ระวังแพ้ทางสิงห์
ตอนที่ 2 ปลาทองเอ๋อ
(ผักบุ้ง)
ถ้อยคำหยาบคายออกมาจากชายร่างสูงตรงหน้าฉัน ใบหน้าหล่อฉายความหงุดหงิดออกมาอย่างไม่ปิดบัง
เขาปล่อยมือออกจากจักรยานหลังจากควบคุมมันให้อยู่ในท่าที่ควรจะเป็น ก่อนจะตวัดสายตาหงุดหงิดคู่นั้นมามองฉันซึ่งยังคงคร่อมจักรยานอยู่
“ยืนเอ๋ออยู่ได้ วันหลังถ้าอยากตายก็อย่ามาตายแบบสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นแบบนี้อีก”
ฉันอ้าปากค้างเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด คำขอบคุณถูกกลืนลงลำคอแทบทันที และเปลี่ยนเป็นคำด่าแทนแต่แล้วฉันกลับต้องชะงักเมื่อผู้ชายคนนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ระยะห่างระหว่างใบหน้าของเรามีเพียงน้อยนิด และนั่นดันมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจฉัน
ตึก ตัก ตึก ตัก
“ไม่มีใครเคยบอกรึไง”
“บะ... บอกอะไร”
“ว่าทำตาโตแบบนี้แล้วเหมือนปลาทองเอ๋อ”
ผู้ชายคนนั้นฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะหันหลังเดินออกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ
ฉันนิ่งค้างไปชั่วขณะ กว่าสมองจะประมวลผลได้ทัน เขาคนนั้นก็เดินห่างออกไปไกลแล้ว
“ไอ้บ้า กล้ามาว่าฉันเป็นปลาทองเอ๋อได้ยังไง!”
“ชะ...ช่วย” เสียงลอยมาตามลม ทำเอาฉันถึงกับขนลุกซู่
แต่เสียงนั้นเบากว่าก่อนหน้านี้ที่ได้ยินมาก เสียงที่ได้ยินตอนนี้นอกจากจะได้ยินไม่เป็นคำ ยังเบาราวกับเสียงลมพัดผ่าน หากไม่ได้ยินก่อนหน้านี้ ฉันคงแทบไม่ใส่ใจมันด้วยซ้ำ ทำไมอยู่ๆความสามารถในการได้ยิน และมองเห็นวิญญาณฉันถึงแปรปรวนแบบนี้นะ หรือฉันควรพิสูจน์ดูอีกสักครั้ง
เมื่อคิดได้อย่างนั้น ฉันจึงกลั้นใจ ค่อย ๆ หันไปมองบริเวณโค้งนั่นอีกครั้ง
พรึบ
“อ้าว ไม่มีอะไรนี่นา”
ความว่างเปล่าตรงหน้า ทำให้ฉันยิ้มกว้างออกมาอย่างโล่งอกพร้อมทั้งจับหัวใจที่กำลังเต้นแรงของตัวเองเอาไว้
“คงเป็นเพราะรอยยิ้มของพี่ต้องเตเมื่อเช้าแน่เลย”
ต้องใช่แน่ ก่อนหน้านี้คงมีบางอย่างผิดพลาด อย่างไรเสียรอยยิ้มพี่ต้องเจก็ยังคอยช่วยฉันอยู่เสมอ
—————
มหาวิทยาลัย
“เฮ้อ ไม่คิดจะตอบกันหน่อยเหรอ”
ฉันมองหน้าจอโทรศัพท์พลางถอนหายใจออกมา ช่วงนี้พี่ต้องเตแทบไม่ตอบข้อความฉันเลยแต่เขายังไม่เคยหายไปไหนถึงจะตอบช้าแต่สุดท้ายก็ตอบ
นั่นเลยทำให้ฉันคอยบอกตัวเองว่าเขาอาจจะกำลังยุ่งอยู่จริงๆก็ได้
“คงซ้อมแหละมั้ง”
วันนี้ฉันมีเรียนช่วงบ่าย เพื่อนในกลุ่มเลยนัดมากินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารกันก่อน
พวกเราชอบกินข้าวที่โรงอาหารใต้ตึกวิศวะเนื่องจากแตงโมเชื่อว่าจะได้พบรักกับหนุ่มวิศวะ (ก่อนหน้านี้กินใต้ตึกแพทย์เพราะช่วงนั้นอยากได้แฟนเป็นหมอ) แต่ฉันไม่เห็นว่ามันจะได้ผลเลย ทำแบบนี้มาตั้งสามปีแล้ว ไม่เคยเห็นเพื่อนได้แฟนจากการกินข้าวในโรงอาหารเลยสักครั้ง
“หรือว่ากูต้องไปสะดุดลานเกียร์วะ ถึงจะได้แฟนเป็นวิศวะ”
แตงโมพูดขึ้น เธอเป็นสาวโสด ผู้อยากมีแฟนแต่พอมีคนทักมากลับไม่ตอบแชตเขา
ฉันเองก็ไม่เข้าใจเพื่อนเหมือนกัน ปากบ่นเหงาแต่ปิดแจ้งเตือนทุกแอปพลิเคชันแล้วแบบนี้จะมีแฟนกับเขาได้ยังไงกัน
“หยุดค่ะชะนี ลำบากกูแบกกลับมาอีก”
บิว สาวสอง ผู้มีพลังล้นเหลือ ชอบเต๊าะรุ่นน้อง และขึ้นชื่อว่าเป็นสายเปย์ประจำภาคเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องที่ขึ้นชื่ออีกอย่างคือ ปาก สิ่งเดียวที่ฉันมั่นใจว่าเพื่อนฉันดีที่สุด นั่นคือ ปาก ไม่มีใครปากดีเกินเจ๊บิวคนนี้อีกแล้ว
“สวย ๆ แบบนี้ ก็ต้องมีผู้มาช่วยประคองปะ”
“สวยแต่มึงสิ”
“อีเจ๊บิว!”
ฉันมองเพื่อนรักทั้งสองคนพลางยิ้มขำ ทั้งคู่ทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้งแต่ถึงอย่างนั้นก็รัก และเป็นห่วงกันมาก
พวกเราสนิทกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง หลังจากรู้จักกันก็ไม่เคยแยกกันอีกเลย เหตุผลจริง ๆ อาจไม่ได้เพราะรักกันมากมายอะไรหรอกแต่คงเป็นเพราะไม่มีใครคบพวกฉันแล้วต่างหาก
“เออนี่ผักบุ้ง วันศุกร์นี้ไปเลี้ยงวันเกิดที่ร้านเหล้าเรียนใช่มั้ย”
เกือบลืมไปเลยว่าวันศุกร์นี้เป็นวันเกิดครบยี่สิบสองปีของฉันแล้ว ซึ่งฉันมักจัดปาร์ตี้วันเกิดกับเพื่อนรักทั้งสอง และอีกสิ่งที่ฉันต้องทำในช่วงเดือนเกิดคือการไปตรวจดวงชะตากับอาจารย์ป้า
อาจารย์ป้าเป็นหมอดูคนหนึ่งที่เคยมาช่วยฉันตอนฉันโดนวิญญาณพวกนั้นตาม และคอยให้คำแนะนำฉันมาตลอด ซึ่งความสามารถของฉันจะเพิ่มขึ้นในคืนวันเกิดของทุกปีฉะนั้นเพื่อป้องกันอันตราย ฉันจึงจำเป็นต้องไปหาท่านทุกปี
“อืม แต่อาจจะไม่ดึกมากนะ”
“ดึกก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ยังไงพี่ต้องเตก็มากับแกอยู่แล้วหนิ”
ฉันนิ่งไปเล็กน้อย เมื่อก่อนพี่ต้องเตจะมาฉลองวันเกิดกับฉันทุกปีแต่หลังจากเขาเข้าค่ายมวยเมื่อปีก่อน เราทั้งคู่ก็เริ่มห่างกัน
สิ่งที่เคยทำด้วยกันก็แทบจะไม่ได้ทำเลยเพราะเขามักจะไม่ว่าง ต้องซ้อมมวย หรือทำอย่างอื่นในค่ายตลอดซึ่งการเป็นนักมวยชื่อดังเป็นความฝันอย่างหนึ่งของพี่ต้องเต ฉันจึงไม่สามารถพูดอะไรได้
ถึงแม้จะแอบน้อยใจบ้างแต่ก็พยายามทำความเข้าใจ ฉันเองคงไม่สบายใจเหมือนกัน ถ้าต้องให้เขาทิ้งความฝันของตัวเองเพื่อมาดูแลหรือเอาใจฉัน
ช่วงสองปีมานี้ ฉันจึงเป็นฝ่ายดูแล และไปหาพี่ต้องเตเองเสียส่วนใหญ่ ถึงอย่างนั้น รอยยิ้มของพี่ต้องเต ก็ยังคงเป็นกำลังใจให้ฉันทำแบบนี้ต่อไป อยากให้เขารู้ว่า หากวันไหนเขาต้องการใครสักคนหรือเหนื่อย ให้หันกลับมา ฉันยังอยู่ตรงนี้เสมอ
“ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่ได้คุยกันเลย”
“ฉันถามจริงเถอะผักบุ้ง แกอยู่แบบนี้มีความสุขจริงเหรอวะ”
“ความสุขที่เป็นความสุขของแกจริง ๆ อะ”
บิววางมือลงบนบ่าฉัน ถามคำถามที่ฉันเองก็ตอบออกมาไม่ได้เช่นกัน
ความสุขของตัวเองอย่างนั้นหรือ ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย สิ่งที่ฉันทำอยู่ตอนนี้ ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีความสุขหรือเปล่า
ฉันเพียงคิดแค่ว่า พี่ต้องเตจะมีความสุขรึเปล่าเท่านั้นเอง
“ถามอะไรของแก วันนี้เราไปดูบาสกันมะ”
เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถาม ฉันเลยรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ไม่เอา ร้อนจะตาย” เพื่อนรักทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน
ฉันยิ้มออกมาก่อนจะเปิดใบโปรโมตการแข่งขันที่พี่กวางพึ่งส่งมาให้เมื่อเช้าให้เพื่อนทั้งสองคนดู
“วันนี้เฮียเหม กับน้องทิวเขาแข่งด้วยนะ”
“นี่แกเห็นว่าพวกฉันบ้าผู้ชายรึไง”
“สรุปคือไม่ไป?”
“ไปสิคะ รอไรอะ”
เราทั้งสามคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน ฉันมองเพื่อนทั้งสองแล้วยิ้มออกมา
อย่างน้อยการได้อยู่กับเพื่อนก็ทำให้ฉันสามารถซ่อนความรู้สึกบางอย่างในใจไว้ได้ และฉันเองก็ไม่อยากหยิบมันออกมาคิดด้วยว่า ตอนนี้ความรู้สึกนั้นคืออะไร ขอแค่ฉันยังมีพี่ต้องเตอยู่ก็พอแล้ว
—————