หลังถงอวี้อาบน้ำชำระล้างร่างกายสะอาดแล้ว นางเงยหน้ารับน้ำจากมืออาหยวนที่ชำระล้างตัวเสร็จก่อนตน นางดื่มทีเดียวรวดก่อนจะหันมาง่วนเช็ดผมตนเองให้แห้งอีกครั้งก่อนที่จะรวบผมเพื่อไปจัดการงานของตนต่อไป
หม่าหย่งเต๋อมองถงอวี้สางผมก่อนจะรวบมันอย่างลวกๆ นางมีแป้งแต่ไม่มีชาด ไม่มีปิ่นปักผมดีๆ เพียงแต่มีไม้ที่เหลาจนเกลี้ยงกลัดผม บางสิ่งบางอย่างทำให้เขาอดสะท้อนในใจนึกถึงใครอีกคน แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสตรีของเขาแต่คนทั้งคู่ความเป็นอยู่ช่างแตกต่าง
ถงอวี้นำปลาออกมาตากแห้งยังลานบ้าน โดยมีหม่าหย่งเต๋อนั่ง
อยู่ที่แคร่พร้อมชินจิงที่นั่งเล่นอยู่ใกล้ๆ กำลังฝึกเขียนอักษรบนดินจากก้านไม้เขามองตัวอักษรที่อีกฝ่ายเขียนอย่างตั้งอกตั้งใจ จึงเอ่ยชมเด็กน้อยผู้นี้ว่ามีความพยายามและเล่าเรื่องของตนทั้งที่รู้ว่าบุตรชายผู้นี้ไม่ได้ยินเขาแน่ เขาเอ่ยอย่างสบายอารมณ์ว่าตนเองฝึกเรียนอย่างไร ท่านแม่ส่งพวกเขาสองพี่น้องไปเรียนที่สำนักการศึกษาแต่พวกเขาก็มักจะแอบหนีเรียนโดยมีเขาเป็นผู้ตื้อพี่ชายให้ออกนอกลู่นอกทาง พวกเขาแอบไปฝึกดาบจนท่านแม่จับได้คว้าไม้กวาดไล่ตีเขาสองคนพี่น้องส่วนน้องสาวได้แต่หัวเราะร่าตะโกนไล่หลังให้มารดาวิ่งไปทางนั้นทางนี้
ทว่ากาลเวลาเปลี่ยนไป หลายปีที่ผ่านมาเขาเคี่ยวกรำในการฝึกตนทั้งอ่านตำราและแอบฝึกดาบ จนเลื่อนฐานะเป็นถึงท่านผู้ตรวจการ ชีวิตหลังจากอยู่ที่นั่น... ชีวิตวัยเด็กกับยามนี้ต่างหากเล่าถึงเรียกว่าสงบ เขานอนราบแหงนหน้ามองฟ้า สายตาเหลือบตามองสตรีที่ง่วนอยู่กับการจัดเรียงเนื้อปลาตากแห้งในกระจาดสานไม้ไผ่เป็นพัก ๆ จู่ๆ ความรู้สึกถึงชีวิตที่ราบเรียบผุดขึ้นมาในทรวงอก ชีวิตคนแท้จริงแล้วก็เพียงเท่านี้ไม่ใช่หรือที่ต้องการ เขามองนางจนเพลินตาพานนึกถึงเมื่อค่ำวาน เขาเห็นนางเล่าเรื่องราวที่เขาไม่เคยฟังให้เด็กน้อยฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ นางเปลี่ยนเสียงไปมาตามชื่อของคนผู้นั้น หากเขามีชีวิตและลมหายใจคงเคลิ้มหลับเหมือนเจ้าชินจิงไปแล้ว
‘เจ้ามีความสุขไหมลูกชาย’ เขาเอ่ยถามไปอย่างนั้นเองแต่ไม่คาดคิดว่าจะมีเสียงหนึ่งตอบกลับมาคล้ายสายลม
“อืม...” เขาเหลียวหน้าไปมองแต่เด็กน้อยกลับแค่ปรายตามองกลับและหันไปสนใจกระดานพื้นดินต่อ เขาคงหูฝาดไปจริงๆ ชินจิงหรือจะเห็นเขา
“ถงอวี้...” เสียงชายหนุ่มวัยยี่สิบสามเรียกขานสตรีที่ง่วนอยู่กับงานตรงหน้า ทำให้ทั้งนางและหม่าหย่งเต๋อเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงพร้อมกัน
ชายรูปร่างสมส่วนสวมชุดผ้าเนื้อดีสีแดงสดมือถือพัดโบกไปมา ดวงตาเป็นประกายยิ้มตาหยีเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสืบเท้าก้าวเข้ามายังลานกว้างทั้งที่เจ้าของจวนอย่างถงอวี้ยังมิเอ่ยปากเชื้อเชิญ
หม่าหย่งเต๋อมองผู้มาเยือนอย่างไม่พอใจนักทว่าเขากลับทำอะไรไม่ได้นอกจากฟังและจ้องมองตาเขม็ง
“คุณชายเจิ้งมาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” เขาโบกพัดไปมายิ้มหวานส่งให้หญิงหม้ายใบหน้างดงาม เขาไม่นึกรังเกียจที่นางสามีตายทั้งยังมีลูกติด เขายินดีที่จะให้เด็กนั่นเรียกเขาว่าบิดาเพียงนางยินดีพร้อมใจเป็นภรรยาเรื่องภายหน้าเขาจะยืดอกรับแทน
“ข้าแวะมาดูว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง จวนนี้อยู่สบายหรือไม่” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยถามเจือความห่วงใยพร้อมก้าวเท้าเดินเข้ามา ถงอวี้สืบเท้าถอยหลังอย่างแนบเนียนมือง่วนอยู่กับปลาที่ตนกำลังทำอยู่
“อยู่สบายดีเจ้าค่ะ เป็นบุญของข้าแท้ๆ ที่ทำให้คุณชายเจิ้งแวะมาที่จวนจนเห็นว่าข้าน้อยกำลังเดือดร้อน”
“แล้วนี่เจ้ากำลังตากปลาอยู่หรอกหรือ ให้ข้าช่วยไหม”
“ไม่ดีกว่า ประเดี๋ยวกลิ่นปลาจะติดกายคุณชายเจิ้งเสียเปล่าๆ แค่คุณชายเจิ้งมาเยี่ยมเยียนผู้เช่าข้าก็รู้สึกดีใจแล้ว พี่หยวน...” ถงอวี้ตะโกนเรียกอาหยวนที่เดินออกมาพอดี นางรีบสาวเท้าเข้ามา
“พี่ช่วยพาคุณชายไปนั่งตากลมที่แคร่แล้วนำน้ำชาไปให้คุณชายเจิ้งด้วย” อาหยวนรับคำพร้อมเอ่ยปาก
“คุณชายเจิ้งเชิญเจ้าค่ะ” เจิ้งไป่ซูหันไปทางสาวใช้ ยิ้มพิมพ์ใจส่งให้ทำให้อาหยวนยิ้มมุมปากรับอย่างขอไปทีเพราะรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย
“ไม่ต้องลำบากเจ้าหรอกอาหยวน เจ้าเข้าไปเอาน้ำชาเถอะ เดี๋ยวข้าเดินไปเอง” อาหยวนเหลียวหน้ามองนายสาวเห็นถงอวี้พยักหน้าให้นางจึงกล้าเดินเข้าไปนำน้ำชามาให้
“ปลาพวกนี้เจ้าจะไปขายที่ตลาดหรือ”
“เจ้าค่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะขายได้ไหม ข้าไม่เก่งการค้าเสียด้วย วันๆ อยู่แต่ในจวนไม่ค่อยได้ออกไปไหน”
“อืม... เอาอย่างนี้ดีไหม ข้าซื้อปลาของเจ้าทั้งหมด เจ้าจะได้ไม่ต้องลำบากไปตากแดดตากลมขาย ไม่รู้จะขายได้สักกี่มากน้อย”
“ไม่ดีหรอกเจ้าค่ะ ทำอย่างนี้ข้า... ข้าเกรงใจ” นางกล่าวปฏิเสธทว่าในใจลอบยินดี สตรีงามมักได้ใจชายเจ้าชู้
“อย่าได้เกรงใจ ข้าเต็มใจช่วยเจ้า หญิงหม้ายอย่างเจ้าออกไปในที่พลุกพล่านมีแต่จะโดนผู้คนพูดจาหยามเกียรติ ไหนๆ เจ้าก็คิดที่จะขาย ข้าก็กำลังจะหาอะไรติดไม้ติดมือไปฝากบิดาอยู่แล้ว” เขาสืบเท้าก้าวมาใกล้อีกนิดหมายให้ตัวเองแนบชิดสตรีเพิ่มอีกสักหน่อย ถงอวี้แอบเหลือบมองชินจิง เห็นอีกฝ่ายสบตาตนเองอยู่เพียงครู่เขาก็ก้มลงไปเขียนหนังสือต่อ ถงอวี้เห็นลูกชายมองตนแล้วนางก็หันมาสนทนาด้วยไมตรี
หม่าหย่งเต๋อที่ฟังคำสนทนาแรกๆ ไม่ค่อยจะใส่ใจนักทว่าคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเจิ้งไป่ซู ‘หญิงหม้าย’ เขาเริ่มไม่เข้าใจในหัวคิดหาเหตุผลกับคำพูดที่ชายผู้มาเยือน
‘นางรู้ล่วงหน้าหรือว่าเขาตายจึงกลายเป็นหม้าย ไม่ถูกต้องสิ! ข้าเพิ่งมาอยู่ที่นี่เข้าสู่วันที่สอง หรือว่า...เจ้า! นางสตรีน่าตาย กล้าแช่งข้าหรือนี่!’ เขาลุกพรวดจากแคร่ด้วยท่าทางดุดันหมายจะเดินไปหาถงอวี้ ทว่าเสียงร้องจ้าของชินจิงดังขึ้นทำให้เขาหยุดชะงัก พร้อมๆ กับที่ถงอวี้สาวเท้าวิ่งมาอุ้มเด็กน้อยไว้แนบอกพร้อมกล่าวปลอบประโลมเพราะคิดว่าชินจิงต้องถูกอะไรทำให้เจ็บเป็นแน่
ชินจิงที่อยู่ในอ้อมกอดของมารดาร้องไห้ไม่หยุดนางทั้งอุ้มทั้งปลอบประโลม แม้แต่เจิ้งไป่ซูที่มองดูเด็กน้อยหน้าตาน่ารักยังอดที่จะเดินมาดูไม่ได้ หม่าหย่งเต๋อพยายามใช้ตัวบังแต่ก็ไร้ผลและเป็นจังหวะเดียวกับที่อาหยวนมาพอดี ถงอวี้จึงให้อาหยวนอยู่ดูแลเจิ้งไป่ซูแทนส่วนตนจะพาชินจิงไปด้านใน
“ข้าต้องขอโทษคุณชายด้วยนะเจ้าคะ ยังไงคุณชายตกลงราคากับพี่หยวนได้เลย ข้าขอตัวเข้าไปดูแลชินจิงก่อนนะเจ้าคะ”
“อ๊ะ!...เดี๋ยวก่อนสิ” เขากำลังจะก้าวเดินตามไป ทว่าอาหยวนก้าวเท้ายืนบังตรงหน้าเจิ้งไป่ซู
“คุณชายเจิ้งเชิญเจ้าค่ะ” อาหยวนผายมือเชิญให้เจิ้งไป่ซูนั่งที่แคร่เพื่อสนทนาเรื่องปลาแห้งในกระจาด