บทที่3.3

1108 Words
ไม่รู้ว่าเพราะเกลียด เพราะหมั่นไส้ หรืออะไรสักอย่าง ทำให้ฉันเลือกกดเข้าไปอ่านและตอบมัน Fang : ไอ้ดินคงจะฟินจนลืมฟังเสียงโทรศัพท์มั้ง กดส่งไปไม่กี่วินาที อีหยงก็อ่านอย่างรวดเร็วเหมือนรอคอยอยู่แล้ว แต่ฉันไม่ให้มันพิมพ์ตอบก็ส่งไปอีกหนึ่งข้อความ... ขณะนั้นมุมปากฉันยกขึ้นจนปรากฏเป็นรอยยิ้มร้าย Fang : อ้อ เมื่อคืนเรานอนด้วยกันไง ดีดดิ้นให้ตายไปเลยนะ สะใจดี... ฉันยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม ตอนนั้นเองที่พวกรุ่นน้องตรงหน้ายกมือไหว้ก่อนจากไปเงียบ ๆ ฉันไม่ตอบโต้และไม่พูดอะไรอีก ทำได้แค่เก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจเท่านั้น... ไม่อยู่เฉยหรอกนะ ถ้ารู้ว่าใครเป็นตัวการ ฉันไม่เอามันไว้แน่ [คืนนี้ไม่มาอ่อ?] “อือ ขี้เกียจ” ฉันตอบเสียงงัวเงียหลังตื่นมารับโทรศัพท์จากไอ้นนท์ เรื่องปกติน่ะ กลุ่มเรามักไปสิงสถิตที่แอลกอฮอล์กันแทบทุกคืน แต่วันนี้ฉันขี้เกียจจริง ๆ บวกกับไม่อยากเห็นหน้าไอ้ดินและอีหยงด้วย จึงเลือกนอนพักผ่อนอยู่หอดีกว่า [ไรวะ วันนี้เป็นไรกันหมด ไอ้เหี้ยดินก็หายหัว] ไอ้นนท์โวยวาย ฉันขมวดคิ้วทันที เมื่อเช้าอีหยงก็ส่งไลน์มาบอกว่าติดต่อมันไม่ได้ คือไรวะ... “มันกลับบ้านเปล่า” ฉันพูดถึงความเป็นไปได้ในข้อแรก “...หรือมันอาจจะกำลังตีกับใครอยู่” และนี่คือสิ่งที่เป็นไปได้ในข้อที่สอง มันเกเร ค่อนข้างหัวรุนแรงผิดกับภาพลักษณ์ จริง ๆ มันเป็นคนกวนประสาท + ขี้เล่นนั่นแหละ แต่ก็มีมุมที่ผู้หญิงไม่เข้าใจอยู่มากเหมือนกัน [มันจะไปตีกับใครวะช่วงนี้] “ไม่รู้ แค่นี้ก่อน” ติ๊ด! วางสายจากไอ้นนท์และเปลี่ยนไปโทรหาไอ้ดินทันที ปรากฏว่ามันปิดเครื่องจริง ๆ ด้วยเหตุผลนั้นฉันจึงฝากข้อความเสียงแทน “หายหัวไปไหน เพื่อนติดต่อไม่ได้” และเพื่อนที่ว่าก็หมายถึงพวกไอ้นนท์นั่นแหละ เพราะฉัน...ไม่ใช่เพื่อนไอ้ดินนับตั้งแต่วินาทีที่เราตื่นขึ้นมาบนเตียงเดียวกันแล้ว “อื้อ...” ฉันครางอย่างรำคาญเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกอดรัดจากใครสักคน มันแนบแน่นและอุ่นร้อน... กลิ่นเลือดจาง ๆ ผสมผสานกลิ่นบุรุษเพศลอยเตะจมูกทันทีเมื่อฉันรู้สึกตัว แต่เพราะความงัวเงีย จึงคิดว่าตัวเองอาจละเมอหรือโดนผีอำเลยไม่ใส่ใจ กระทั่ง... “กลับมาแล้ว แผลเต็มตัวเลย” เสียงเหมือนใครบางคนที่ฉันไม่อยากเอ่ยชื่อ แต่เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง เพราะนี่มันห้องฉัน จะมีใครหน้าไหนเข้ามาได้ล่ะ นับหนึ่งถึงสิบในใจและพยายามข่มตาหลับอีกครั้ง ทว่าอ้อมกอดนั้นกลับแนบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนร่างกายฉันขยับเข้าไปใกล้กับแผงอกแข็งแกร่ง... เสียงหัวใจหนักหน่วงจากตรงนั้นกำลังเต้นกระทบแผ่นหลังฉันดังตึกตัก เช่นเดียวกัน กลิ่นเลือดยิ่งคละคลุ้งชัดเจน... ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองฝ่าความมืดไปยังผ้าม่านตรงหน้าต่าง...ก่อนริมฝีปากจะขยับเขยื้อนเพื่อเอ่ยชื่อคนที่ตัวเองมั่นใจว่าใช่เจ้าของอ้อมกอด “ไอ้ดิน?” ที่คิดว่าเป็นหมอนั่น หนึ่ง...เสียงมันทุ้มแหบแบบมีเอกลักษณ์ สอง...ลักษณะการพูดที่ให้ความรู้สึกเหมือนเด็กน้อยแต่ยังคงความร้ายกาจ ไอ้ดินมีสองสิ่งนี้ซึ่งฉันมองว่าแตกต่างจากคนอื่น ๆ “อือ ฉันเอง” เพียะ! เมื่อได้คำตอบว่าเจ้าของอ้อมกอดคือใคร ฉันไม่ลังเลที่จะฟาดฝ่ามือเต็มท่อนแขนหนา ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งด้วยความตกใจทันที “เข้ามาในห้องฉันได้ยังไง! ไอ้เวร!” เสียงฉันสั่นมาก ที่สั่น...เพราะโกรธและตื่นตระหนก เหมือนจะโล่งใจที่ไม่ใช่โจร แต่เมื่อลองกลับมาคิดแล้ว อันตรายกว่าโจรก็มันนี่แหละ “ถามว่าเข้ามาได้ยังไง” “ก็...แอบปั๊มกุญแจไว้ตั้งนานแล้ว” แรก ๆ อ้อมแอ้ม แต่ทำไมประโยคหลังถึงดูภาคภูมิใจที่ทำเรื่องแบบนี้นัก และไอ้กอดเนี่ย มันชักจะแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนหายใจยากลำบากมากขึ้นทุกทีแล้ว บังอาจมาก ลวนลามกันไม่พอ ยังเอาสมบัติส่วนตัวของคนอื่นไปก็อปปี้ได้หน้าตาเฉยอีก! หน้าใสใจเสือน่ะไม่มีหรอก มีแต่หน้าใสใจเหี้ย ภัยสังคมสุด ๆ “กล้าดียังไง!” อยู่กับมันทีไร ฉันพูดจาแบบคนปกติแทบนับครั้งได้ “อึดอัด อย่ามากอด ปล่อย!” “มารายงานตัว” ไอ้ดินตอบ กลิ่นเลือดที่ยังลอยเตะจมูกเป็นเครื่องยืนยันว่ามันไปมีเรื่องกับใครมาจริง ๆ “มีแผลด้วย เจ็บ...” “บอกเพื่อ?” มันมีเรื่องกับชาวบ้านเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ก็เห็นได้แผล ตัวเยินกลับมาทุกที ฉันดิ้น จิกเล็บลงต้นแขนหนาอย่างไม่ออมแรง แน่นอนว่ามันเข้าเนื้อจนได้แผลตามมา ไอ้ดินกระตุกเล็กน้อย...ไม่นานจึงยอมผละออกแต่โดยดี ฉันลุกขึ้นนั่ง พลิกตัวกลับไปหามันทันที “ทำตัวไม่ได้เรื่อง ดีแต่ต่อยกับชาวบ้าน” เทศน์ซะเลย ไม่ได้เป็นห่วงนะ อยากด่าเฉย ๆ “เออ รู้ตัว” เด็กโข่งลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิพลางตอบรับฉันด้วยโทนเสียงที่สงบลงเล็กน้อย “ก็มันสะเหล่อมายุ่งของของฉันทำไม” คำว่า 'ของของฉัน' มีกลิ่นอายดุดันและแฝงไปด้วยความอำมหิต “ไร” ถามแบบไม่ได้เจาะจงนัก เพราะทุกครั้งที่ไอ้ดินมีเรื่อง เหตุผลมักแตกต่างกันออกไป จังหวะนั้นฉันตัดสินใจลุกขึ้นไปเปิดไฟ ทันทีที่ห้องสว่าง จึงได้เห็นสภาพไอ้ดินเต็มสองตา เยินจริงด้วย แต่คงไม่ตายมั้ง... “ก็แค่นั้น” ไอ้ดินตอบส่ง ๆ “ที่มาเพราะอยากบอก เผื่ออยากรู้” เจ้าของประโยคมองสบตาฉัน หากแต่ฉันเปิดประตูไล่มันทางอ้อมแล้ว ลีลาอยู่ได้ ทำไมไม่กลับห้องตัวเองสักที “ไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น ง่วง จะนอน นายทำฉันหงุดหงิดหลายเรื่องแล้วนะ” ใจจริงฉันอยากเอาไม้กวาดใกล้ ๆ มือฟาดหัวมันอีกสักครั้งให้หายแค้น แต่พอเห็นสภาพมันในตอนนี้ก็ได้แต่ปล่อยผ่าน “เป็นแผลเ” มันทำหน้าหงุดหงิดนิด ๆ เหมือนไม่ได้ดั่งใจ “ที่ห้องสำลีหมด ยาล้างแผลแม่งก็หมด” “...” “แย่เลยอะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD