ถงอวี้อุ้มเข้าด้านในอย่างทุลักทุเลเมื่อพ้นประตูถงอวี้วางชินจิงลงพร้อมกับความเมื่อยล้าที่ต้นแขนมาแทนที่จนอดที่จะเผลอสะบัดแขนเพื่อบรรเทาอาการเมื่อยไม่ได้ ใครกันบอกว่าชินจิงตัวเบา นางหันไปสบตาบุตรชายพร้อมกับรีบปรับสีหน้ายกมือขึ้นให้อีกฝ่ายตีมือเหมือนทุกครั้งที่ทำงานได้สำเร็จ
“เฮ้อ! ดีนะที่เจ้ามองมา ถือว่าเจ้าทำได้ดีเยี่ยม” ถงอวี้ชื่นชมชินจิงด้วยรอยยิ้มส่วนหม่าหย่งเต๋อดูจะงุนงง เพียงครู่เดียวก็เข้าใจได้ แท้ที่จริงนางไม่ได้ชอบเจิ้งไป่ซูทั้งเตรียมการกับคนในจวนนี้ไว้อยู่แล้ว
“วันนี้หลบเลี่ยงได้ วันหน้าคิดแผนใหม่”
“ขอรับท่านแม่ แต่ข้ามองเขายังไงก็ไม่เหมือนคนที่จะเอามือมาแหย่จมูกหรือหูของท่านแม่เลยนะขอรับ” เด็กน้อยพูดไปพร้อมๆ กับเดินไปที่เตียงถอดรองเท้าก้าวขึ้นไปนอนเล่น ถงอวี้เดินตามมานั่งก่อนจะเอนราบนอนลงไปอย่างคนหมดเรี่ยวแรง
“เพราะเจ้าอยู่ไงเล่าเขาจึงสงวนท่าที ลองเจ้ากับป้าหยวนไม่อยู่เขาต้องยัดนิ้วยาวน่ารังเกียจนั้นมายัดจมูกและแม่ของเจ้าแน่” ชินจิง
พยักหน้าเข้าใจนึกถึงท่าทางที่เจิ้งไป่ซูเดินเข้าไปหาแม่ของตน และหางตาเห็นนางยกมือบีบแขนอีกข้างอย่างไม่ตั้งใจ
“ท่านแม่เหนื่อยไหมขอรับ”
“ถ้าแม่บอกว่าไม่เหนื่อยก็เป็นการโกหกสินะ แน่นอนแม่เหนื่อยจะตายเช่นนั้นเจ้าต้องตอบแทนแม่แล้วกระมัง” พูดจบเด็กน้อยก็เขยิบตัวมาใกล้บีบนวดอย่างเอาใจ
“โตมาข้าจะหาเงินเลี้ยงท่านแม่ให้สุขสบาย”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ก่อนเจ้าจะหาเงินได้เจ้าต้องรู้หนังสือ หาวิชาความรู้เข้าหาตน เจ้าไม่จำเป็นต้องเก่งทุกศาสตร์แต่ต้องไม่ใช่ชายที่ด้อยปัญญา”
“ขอรับท่านแม่ ข้าจะเป็นขุนนางทำให้ท่านแม่เชิดหน้าชูตา” ถงอวี้ขมวดคิ้วมุ่นครั้นจะเอ่ยปากถามว่าขุนนางดีตรงไหน แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรอาหยวนเคาะประตูก้าวเท้าเดินเข้ามาด้านใน ทำให้นางลุกขึ้นจากเตียงปล่อยให้ชินจิงนอนเล่นอยู่บนเตียงต่อ
“คุณชายเจิ้งไปแล้วเจ้าค่ะ นี่เงินที่คุณชายมอบให้ คุณชายยังบอกอีกว่าปลาทั้งหมดมอบให้คุณหนูเจ้าค่ะ” ถงอวี้ยกมุมปากยิ้มเพราะนางคิดไว้อยู่แล้วว่าทำการค้ากับชายเจ้าชู้ย่อมไม่ขาดทุน แต่จะให้เป็นอย่างนี้บ่อยๆ ไม่ได้เพราะความอดทนของคนมีขีดจำกัด จู่ๆ อาหยวนยื่นกล่องใบหนึ่งให้ ถงอวี้รับมาเห็นว่าเป็นแป้งทาหน้านางเปิดขึ้นดมได้กลิ่นหอมอ่อนๆ แตะที่จมูก
“คุณหนู...บ่าวเป็นห่วงคุณหนูนะเจ้าคะ ดูท่าคุณชายเจิ้ง...”
“ข้ารู้แล้ว ข้ากำลังคิดอยู่อย่างน้อยอย่าทำให้ต้องขัดใจกัน พวกเรายังอาศัยจวนเขาอยู่” ถงอวี้ตอบใบหน้าครุ่นคิดพร้อมกับมองเงินที่วางอยู่บนมือพร้อมกับแป้งบนโต๊ะ จังหวะนั้นเองมีเสียงเรียกดังแว่วเข้ามาทำให้อาหยวนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
“พี่โกรธพี่สือ?”
“เปล่าเจ้าค่ะ...บ่าวแค่...บ่าว”
“เขาขอพี่แต่งงานแล้ว?” อาหยวนก้มหน้างุดเมื่อถงอวี้เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น อาสือขอนางแต่งงานเมื่ออาทิตย์ก่อน นางยังไม่ได้ให้คำตอบเพราะถ้า...ถ้านางแต่งออกไปคุณหนูจะอยู่อย่างไร
“พี่ออกไปดูเถอะ ข้าขอพักผ่อนสักนิด”
“เจ้าค่ะ”
ถงอวี้เดินมาที่เตียงอีกครั้ง เห็นว่าเด็กน้อยค่อยหลับตาสะลึมสะลือ นางส่ายหน้ายิ้มมือค่อยๆ ตบที่ขาของเขาอย่างเบามือพร้อมๆ กับที่ตนลงไปนอนเอนหลังปิดดวงตาหลับตาลงเช่นกัน
เป็นครั้งแรกที่หม่าหย่งเต๋อรู้สึกปล่อยวางจากเรื่องต่างๆ เขาหลับตาแม้จะไม่หลับก็ตาม ความรู้สึกสุขสงบมันเป็นเช่นนี้นี่เอง เขาลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับพิจารณาหญิงตรงหน้าอย่างถ้วนถี่
ยามนั้นนางไม่ได้งดงามอย่างเช่นวันนี้ นางในวันนั้นคงเป็นดอกไม้ที่รอวันผลิบาน เขาไม่เคยศึกษาเรียนรู้อะไรในตัวนางอย่างจริงจังก็ตั้งแง่รังเกียจเสียแล้ว
ที่นางยอมลงทุนคงอยากจะหนีจากตระกูลถงแต่นางว่ายน้ำไม่เป็นแล้วเหตุใดนางถึงไปอยู่ที่ริมสระบัวทั้งที่คนอื่นๆ ต่างสนุกสนานกันด้านในห้องโถงซึ่งเป็นสถานที่จัดงานวันเกิดของหลิวเหยียนเซียน ฮูหยิน ภรรยาเอกของบิดาเขา วันนั้นมีใครอยู่บ้าง? เมื่อนางว่ายน้ำไม่เป็นโอกาสที่จะนำตัวเองไปเสี่ยงกับความตายเพื่อจะได้แต่งงานกับเขา... หม่าหย่งเต๋อขมวดคิ้วมุ่นลุกขึ้นในหัวพยายามคิดใคร่ครวญ
หากเขาเป็นนางโอกาสแต่งน้อยกว่าโอกาสตาย...
“ไม่ได้ พี่หยวน...พี่จะกอดคานทองอย่างนี้ต่อไปไม่ได้” จู่ๆ ถงอวี้พลันลืมตาขึ้นมาพร้อมๆ กับเอ่ยคำพูดที่ตนเองหลับตาครุ่นคิดในใจ นางไม่ได้หลับแต่กำลังใช้ความคิด ถงอวี้ลุกขึ้นสวมรองเท้าเดินออกจากห้องอย่างไม่รีรอจนหม่าหย่งเต๋อแปลกใจไม่น้อย
อาสือนั่งสนทนากับอาหยวนที่แคร่ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ถงอวี้ลอบมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนสูดหายใจลึกเดินไปหาสองคนหน้าลานกล่าวเสียงเรียบ
“พี่สองคนเข้ามาคุยกับข้าด้านในเถอะ” สั่งการแล้วถงอวี้หมุนกายเดินกลับเข้าไปด้านใน โดยมีวิญญาณของหม่าหย่งเต๋อยืนมองด้วยความสงสัยว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่
เมื่อทั้งสองเข้ามาด้วยท่าทางประหม่า เอาแต่ยืนนิ่งจนถงอวี้ต้องเรียกให้พวกเขานั่งที่เก้าอี้ นางรอให้ทั้งสองนั่งเรียบร้อยก่อนจะเอ่ยปากออกมา
“ที่ข้าเรียกพวกพี่ทั้งสองเข้ามาเพราะมีเรื่องอยากให้พวกพี่ช่วย”
“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะคุณหนู” ถงอวี้แสดงสีหน้าเป็นกังวล
“ข้าหวังว่าพี่ทั้งสองคนจะไม่ขัดข้องและต้องเต็มใจที่จะทำด้วย”
อาหยวนและอาสือหันหน้ามาสบตากันก่อนที่จะหันมาทางหญิงสาวร่างเล็ก ถงอวี้ไม่รอให้ทั้งสองสงสัยนานจึงเปิดปากเอ่ยคำขึ้นมา
“ชีวิตคนเราจะอยู่นานสักกี่สิบปี เมื่อความสุขมาวางกองไว้ตรงหน้าจำต้องรีบไขว่คว้าเข้าหาตัวให้เต็มที่ เมื่อมีโอกาสหัวเราะก็ต้องหัวเราะให้ดังลั่น เมื่อวันเวลาผ่านไปจะได้ไม่นึกเสียใจภายหลัง พี่ว่าข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่พี่หยวน”
“เจ้าค่ะ” นางก้มหน้าหลุบตาต่ำพอเดาได้ในใจว่าคุณหนูผู้นี้กำลังจะเอ่ยอะไร
“พี่ล่ะพี่สือ?”
“ถูกต้องขอรับ” ถงอวี้ยิ้ม
“ที่ข้าพูดมาพวกพี่รู้แล้วใช่ไหมว่าข้ากำลังเป็นแม่สื่อให้พวกท่านทั้งสองคน” อาหยวนเงยหน้ามองถงอวี้ ไม่คิดว่านางจะกล้าเอ่ยออกมาตรงๆ ส่วนหม่าหย่งเต๋อได้แต่มองพฤติกรรมของฮูหยินอย่างเงียบๆ การแต่งงานต้องมีแม่สื่อแต่นางกลับเป็นแม่สื่อเสียเองน่ะหรือ
“เอาล่ะๆ พวกพี่อย่ามาทำหน้าตกใจแบบนี้ ข้าไม่รู้ว่าแต่งงานต้องใช้อะไร เตรียมตัวยังไง เรื่องนี้พี่เป็นคนรับผิดชอบ”
“แต่คุณหนู...ถ้าข้าแต่ง..." นางยังไม่ทันได้เอ่ยจนจบประโยค
ถงอวี้ก็พูดขึ้นทันที
“ข้าเพิ่งพูดกับพี่ไปเมื่อครู่นี้เอง อย่าให้ชีวิตข้าต้องเป็นตัวถ่วงและพี่อย่าคิดว่าการที่พี่แต่งออกไปแล้วข้าจะเสียผลประโยชน์ ข้าหาเลี้ยงพี่มาหลายปีแล้วต่อไปพี่แต่งกับพี่สือ พี่สองคนต้องช่วยกันทำมาหากินและเลี้ยงข้าด้วย นี่คือคำสั่ง” คำพูดที่ฟังดูคล้ายจะเห็นแก่ตัวแต่สำหรับ
อาหยวนและอาสือรู้ว่าอีกฝ่ายกล่าวมานั้นเป็นเรื่องเท็จ
“พี่สือ...พี่แต่งกับพี่หยวนคงไม่รังเกียจที่จะย้ายมาอยู่จวนเดียวกับข้าใช่ไหม?” อาสือส่ายหน้าเพราะตนเองเป็นเด็กกำพร้า อาศัยอยู่ลำพังที่จวนเก่าพุพัง วันๆ ทำแต่งานสะสมเงินไว้ยามที่ตนชราและไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้เจอสตรีที่ตนเองอยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
“ไม่ขอรับ”
“พี่อย่าคิดว่าข้าใจดี จุดประสงค์ของข้าประการแรกข้าไม่อยากเห็นพี่หยวนต้องไปอยู่ที่อื่น ประการที่สองจวนนี้มีสตรีสองชายผู้เฒ่าและเด็ก หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาข้าจำเป็นที่ต้องขอพึ่งพาพี่ในอนาคต”
“ขอรับข้าน้อยเข้าใจคุณหนูดีขอรับ” อาสือเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้น
“พี่สือไม่มีญาติผู้ใหญ่เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล ข้าจะเป็นญาติผู้ใหญ่ให้พี่หยวนแม้ข้าจะอายุน้อยกว่า ส่วนท่านตาจะเป็นญาติผู้ใหญ่ให้พี่ เรื่องสินสอด...”
“ข้าน้อยมีขอรับ” อาสือรีบเอ่ยทันที พร้อมจะหยิบเงินจำนวนหนึ่งขึ้นมาวางทว่าถูกถงอวี้ห้ามเอาไว้
“ไม่ต้อง... พี่นำเงินนี้ซื้อของให้พี่หยวนสักชิ้นและของจำเป็นต้องจะเตรียมงานแต่งส่วนเงินที่เหลือก็เก็บไว้เป็นทุนเผื่อวันหนึ่งเกิดมีลูกขึ้นมา พวกพี่จะได้ไม่ลำบาก”
“คุณหนู” อาหยวนเอ่ยเสียงสั่นน้ำตาคลอ
“เรื่องที่ข้าทำให้พี่ได้ก็มีเพียงเท่านี้ อย่าปิดกั้นตัวเองเพราะเป็นห่วงข้า เพราะนั่นจะดูเหมือนว่าข้าเห็นแก่ตัว ชีวิตคู่ของข้าไม่สมบูรณ์ ข้าหวังว่าพี่จะทำแทนข้าได้นะพี่หยวน” คำพูดของนางราวเข็มนับพันทิ่มแทงในใจ มันกระแทกหัวใจของหม่าหย่งเต๋อจนรุนแรง เขาทำให้ชีวิตสตรีด่างพร้อยโดยการทิ้งเมล็ดพันธุ์และขับไล่นางออกมาให้ลำบาก
อาหยวนน้ำตาไหลลงมาทำให้ถงอวี้ถอนหายใจ หันหน้าไปทางอาสือ “เรื่องสามภรรยาสี่อนุเป็นเรื่องที่ลึกๆ ในใจข้าไม่ชอบใจนัก” อาสือเข้าใจที่นางสื่อจึงรับเสียงมั่นใจ
“เรื่องนั้นคุณหนูไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ข้าน้อยไม่มีวันมีภรรยาอื่นนอกจากอาหยวน”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น” นางอยากจะพูดว่า ‘มีปัญญาหาเงินให้เยอะก่อนเถอะ ค่อยคิดจะมีใหม่’ แต่เพราะรักษาน้ำใจจึงเก็บงำความคิดของตนไว้ในใจ ถงอวี้เห็นอาหยวนน้ำตาซึม
“นี่! อย่ามาซึ้งเรื่องดีๆ ไม่ควรเสียน้ำตา เอาล่ะพี่หยวน พี่ก็ไปตลาดไปหาซื้อผ้ามาตัดชุด”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ บ่าวใส่ชุดของคุณหนูก็ได้”
“ชุด?”
“ชุดเจ้าสาวที่...เอ่อ...” นางกำลังจะพูดแต่ก็หุบปากลงเพราะรู้ว่าหากพูดไปคุณหนูของตนต้องน้อยเนื้อต่ำใจเป็นแน่ ทว่าถงอวี้จำไม่ได้ นางมาอยู่ในร่างนี้ก็รู้ว่าเจ้าของร่างไม่ใช่หญิงสาววัยแรกแย้มที่สามารถมองหนุ่มๆ ได้อีกต่อไป นางพยายามหาความทรงจำของเจ้าของร่างสุดท้ายก็พยักหน้ารับรู้
“พี่ช่วยเอาไปทิ้ง ไม่ๆ เอาไปขาย ชุดนั้นไม่เป็นมงคล”
“แต่ว่าคุณหนู บ่าวใส่ได้เจ้าค่ะ”
“ข้าไม่อนุญาต พี่นำชุดนั้นไปขาย ส่วนชุดหากสิ้นเปลืองก็ไม่ต้องใส่ คนเรารักกันการแต่งงานไม่ได้อยู่ที่ชุดที่สวมเข้าพิธีหรอกมันอยู่ที่จิตใจ พี่สือท่านไปหาฤกษ์มงคลมาส่วนพี่หยวนพี่รู้ดีกว่าข้า พี่ก็เตรียมของและผ้าแดงคลุมหน้าก็พอ ตกลงตามนี้แล้วกัน ข้าจะนำเรื่องมงคลนี้ไปบอกท่านตาเอง”
“เจ้าค่ะคุณหนู” อาหยวนยิ้มรับก่อนลุกไปพร้อมกับอาสือ เมื่ออยู่ลำพังในห้องโถงที่ไม่ใหญ่นักถงอวี้จึงเอ่ยออกมาอย่างมีความสุข
“ต่อไป... ก็เป็นเจ้า ข้าจะทำให้เจ้าภูมิใจที่มีข้าเป็นแม่ ชินจิง!”