ตอนที่ 3

1132 Words
เด็กสาวอวบอัด ผิวขาวอมชมพู เอียงใบหน้าไร้เดียงสามองเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้ตลอดเวลา ทว่าความไร้เดียงสาของหล่อนกลับกลายเป็นแรงยั่วเย้าให้เขาเพิ่มความใคร่ในตัวหล่อนเพิ่มขึ้นๆ             ทุกวีรกรรมที่หล่อนทำหากมองแบบโลกสวยวิ่งอยู่กลางทุ่งหญ้าสะวันนาหรือทุ่งลาเวนเดอร์ ก็ต้องมองว่านั่นคือความไร้เดียงสาของเด็กสาวที่กำลังก้าวผ่านจากวัยสาวน้อยไปเป็นสาวรุ่นเต็มตัว             ทว่าหากมองแบบสายหื่นจัดหนักก็มองว่านั่นน่ะอ่อยชัดๆ แล้วใครจะไปทนได้ เขาคนนึงแหละที่ทนไม่ได้ แล้วจากนี้ไปอีก 2 เดือน กว่ามหาวิทยาลัยจะเปิดภาคเรียน เขาจะทนอยู่กับหล่อนแบบมีระยะห่างตลอด 24 ชั่วโมงได้ยังไง             เขามีเลือดมีเนื้อ แข็งไปทุกส่วน ไม่ใช่พระอิฐพระปูน รวมทั้งหล่อนก็ไม่ใช่ภาพวาดหรือรูปปั้น แต่หล่อนสาวสวยเต่งตึงไปทั้งร่าง แม้พยายามห้ามใจว่านั่นคือลูกสาวของพี่เขย แต่เขาจะทนได้สักกี่น้ำล่ะ…             ใช่… สักกี่น้ำ น้ำเดียวก็ยังไม่ได้ปลดปล่อย             “เอาไงล่ะไอ้เสือ นี่เครียดจนอยู่ไม่ติดบ้านเลยรึไง เป็นเอามากนะเนี่ย”             ไวทย์เหลือบมองปัถย์ที่เย้าเขาไม่เลิก ก่อนจะสาดเหล้าเข้าปากหมดแก้วจากนั้นก็คว้าขวดมาเติมลงอีก             “เฮ้ยๆ ไม่พูดไม่จา แต่แดกไม่ยั้ง นี่เอ็งมีแผนอะไรเปล่าเนี่ย”             “แผนอะไรวะ”             “อ้าว… ก็แผนทำเป็นเมาแล้วปล้ำสาวไง”             “เฮ้ย! ไอ้บ้าปัถย์ ข้าไม่คิดทำแบบนั้นหรอก”             “อ้อ… เอ็งมันชอบแบบรู้ตัว ไม่ชอบแบบเมาๆ”             “ไอ้ห่าปัถย์ พี่ปูรณ์ช่วยผมด้วย ไอ้บ้าปัถย์มันแกล้งผม”             น้ำเสียงอ่อนใจพูดกับปูรณ์ แต่ที่เห็นคือปูรณ์ส่ายหน้ายักคิ้วให้ปัถย์แบบเห็นด้วยว่าเขาเป็นเอามากจริงๆ นั่นทำให้เขายิ่งท้อ เพราะแม้แต่ปูรณ์ก็ไม่ช่วยเขาคิด             “แม้แต่พี่ปูรณ์ก็เห็นด้วยกับมันเหรอ”             พี่ชายของเพื่อนทำเสียงขำขันเขาในลำคอ นั่นทำให้เขาสาดเหล้าเข้าสู่ลำคออีกแก้ว             “พี่ไม่ได้เห็นด้วยกับเจ้าปัถย์ แต่เอ็งมีอะไรเอ็งก็พูดออกมา ไม่ใช่เรื่องที่เอ็งจะมานั่งเครียดนั่งกลุ้มอยู่แบบนี้ เสียเชิงหนุ่มใหญ่ใจสปอร์ตหมดว่ะ ว่าไง… สรุปว่าเอ็งอยากจะกินเด็กมันหรือเปล่า”             ไวทย์ยังคงหน้าเครียด เหลือบมองพี่ชายเพื่อนนิดเดียวก่อนจะกระดกเหล้าไม่ยั้ง ผิดกับตอนที่ก้อร่อก้อติกเจ๊แหม่มเป็นคนละคน             “นี่เอ็งคิดอยากกินเด็กมันจริงๆ ใช่มั้ย”             “โห… อย่างนี้ยังต้องถามอีกเหรอพี่ปูรณ์ ดูมันสิ กระดกเอาๆ แบบนี้ นี่คงกะเมาแล้วทำอะไรไม่ผิดมั้ง”             ปัถย์ยิ้มส่ายหน้าไม่สนใจสายตาของไวทย์ที่มองมาอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะกดเล่นเพลงที่เลือกเอาไว้พร้อมกับหันไปบอกปูรณ์ “อย่าไปสนใจมันเลยพี่ มันอยากเมาก็ให้มันเมาไป เราร้องเพลงกันดีกว่า เอ้า! เอาไปคนละตัว”             ปัถย์ยืนไมโครโฟนอีกตัวให้ปูรณ์ และวางอีกตัวไว้บนโต๊ะตรงหน้าไวทย์ แต่แค่อินโทรเพลงขึ้นไวทย์ก็หันมามองตาเขียว เพราะนั่นมันเพลง ‘เด็กมันยั่ว’ ของพี่ยอดรัก สลักใจ             แน่นอนว่าบทเพลงนี้หนุ่มเต็มวัยใจกระล่อนอย่างพวกเขาชอบมาก เพราะเป็นเพลงโปรดที่ต้องร้องทุกครั้งเมื่อมาเยือนที่นี่ แต่ตอนนี้ไม่อยากฟังว่ะ ไวทย์เอื้อมมือคว้ารีโมทกดปิดทันที             “เฮ้ย! อะไรวะไวทย์ ข้าจะร้องเพลง”             “ไม่ให้ร้องโว้ย! เพลงอื่นมีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องมาร้องเพลงนี้ด้วย”             “ก็ข้าอยากร้องนี่หว่า ถามอะไรเองก็ไม่พูด ข้าขี้เกียจถาม ข้าก็ร้องเพลงน่ะสิ แล้วทำไมถึงร้องเพลงนี้ไม่ได้วะ เอ็งนั่นแหละตัวชอบเลย  ‘เด็กมันยั่วเลยหลวมตัวไปหน่อย’ อะอะอะ… นี่หมายความว่า…”             ปัถย์ที่ทำท่ายักไหล่และร้องเพลงโดยสร้างท่วงทำนองให้ตัวเอง สายตานกรู้นั่นทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนีก่อนจะสาดเหล้าสู่ลำคออีกครั้ง             “ไอ้หมอ เอ็งหันมาเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องมาหลบตาเลย ว่าไง! เฮ้ย… สรุปนี่เอ็งหลงรักเด็กในสังกัดเข้าแล้วเหรอวะ”             ไวทย์หน้ามุ่ยมากกว่าเดิม สาดเหล้าเข้าลำคอไม่ตอบคำถาม             “ไม่ตอบงั้นข้าร้องเพลงต่อ”             “เฮ้ย! ไม่ได้นะ ห้ามร้อง”             ปัถย์กดหยุดเพลง หันมองหน้าเพื่อนเขม็ง “เลือกเอาไวทย์ เอ็งจะเล่าหรือเอ็งจะให้ข้าร้องเพลง นี่พี่ปูรณ์กินกับแกล้มจนจะอิ่มอยู่แล้วเนี่ย ยังไม่ได้ร้องสักเพลง พอเอ็งเข้ามาก็เอาแต่ทำหน้าเง้า ไม่เห็นหน้าระรื่นเหมือนตอนคุยกะเจ๊แหม่มเมื่อกี้เลยว่ะ สรุปว่าเอ็งจะเล่าหรือไม่เล่า ถ้าไม่เล่าข้าไม่รอแล้วนะโว้ย! โตจนหมอ... จะหงอกหมดแล้ว ยังมาทำเล่นตัวเป็นเด็กไปได้ เล่ามา!”             “เออๆ เล่าก็ได้”             “พูดมาให้ไว พูดมาให้หมด ศิราณีมีดุ้นอย่างพี่ จะไขความรักให้เอ็งเอง”             ดวงตาคมปนขุ่นตวัดมองคนพูดเย้าที่นั่งพิงโซฟาพาดแขนไว้กับพนักแบบสบายๆ ท่าทางเหมือนไม่ได้อยากรู้เรื่องของเขาเท่ากับปัถย์ แต่ความสุขุมนั้นต้องแก้ปัญหาให้เขาได้แน่ “ขอบคุณครับพี่ปูรณ์”             “ขอบคุณข้าด้วย ข้าเป็นเพื่อนนะเว้ย! และวันนี้ข้าก็เป็นคนชวนพี่ปูรณ์มาด้วย”             “เออ… ว่ะขอบใจ”             ไวทย์กระดกเหล้าเข้าปากอีกอึกใหญ่ เพื่อเรียกความกล้าของตัวเองออกมา เดิมทีเขาไม่ใช่คนขี้อายแบบนี้หรอก เขากล้าพูดกล้าแสดงออกเสียด้วยซ้ำ แต่สำหรับเรื่องของหนูหน่อยนั่นทำให้เขาไม่กล้า  เขากลายเป็นคนหวาดหวั่นกับแรงยั่วเย้าที่หนูหน่อยกระทำทุกวัน แม้จะบอกตัวเองว่านั่นก็เป็นเรื่องปกติที่เด็กสาวจะทำอย่างนั้น แต่พอเอาเข้าจริงเขาก็อดคิดไม่ได้หรอก ก็มันน่าคิดมากมาย             ยิ่งได้ยินคนงานในฟาร์มพูดคุยกันว่าเขา ‘เลี้ยงต้อย’ หนูหน่อยเอาไว้กินเอง หรือไม่เขากับหนูหน่อยคงแอบได้เสียเป็นเมียผัวกันเรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นจะมีพ่อแม่ที่ไหนกล้าส่งลูกที่เป็นสาวเต็มตัวให้มาอยู่กับเขาที่ฟาร์มสองต่อสองแบบนี้ 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD