“อะไรยังไงกันพ่อขุน ลูกกิ่ง ลูกขิต” นางถามทั้งสามพร้อมเดินเอามือทาบอกไปนั่งโซฟาตัวที่เหลืออยู่ หากเป็นสามีของเธอป่านนี้ขุนพิทักษ์คงโดนชกหน้าหงายไปแล้ว แต่โชคดีที่วันนี้สามีของหล่อนกลับมาจากข้างนอกช้ากว่าปกติ
เห็นทีว่าอาหารมื้อเย็นของวันนี้จะไม่อร่อยเสียแล้ว ทั้งสามคนนั่งนิ่ง
ส่วนกิ่งมณีก็ผละลุกไปนั่งข้าง ๆ กับลิขิต การที่เจ้าหล่อนไปนั่งข้างลิขิตมันช่างท้าทายหนุ่มใหญ่เหลือเกิน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งกำมือแน่นขบฟันกรามด้วยความอดกลั้น
“ว่ายังไง มันคืออะไรกันพ่อขุน” กานดาซักถามความกับทั้งสาม
“พะ...พอดีว่า...”
“ให้พี่เขาตอบลูก” กานดาเอ่ยห้ามลูกสาวตน เพราะนางอยากฟังจากปากของขุนพิทักษ์มากกว่าจากปากของกิ่งมณี
“ผมเป็นลูกผู้ชายพอครับ ผมกับน้องกิ่งเรารักกันครับ”
คำตอบของขุนพิทักษ์เล่นเอากานดายกมือทาบอก เบิกตากว้าง หันไปมองทางลูกสาวของตน เพราะนางไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเลย
“ว่ายังไงนะพ่อขุน” นางถามย้ำ
“เรารักกันครับ น้องกิ่งบอกคุณน้าไปสิว่าเรารักกัน และเราก็...”
“หุบปาก!" กิ่งมณีตะคอกชายหนุ่มแทรกขึ้นมาเสียงดัง พร้อมลุกขึ้นยืน “กิ่งจะกลับคอนโดฯ ค่ะ วันนี้คงอยู่กินข้าวด้วยไม่ได้แล้ว ขิต กลับกันเถอะ” หล่อนฉุดดึงเพื่อนให้ลุกขึ้น ลิขิตเองก็ทำอะไรไม่ถูก ยอมลุกตามแรงฉุดกระชากของสาวเจ้า
“แม่ไม่ให้กิ่งไปไหนทั้งนั้นจนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง นั่งลง ส่วนลูกขิตก็นั่งด้วยจ้ะ”
กานดากระชากเสียงสั่งลูกสาวให้นั่งลงเหมือนเดิม แต่เหมือนครั้งนี้จะไม่ได้ผล เมื่อกิ่งมณีไม่ยอมเชื่อฟัง หล่อนเดินหนีออกไปจากห้องนั่งเล่น ทำให้ลิขิตมองแผ่นหลังเล็กกับหน้าของแม่ของเธอสลับไปมาด้วยความไม่รู้จะเอายังไงดี แล้วเขาก็คิดได้
“ผมคงต้องกลับแล้วครับคุณแม่ ครั้งหน้าผมจะมาใหม่นะครับ”
เขาเอ่ยลาพร้อมยกมือไหว้แล้วรีบสาวเท้าเดินตามกิ่งมณีไป โดยไม่รอฟังคอพูดโต้ตอบของเจ้าของบ้าน การเจอกันครั้งนี้กับกิ่งมณีผู้เป็นรักแรกมันทำให้เขาช้ำและตกอยู่ในสถานการณ์สับสนวุ่นวายจนทำอะไรไม่ถูก
“คุณน้าครับ ผม...”
“น้าไม่ได้จะว่าอะไรพ่อขุนหรอกนะ แต่ที่ทำเมื่อกี้มันเกินไป เรื่องนี้น้าไม่อยากเข้าไปยุ่ง มันเป็นเรื่องของพวกเรา กิ่งเลือกทางไหนน้าก็ยินดี เพราะมันคือความสุขของลูก มันก็จริงอยู่ที่น้าอยากได้พ่อขุนมาเป็นลูกเขย แต่เมื่อใดลูกสาวน้าไม่เลือกเราน้าก็คงต้องตามใจลูก ไปเถอะ อยากตามไปง้อไปปรับความเข้าใจกันก็ไป น้าก็ไม่อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เหมือนกัน อ้อ! ลืมบอก ถ้าอยากได้ใจกิ่งขุนก็ควรจะให้เกียรติกิ่ง ไม่ใช่ทำแบบเมื่อกี้ แบบที่ทำบนโซฟาตัวที่เรานั่งเมื่อกี้ เรื่องนี้สามีน้าจะไม่รู้ ถ้ารู้พ่อขุนคงไม่ได้มาเหยียบที่นี่อีก และคงไม่ได้เจอยัยกิ่งอีก”
สำหรับกานดาแล้วปลูกเรือนต้องปลูกตามใจผู้อยู่ แม้ว่าเรือนที่อยากให้ลูกผูกสมัครปักใจพักพิงคือเรือนของขุนพิทักษ์ แต่หากเมื่อลูกสาวไม่สมัครใจรักพักพิงนางก็สุดแล้วแต่บุญวาสนาของลูกสาว เพราะอย่างไรเสียความสุขของลูกก็คือความสุขของแม่ ตอนนี้จะเป็นขุนพิทักษ์หรือลิขิตนางก็พร้อมจะยินดีกับลูกสาว หรือไม่ใช่ทั้งสองหนุ่มที่นึกถึงก็ได้ ขอแค่รักและดูแลกิ่งมณีได้ คนเป็นแม่แบบนางก็พร้อมจะส่งลูกสาวให้
“ขอบคุณครับคุณน้า และผมต้องขอโทษด้วยครับกับสิ่งที่ผมทำลงไปเมื่อกี้” เขาเอ่ยอย่างสำนึกพร้อมยกมือไหว้ “คือ...ผมลืมบอกไปว่าผม...”
“เรื่องพ่อขุนน้ารู้ทุกอย่างนั่นแหละ รู้ด้วยว่าเราเป็นพ่อหม้ายลูกติด น้าไม่ได้รังเกียจหรอกจ้ะ เพราะทุกอย่างอยู่ที่ตัวของลูกสาวน้า” นางระบายยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นอีกฝ่ายจะพูด แม้ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่นางคิดว่านางพูดเดาอีกฝ่ายไม่ผิดแน่
“ขอบคุณนะครับที่คุณน้าไม่รังเกียจผู้ชายที่มีลูกติดแบบผม”
“มันคือผลกำไรรายทาง เพราะปลายทางของคนเรายังอยู่อีกไกล ซึ่งไม่รู้เลยว่าปลายทางที่เราใฝ่หาจะมีหน้าตายังไง แต่เราก็พร้อมจะก้าวเดินไม่ใช่เหรอจ๊ะ ไปเถอะจ้ะ วันนี้น้าเหนื่อยแล้วสิ”
“ขอบคุณครับคุณน้า เดี๋ยววันหลังผมมาขอฝากท้องด้วยนะคะ วันนี้เห็นทีจะไม่ได้แล้วครับ” เขาเอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนจะลุกขึ้นไหว้ลา
“จ้ะ” นางยิ้มให้ชายหนุ่มเล็กน้อยก่อนที่ขุนพิทักษ์จะเดินจากไป เมื่อเหลือตัวคนเดียวกานดาก็ร้องเรียกให้เด็กรับใช้นำยาหอมมาให้ตน เพราะตอนนี้นางจะเป็นลมตายอยู่แล้ว
พอไปส่งลิขิตเอารถที่บริษัทของตนกิ่งมณีก็ขับรถกลับคอนโดฯ ด้วยใบหน้าบึ้งตึง
อยากโทร.และไลน์ระบายกับเพื่อน ๆ ก็ทำไม่ได้ ตอนนี้หล่อนหงุดหงิดตัวเองที่วันนี้ไม่ระวังตัวเอง ปล่อยให้ขุนพิทักษ์เอาเปรียบตนสองครั้งสองครา และครั้งที่สองแม่ของหล่อนก็มาเห็นด้วย
ผ่านไปสิบนาทีเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น กิ่งมณีขมวดคิ้วงชนกัน เพราะพิซซ่ายังไม่ได้โทร.ขึ้นมาหา แต่ว่าหล่อนสั่งบ่อยพนักงานเลยมาโดยแบบไม่โทร.มาแจ้งก็ได้ ด้วยความหิวจึงรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูโดยไม่ส่องประตูดูก่อนว่าผู้ใดกันมาเคาะหน้าห้องของตน