ตอนที่ 1
ตอนที่ 1 อัตราการเต้นของหัวใจ
“เฮ้ย น้องระวัง!”
รถจักรยานสีชมพูเสียหลักจากการหักหลบรถมอเตอร์ไซค์ ล้อสะบัดส่ายไปมายากเกินกว่าจะควบคุม หญิงสาวร่างบางกำแฮนด์จักรยานของเธอไว้แน่น หลับตาปี๋ไม่กล้ามองภาพด้านหน้าเนื่องจากหวาดกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
‘เวลาหนูมีเรื่องน่ากลัวตรงหน้า หนูต้องทำยังไงคะผักบุ้ง’
‘หลับตาค่ะ’
‘ไม่ใช่ค่ะ หนูต้องลืมตาเพื่อมองมัน มองมันให้ชัด ๆ หนูจะได้รู้ว่าหนูจะขจัดความกลัวนี้ออกไปยังไง’
เปลือกตาสีอ่อนค่อยๆปรือมอง ผักบุ้งมีนิสัยขี้กลัวตั้งแต่เด็กถึงแม้จำคำสอนของแม่ได้แม่นแต่หญิงสาวกลับทำมันได้ไม่ดีนัก เธอมักหลับตาทุกครั้งเพื่อปิดการมองเห็นสิ่งที่กำลังหวาดกลัว ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“น้อง!” เสียงเรียกจากทางด้านข้าง ทำให้เธอลืมความหวาดกลัวไปชั่วขณะ
ผักบุ้งหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังวิ่งมาจากรถมอเตอร์ไซค์ด้วยสีหน้ามึนงง ในขณะเดียวกันนั้นจักรยานของเธอก็ไม่สามารถทรงตัวได้อีกต่อไป ทำให้เธอหล่นลงพร้อมกับจักรยานคู่ใจ “ว้าย”
ห่างแค่เพียงนิดเดียว ‘ต้องเต’ ก็จะสามารถรับร่างของผักบุ้งได้แล้วเชียว แต่แล้วเขาก็ไม่สามารถรับเธอได้ทัน ศีรษะของหญิงสาวกระทบกับพื้นคอนกรีตแต่ทว่าเธอยังมีสติ
“โอ๊ย เจ็บจัง” ผักบุ้งโอดครวญ เธอยกมือขึ้นจับศีรษะตัวเอง
คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเมื่อภาพเบื้องหน้าที่เธอเห็นนั้นดูผิดปกติ คล้ายว่ากำลังมีคนมากมายกำลังเข้ามามุงดูเธอ บรรยากาศมืดครึ้มแลดูน่ากลัว
“ทำไมคนเยอะจัง”
ต้องเตมองไปรอบ ๆ สีหน้าสงสัยเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาก้มลงมองผักบุ้งแล้วถามอาการเธอด้วยรอยยิ้ม
“น้องไม่เป็นไรนะ”
รอยยิ้มของชายตรงหน้าราวกับมนต์บางอย่างที่มีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจผักบุ้ง เธอเลื่อนมือมาจับกุมหัวใจตัวเองเอาไว้ ตั้งแต่เกิดมา เธอไม่เคยรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจแบบนี้มาก่อน มันแปลก แปลกอย่างบอกไม่ถูก
“ทำไมรอยยิ้มของพี่ทำให้ใจสั่นจัง”
“อะไรนะครับ!?”
(ผักบุ้ง)
อุบัติเหตุในวันนั้นผ่านมานานเกือบสี่ปีซึ่งเหตุการณ์นั้นทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนไปตลอดกาล
ภาพอึมครึมน่ากลัวที่ฉันเห็นครั้งนั้นเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งฉันเห็นเป็นเรื่องราว เป็นตัวตนที่ฉันไม่อยากเห็น หรือจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ นั่นคือ ฉันมองเห็นวิญญาณ แต่ถึงอย่างนั้น ยังพอมีวิธีการแก้ให้ภาพเหล่านั้นเลือนหายไป คือแค่ฉันได้เห็นรอยยิ้มของพี่ต้องเต รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของฉันสั่นทุกครั้งที่ได้มอง ภาพเรานั้นก็จะไม่ปรากฏ
นี่เลยเป็นเหตุผลที่ฉันไม่โกรธสิ่งที่ทำให้ฉันได้ความสามารถนี้มา ถึงแม้จะได้เห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็นแต่ก็ทำให้ฉันได้อยู่กับรอยยิ้มของหัวใจ
“รีบไปหาพี่ต้องเตดีกว่า”
ฉันหยิบน้ำเต้าหู้ใบเตย และปาท่องโก๋ใส่ตะกร้าด้านหน้าจักรยานก่อนจะรีบขี่ออกจากบ้านเพื่อตรงไปหาพี่ต้องเตที่ค่ายมวยเนื่องจากค่ายมวยซึ่งอยู่ถัดไปสองซอย
“ช่วงนี้มาแต่เช้าทุกวันเลยนะ”
“สวัสดีค่ะลุงดนัย พี่ต้องเตอยู่มั้ยคะ”
“ไอ้ต้องมันออกไปวิ่งทั้งแต่ฟ้ามืดแล้ว เดี๋ยวคงกลับมาแล้วแหละ”
“เหรอคะ”
ฉันยิ้มแกน ๆ จัดการจอดจักรยานไว้ยังที่จอดประจำ แล้วเดินไปนั่งบริเวณศาลาไม้ด้านข้างอย่างเช่นทุกวัน
ความสัมพันธ์ระหว่างฉัน และพี่ต้องเตเริ่มขึ้นหลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น เขาคอยอยู่ดูแล แถมยังช่วยเหลือฉัน และยายแทบทุกอย่างเนื่องจากหลังจากแม่ของฉันเสีย พ่อเลยกลับไปทำงานที่ต่างประเทศซึ่งฉันยืนยันจะอยู่เมืองไทยต่อกับคุณยาย
ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง พ่อของฉันยังคงดูแลตลอดถึงแม้จะลำบากในบางเรื่องเพราะที่บ้านมีแค่ฉันและยายที่อายุมากแล้วแต่ฉันต้องทำเป็นเข้มแข็งทุกครั้งที่คุยกับพ่อเพื่อให้พ่อเห็นว่าฉันสามารถอยู่ด้วยตัวเองได้
ทั้งที่จริงแล้ว ฉันยังแอบร้องไห้อยู่หลายครั้งซึ่งโชคดีที่ฉันมีพี่ต้องเตคอยอยู่ข้างกันมาตั้งแต่ตอนนั้น ฉันเลยผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาได้
โดยเฉพาะเรื่องความสามารถในการเห็นวิญญาณ หากวันไหนฉันไม่ได้เห็นรอยยิ้มของพี่ต้องเต วันนั้นฉันจะเห็นวิญญาณแทบทั้งวัน เรียกได้ว่ารอยยิ้มของเขาเปรียบเสมือนยารักษาโรคนี้ของฉันเลยก็ว่าได้
“วันนี้มึงวิ่งโหดไปรึเปล่าวะไอ้ต้อง”
“ใกล้จะขึ้นชกแล้ว ก็ต้องยิ่งฟิต”
ฉันวิ่งเข้าไปหาพี่ต้องเตเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามากับพี่เจ “พี่ต้องเต”
“ช่วงนี้ไม่มีเรียนเช้ารึไงบุ้ง มาแต่เช้าทุกวันเลย”
พี่เจเอ่ยถาม ฉันเลยหันไปยิ้มให้ แล้วอธิบายเหตุผลที่ฉันสามารถมาค่ายมวยแต่เช้าได้ทุกวันแบบนี้
“ก็เทอมก่อนบุ้งลงเรียนเช้า เลยไม่ค่อยได้มาดูแลพี่ต้องเตเลย เทอมนี้เลยลงเรียนบ่ายทั้งหมด ตอนเช้าจะได้มีเวลาดูแลพี่ต้องเตไง เนอะพี่ต้องเตเนอะ”
“ไม่รู้จะลำบากทำไมอะเรา” พี่ต้องเตยิ้มออกมาเล็กน้อย
“บุ้งเอาน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋มาฝาก”
ฉันยกถุงน้ำเต้าหู้ และปาท่องโก๋ในมือขึ้นพร้อมทั้งฉีกยิ้มกว้าง
“อือ ขอบคุณนะ”
พี่ต้องเตรับถุงไป แล้วโยกหัวฉันเบาๆอย่างที่เขาชอบทำ
การกระทำของเขามีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจฉันทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเมื่อสี่ปีก่อนหรือตอนนี้
“กลับไปได้แล้ว”
“วันนี้บุ้งอยากดูพี่ต้องเตซ้อมอะ”
“ร้อนจะตาย กลับไปเถอะ”
ริมฝีปากฉันเม้มเข้าหากัน อยากจะงอแงขออยู่ต่อแต่รู้ว่าพี่ต้องเตไม่ชอบคนงี่เง่า
สุดท้ายฉันเลยต้องยิ้ม และโบกมือลาเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
พี่ต้องเตหันหลังเดินเข้าไปในค่าย แต่ฉันลืมสิ่งสำคัญอีกอย่างเลยวิ่งตามเข้าไป
“พี่ต้องเต”
“บอกให้กลับไปไงผักบุ้ง พี่ต้องซ้อม ไม่มีเวลามาเล่นนะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉันค่อย ๆ หุบลง ไม่คิดว่าแค่ฉันวิ่งตามมาจะทำให้พี่ต้องเตโกรธถึงขนาดนี้
ฉันก้มหน้าลงแล้วพูดเสียงอ่อย “ไหนบอกจะยิ้มกว้างให้กันทุกวันไง”
บรรยากาศรอบข้างเงียบสนิทจนฉันเกือบจะหันหลังกลับแล้ว แต่พี่ต้องเตจับหน้าฉันให้เงยขึ้น
รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นตรงหน้าฉัน พี่ต้องเตวางมือลงบนหัวฉันแล้วพูดทั้งที่ยังยิ้มอยู่
“พอใจรึยัง ยัยตัวเล็ก”
“ค่ะ ตั้งใจซ้อมนะ”
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ได้รอยยิ้มจากพี่ต้องเต อารมณ์ของฉันก็ชื่นบานขึ้นมาทันที หรือบางทีฉันอาจจะเสพติดรอยยิ้มของเขาอย่างที่เพื่อนชอบว่าจริง ๆ เสียแล้ว
“ช่างปะไร ยังไงพี่ต้องเตก็เป็นที่หนึ่งในใจอยู่แล้ว”
ฉันเลือกขี่จักรยานไปตลาดใกล้ ๆ ก่อนจะกลับบ้านเนื่องจากคิดได้ว่าต้องซื้อเมล็ดถั่วเหลืองเพื่อเอามาทำน้ำเต้าหู้ให้พี่ต้องเตพรุ่งนี้เช้า
เป็นระยะเวลากว่าสี่ปีที่ฉันทำน้ำเต้าหู้ใบเตยให้พี่ต้องเต ฉันยังจำรอยยิ้มของพี่ต้องเตในครั้งแรกที่เขาดื่มน้ำเต้าหู้ใบเตยของฉันได้ ฉันจดจำได้ว่ามันทำให้หัวใจฉันเต้นแรงแค่ไหน และรอยยิ้มของเขายังคงมีผลต่อการเต้นของหัวใจฉันอยู่ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้
“โชคดีจังที่มีรอยยิ้มของพี่ต้องเต”
มือข้างหนึ่งปล่อยแฮนด์จักรยานแล้วเปลี่ยนมาจับหัวใจตัวเอง เพียงแค่ฉันมีรอยยิ้มของพี่ต้องเต ฉันก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย” เสียงยานคางลอยมาตามลม
ฉันเลือกที่จะไม่หันไปมองแต่ภาพตรงหน้ากลับชัดเจน ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนกวักมือเรียกฉันอยู่ตรงทางโค้ง
เลือดสีแดงสดไหลท่วมตัว นั่นยืนยันได้ว่าสิ่งที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่คน ทำไมกัน ทั้งที่วันนี้ฉันได้รอยยิ้มจากพี่ต้องเตแล้วแต่ทำไมภาพตรงหน้ายังชัดเจนอยู่
“ฉันบอกให้ช่วยฉันด้วย!” ฉันสะดุ้งสุดตัว รีบหลับตาลงเพราะไม่อยากเห็นภาพตรงหน้า
แต่ฉันหลงลืมไปว่าหากฉันหลับตา ก็จะไม่เห็นสิ่งอื่นตรงหน้าเช่นกัน รถจักรยานเริ่มส่ายไปมา เหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อนแล่นเข้ามาในหัว ฉันกำลังพยายามสั่งให้ตัวเองลืมตาขึ้นแต่ไม่สามารถทำได้
“เป็นบ้ารึไงวะ หลับตาขี่จักรยานแบบนี้!!”
——————-