ทั้งสองเดินพูดคุยกันเข้าไปในบ้านด้วยท่าทางสนิทสนม แม้ไม่ได้เจอกันนาน แต่มิตรภาพที่เคยมีก็ทำให้สนิทกันได้ไม่ยากเมื่อต้องกลับมาเจอกันอีก เจ้าของบ้านนำทางชายหนุ่มไปยังห้องรับแขก พร้อมสั่งเด็กในบ้านให้เตรียมน้ำดื่มและของว่างมาให้แขกของตน
“ลูกกิ่งมีแขกมาด้วยเหรอลูกวันนี้” กานดาเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นเมื่อสาวใช้เข้าไปบอกว่าลูกสาวคนเดียวของตนมีแขกมาด้วย นางจึงวางมือจากห้องครัวออกมาดูว่าคือใคร เพราะร้อยวันพันปีกิ่งมณีไม่เคยพาใครเข้าบ้าน แถมเป็นผู้ชายเสียด้วยเนี่ยสิ
“จ้ะแม่เกด ขิต นี่แม่กิ่งเอง”
“สวัสดีครับคุณแม่” ลิขิตลุกขึ้นยกมือไหว้แม่ของหญิงที่ตนแอบรักด้วยความเคารพนับถือทันทีเมื่อสาวเจ้าแนะนำ
“สวัสดีจ้ะ ว่าแต่หน้า...”
“ขิตเขาเคยมาบ้านเราออกจะบ่อย แต่เป็นสมัยที่กิ่งเรียนมหาลัยนะคะ แม่เลยคุ้นหน้าขิต” หล่อนเอ่ยแทรกขึ้นเมื่อเห็นผู้เป็นแม่ทำท่าครุ่นคิดเหมือนจะจำอีกฝ่ายได้
“อ้อ! จำได้แล้ว ลูกขิตนั้นเอง ไปไงมาไงลูกสบายดีไหมลูก” นางเดินไปนั่งข้างลูกสาว และลิขิตเองก็นั่งกลับลงไปที่เดิมเมื่อแม่ของกิ่งมณีนั่งเรียบร้อยดีแล้ว
“ผมสบายดีครับแม่ พอดีผมเรียนจบก็กลับไปช่วยงานพ่อกับแม่ที่กระบี่เลยครับ เลยไม่ค่อยได้เข้ามาในกรุงเทพฯ เท่าไร แล้วคุณแม่ล่ะครับสบายดีไหมครับ”
“แหม! ก็สบายไปตามอายุนั่นแหละลูก วันนี้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันนะ เดี๋ยวสักพักแขกของแม่ก็จะมา ไม่ได้เจอนานลูกขิตล้อหล่อนะเนี่ย”
นางเอ่ยชมชายหนุ่มพร้อมมองหน้าของลิขิตและลูกสาวของตนสลับกันไปมาอย่างจับผิด เพราะอยู่ดี ๆ ลูกสาวก็พาเพื่อนผู้ชายเข้าบ้าน แม้จะรู้ดีว่าลิขิตนั้นเป็นเพื่อนสมัยเรียน แต่สายตาของชายหนุ่มเวลามองลูกสาวของนางนั่นมันไม่ใช่แค่เพื่อนแน่นอน นางยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ
“คุยกันไปก่อนนะลูก ๆ แม่ขอไปทำมื้อเย็นก่อนนะจ๊ะ ลูกกิ่งลูกมีอะไรก็คุย ๆ กับลูกขิตไปนะ อยากทำอะไรก็ทำเลย คานน่ะมันสูง อยู่นานมันไม่ดี” คำพูดทิ้งท้ายของผู้เป็นแม่ก่อนจะลุกเดินจากไปทำเอากิ่งมณีขมวดคิ้วเป็นปมทันที เมื่อรู้แล้วว่าผู้เป็นแม่นั้นคิดอะไรอยู่และกำลังเข้าใจผิดเรื่องของตนกับลิขิต
“กิ่งขอโทษแทนแม่ด้วยนะขิต”
“ไม่เป็นไรหรอกกิ่ง แล้วถ้าขิตจะขอกิ่งเป็นแฟน กิ่งจะว่าอะไรไหม” เมื่อโอกาสไม่ได้มีมาบ่อย ๆ เขาจึงเอ่ยขอสาวเจ้าเป็นแฟนทันที พร้อมถือวิสาสะเอื้อมไปคว้ามือเล็กมาบีบกุมเบา ๆ เพื่อรอคำตอบ
มือเล็กยอมให้ชายหนุ่มจับแบบไม่ขืน หล่อนสบตาของลิขิตก่อนจะขยับปากพูด
“คือขิต...” กิ่งมณียังพูดไม่ทันสุดความก็มีเสียงแทรกเข้ามา
“ปล่อยมือเมียผมด้วยครับ” น้ำคำสุภาพแต่กระแสเสียงที่ส่งมามันช่างห้วนและกระด้างเหลือเกิน พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของหนุ่มใหญ่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้ามาหาทั้งสองที่นั่งอยู่
ลิขิตหันไปมองทางต้นเสียงแต่มือยังคงจับมือของกิ่งมณีไว้แน่น และเจ้าของมือก็ไม่ได้ว่าอะไร ยอมให้อีกฝ่ายจับอย่างไม่รังเกียจและเต็มใจให้เขาจับ
“เอ๊ะ! คุณคือโรคจิตที่ตามกิ่งใช่ไหมครับ” ก่อนจะถูกลากดึงไปยังรถเขาได้หันไปมองทางชายแปลกหน้าผู้มาใหม่และจำได้ว่ากิ่งมณีบอกว่าเขาเป็นโรคจิตที่ตามหล่อน
“เหรอกิ่ง พี่ไปเป็นโรคจิตตั้งแต่เมื่อไรกันฮึ!" เขาเลิกคิ้วถามคนตัวเล็กที่ยังไม่ยอมดึงมือตัวเองออกจากมือของชายอื่น เขาเดินก้าวยาว ๆ ไปนั่งบดเบียดโซฟาตัวเดียวกับหญิงสาวและยกแขนขึ้นตวัดโอบไหล่มนพร้อมตบไหล่เธอแรง ๆ ให้รู้สึกเจ็บ
ตุ๊บ! ตุ๊บ! ตุ๊บ!
"หึหึ"
กิ่งมณียิ้มขำเอี้ยวหันมามองเอาเรื่องคนนั่งเบียดตน พร้อมดึงมือออกมาจากมือของลิขิตเพื่อมาผลักดันร่างใหญ่ที่บดเบียดตนให้ถอยไปห่าง ๆ ตน
“เอามือออกค่ะ” บอกพร้อมกับเอามือยกท่อนแขนแข็งแรงออกจากไหล่ของตนออก พร้อมลุกขึ้นจะหนี แต่ก็ต้องร้อง "ว้าย!"
หล่อนล้มเสียหลักไปอยู่บนตักของขุนพิทักษ์เป็นครั้งที่สองของวันนี้อีกครั้ง มือเล็กพยายามแกะมือใหญ่ที่รัดคลึงเอวของหล่อนไว้พร้อมกับหยิกแรง ๆ แต่เขาก็ยังนิ่ง
“บอกผู้ชายคนนี้ไปสิว่าเราเป็นอะไรกัน ทำไมโกหกแบบนี้ หัดเป็นคนโกหกตั้งแต่เมื่อไรน้องกิ่ง” เขาเอ่ยกระซิบหล่อนไม่เบานัก เพราะลิขิตเองก็ได้ยิน และลิขิตยิ่งเจ็บปวดเมื่อชายผู้มาใหม่กำลังซุกซอกคอระหงของกิ่งมณีต่อหน้าต่อตาของเขาโดยที่ไม่แคร์สายตาใครเลย
“พ่อขุนมาแล้วเหรอจ๊ะ ว้าย!" ทันทีที่เด็กไปบอกว่าขุนพิทักษ์มากานดาก็รีบเดินออกมาจากครัวเพื่อมาต้อนรับชายหนุ่ม แต่พอเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นกลับเห็นภาพที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เจอ
ด้านกิ่งมณีนิ่งตัวเกร็งมองหน้าแม่และขุนพิทักษ์เองก็เช่นกัน ผละใบหน้าออกห่างจากลำคอระหงแล้วหันไปมองผู้มาใหม่เช่นกัน
“อะไรยังไงกันพ่อขุน ลูกกิ่ง ลูกขิต” นางถามทั้งสามพร้อมเดินเอามือทาบอกไปนั่งโซฟาตัวที่เหลืออยู่ หากเป็นสามีของเธอป่านนี้ขุนพิทักษ์คงโดนชกหน้าหงายไปแล้ว แต่โชคดีที่วันนี้สามีของหล่อนกลับมาจากข้างนอกช้ากว่าปกติ