีเรื่องกับเพื่อนตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าเรียนที่ไหน อายุเท่าไหร่ กะจากสายตาแล้วก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน
“...” ทางด้านฉันเพียงใช้นิ้วก้อยเขี่ยหูตัวเองเล่นแทนการโต้ตอบ แน่นอนว่าพวกมันคงหน้าเสียน่าดูที่ถูกเพิกเฉยจึงเพิ่มระดับความน่ารำคาญด้วยการส่งเพื่อนคนหนึ่งมานั่งข้าง ๆ ฉัน
“ถ้าวันนี้เพื่อนตัวเองไม่มา มานั่งในกลุ่มเราก็ได้นะ เดี๋ยวเลี้ยงเอง” ฝั่งนั้นพยายามหว่านล้อมฉัน
หากเป็นอีหยง...มันคงยิ้มเล็ก ๆ และปฏิเสธแบบสวย ๆ ไป
แต่ฉันไม่เหมือนมัน
“ไปไกล ๆ” ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยปากไล่โดยไม่พยายามควบคุมน้ำเสียงให้นุ่มนวลหวังประณีประณอมสถานการณ์ ดังนั้นเสียงที่เล็ดลอดออกมาจึงทั้งแข็งกระด้างและขวานผ่าซาก
ทว่าเมื่อการขับไสไล่ส่งที่ฉันหยิบยื่นให้ไม่ได้ผล จึงเป็นฉันเองที่ลุกขึ้นเตรียมหนี
แต่ทว่า...
หมับ!
ไอ้หน้าด้านที่เดินมานั่งข้าง ๆ กันกลับคว้าข้อมือฉันไว้อย่างถือวิสาสะ ซ้ำยังบีบแน่นรุนแรงจนต้องหันขวับกลับไปมองอย่างเอาเรื่อง
“จะไปไหนครับ ไปนั่งดื่มกับพวกเราดีกว่า” ฉันรับรู้ได้ถึงแรงบีบบริเวณข้อมือที่เพิ่มมากขึ้นกว่าคราวแรก ความเจ็บแปลบตรงส่วนนั้นส่งผลต่อระดับอารมณ์จนต้องใช้มืออีกข้างคว้าเหยือกเหล้าปั่นที่เพิ่งกินไปเพียงนิดเดียว...สาดใส่หน้าไอ้เวรนั่นอย่างไม่ออมแรง
ซ่า!
ฝ่ายนั้นสะดุ้งด้วยความตกใจและปล่อยข้อมือฉันเป็นอิสระทันที แต่หลังจากนั้นไม่นานมันก็ถลึงตามองฉันอย่างเดือดดาล ก่อนพ่นประโยคหยาบคายออกมาด้วยโทนเสียงกัมปนาท
“มึงสาดเหล้าใส่กูเหรออีตัวดี!”
"เออ..." ฉันครางตอบโดยไม่สนความต่างของสรีระหากต้องปะทะกันจนเลือกตกยางออก
ซ้ำยังมองใบหน้าเปียกชุ่มของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดหลบเลี่ยงสายตา กระทั่งมันสาวเท้าเข้ามาใกล้แล้วกระชากคอเสื้อฉัน
เรี่ยวแรงของมันเนี่ย...มหาศาลน่าดูเลยนะ เมื่อกี้นี้รู้สึกเหมือนเท้าลอยเหนือพื้นหน่อย ๆ ด้วย
“เป็นแค่ผู้หญิง อย่ากร่างให้มันมากนะมึง!”