ภายในรถ
“เธอไม่เป็นอันตรายแล้ว”
เสียงมีอำนาจที่เปล่งออกมาทำให้บัวชมพูต้องเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือเรียวสวยของตนเอง ก่อนจะค่อยๆ หันมามองสบตากับเจ้าของเสียงนั้น พร้อมเอ่ยคำขอบคุณออกมาอย่างแผ่วเบา
“ขอบคุณค่ะ ...ขอบคุณมากที่กรุณาช่วยเหลือ ฉันจะไม่ลืมพระคุณคุณเลยค่ะ”
พูดพร้อมกับพนมมือไหว้อย่างงดงาม ทำให้อลันที่จับจ้องอยู่นั้นถึงกับยิ้มออกมาอย่างลืมตัว เมื่อได้เห็นหน้าของหญิงสาวที่เขานั้นได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
นางฟ้า! นี่มันนางฟ้าชัดๆ สวย...สวยมาก อลันจ้องมองไปทั่วใบหน้างาม ถึงแม้ว่าจะเป็นยามค่ำคืน แต่หาได้เป็นอุปสรรคต่อนายใหญ่แห่งเวิรด์สกายหาได้ไม่
ชายหนุ่มจ้องมองใบหน้าเรียวสวย ริมฝีปากอวบอิ่มน่าจูบนั้นกระตุ้นให้เลือดหนุ่มในกายของอลันเดือดพล่านขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน หากเขาได้สัมผัสกับริมฝีปากอวบอิ่มนั้นเล่า เขาจะมีความสุขสักเพียงไหนหนอ แล้วไหนจะดวงตาหวานซึ้งที่กำลังจ้องมองมายังเขาอีกล่ะ มันช่างสะดุดหัวใจของเขายิ่งนัก หัวใจชายหนุ่มเริ่มเต้นแรงขึ้น จนเขาเองยังรู้สึกได้ถึงเสียงของมัน
“เอ่อ...คุณคะ คุณ คือ...ให้ฉันลงตรงสี่แยกข้างหน้านี้ก็ได้ค่ะ แล้วก็ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่กรุณาช่วยเหลือ”
หญิงสาวเอ่ยบอกเขาเสียงแผ่ว ใบหน้างามเอาแต่ก้มหน้างุดไม่ยอมเงยหน้ามองชายหนุ่ม เพราะรู้ว่าผู้ชายที่ช่วยเหลือเธอไว้นั้นเอาแต่จ้องมองหน้าเธออย่างไม่วางตา
“คงไม่ได้หรอก เสียใจด้วยนะที่ฉันทำตามอย่างที่เธอบอกไม่ได้”
อลันเอ่ยกับหญิงสาวตรงหน้าน้ำเสียงราบเรียบ ซึ่งนั่นได้สร้างความสงสัยให้กับบัวชมพูเป็นอย่างมาก
“ทำไมล่ะคะ ตอนนี้ฉันก็ปลอดภัยแล้ว แล้วก็ไม่ได้เป็นอะไรด้วย ฉันต้องการจะกลับบ้าน คุณ...เอ่อ...คุณช่วยสั่งคนของคุณให้จอดรถให้กับฉันด้วยเถอะค่ะ”
บัวชมพูตั้งคำถามกับชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมกับเอ่ยขอร้องในสิ่งที่เธอต้องการ นั่นทำให้หญิงสาวได้มีโอกาสเห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่เธอเอ่ยปากขอร้อง โอ้... เขาช่างเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาอะไรเช่นนี้ เขาหล่อมากจริงๆ บัวชมพูบอกกับตัวเองเช่นนั้น
“ฉันชื่ออลัน แล้วเธอล่ะ ชื่ออะไร”อลันตั้งคำถามในสิ่งที่เขาอยากรู้ และหญิงสาวตรงหน้าเขานั้นต้องตอบคำถามที่เขาอยากรู้เกี่ยวกับตัวเธอด้วย
บัวชมพูที่ยังจ้องมองใบหน้าของคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และเมื่อมองออกไปนอกรถก็ได้แต่อ่อนใจ เพราะความเร็วของรถที่เธอนั่งอยู่นั้นก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลงเลย หญิงสาวหันกลับมามองหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยบอกในสิ่งที่เขาอยากรู้
“ฉันชื่อ บัวชมพูค่ะ บัวชมพู เวชประเสริฐ เรียกสั้นๆ ว่าบัวก็ได้ค่ะ”
“บัวหรือ อืม ชื่อเพราะดีนะ”
อลันเรียกชื่อเล่นของหญิงสาวด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลน้ำเสียงที่เอ่ยเรียกเช่นนี้ถึงกับทำให้บัวชมพูใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ และเสียงของอลันก็เอ่ยถามในเรื่องที่ตนอยากรู้ตามมาอีก
“ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงไล่ล่าตามจะเอาตัวเธออย่างนี้ล่ะบัวชมพู เธอไปทำอะไรให้กับเจ้าพวกนั้น”
“ไม่ค่ะ ฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน ฉันขับรถกลับบ้านมาดีๆ พอมาถึงทางแยกที่จะเลี้ยวเข้าซอยที่บ้านของฉันก็มีรถจอดเสียขวางทางอยู่ แต่ฉันไม่ได้ลงจากรถหรอกนะคะ ฉันนั่งอยู่ในรถ แล้วผู้ชายสองคนนั้นก็เข้ามาเคาะกระจกรถ บอกว่าอยากขอยืมโทรศัพท์เรียกช่างซ่อมรถให้มาดูรถให้พวกเขาหน่อย เพราะพวกเขาหมดปัญญาแล้ว ฉันเห็นว่าไม่น่ามีอะไร แค่ขอยืมโทรศัพท์ แล้วก็จะถึงบ้านอยู่แล้วก็เลยเอาโทรศัพท์ให้กับพวกเขายืม”
บัวชมพูเมื่อเล่ามาถึงตอนนี้แล้วก็ต้องหยุดลง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะหากเธอหนีจากผู้ร้ายสองคนนั่นไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเธอบ้าง
อลันเองเมื่อเห็นว่าบัวชมพูหยุดพูดลง เขาเองก็ไม่คิดที่จะซักถามอะไรต่อ เพราะรู้ดีว่าหญิงสาวเพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมา เธอคงเสียขวัญและต้องการคนปลอบมากกว่าที่จะต้องมาพูดถึงเหตุการณ์นั้นให้กับคนที่เธอเองก็เพิ่งจะรู้จัก ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ให้ความช่วยเหลือหญิงสาวเองก็ตาม
“ขอโทษนะที่ฉันทำให้เธอต้องพูดในสิ่งที่เธอเองคงไม่อยากจะนึกถึงมันสักเท่าไหร่”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเข้าใจ”
“ฉันว่าเธอน่าที่จะไปแจ้งความกับตำรวจนะ เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปเอง เธอไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น” อลันเสนอตัวทันที
“ค่ะ... ฉันเองก็คิดว่าจะต้องไปแจ้งความเหมือนกัน แต่ฉันขอกลับไปที่บ้านก่อนได้ไหมคะ ป่านนี้พ่อฉันคงจะเป็นห่วงแย่แล้ว นี่ก็ผิดเวลามามากแล้ว ถ้าจะกรุณาฉันขอให้คุณอลันไปส่งฉันที่บ้านก่อนก็แล้วกันค่ะ”
บัวชมพูเอ่ยขอให้ชายหนุ่มไปส่งเธอกลับบ้านก่อน ให้เธอได้กลับไปหาพ่อก่อน แล้วจะไปไหนต่อก็ค่อยว่ากันอีกที
อลันไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่นิดเดียวที่หญิงสาวจะกลับไปบ้านก่อน แล้วถึงจะค่อยไปแจ้งความภายหลัง ใบหน้าหล่อเหลานั้นเข้มขึ้น คิ้วหนาย่นเข้าหากันเล็กน้อยก่อนที่จะเลือนหายไปเหมือนกับว่าไม่มีความรู้สึกใดๆ เกิดขึ้นกับเขา
“จะเอาอย่างนั้นเหรอ ก็ได้ ฉันตามใจเธอ แล้วบ้านเธออยู่ไหนล่ะ บอกทางไปให้เมฆรู้สิ เขาจะได้ไปถูก”
“ขอบคุณคุณอลันมากเลยนะคะที่กรุณา บ้านฉันอยู่ฝั่งตรงข้ามจุดที่คุณอลันจอดรถช่วยฉันเอาไว้น่ะค่ะ แต่ต้องขับเข้าไปในซอยอีกสักหน่อยค่ะ”
“ได้ยินแล้วนะเมฆ” อลันเอ่ยถามบอดี้การ์ดคนสนิทที่ทำหน้าที่พลขับให้กับเขา
“ครับนาย”
คฤหาสน์หรูใจกลางเมือง
เพี๊ยะ!!! มืออวบอูมที่ตวัดตบเข้าที่ใบหน้าของคนที่ทำงานไม่สำเร็จเสียงดังสนั่น
“บัดซบ! งานง่ายๆ แค่นี้ก็ทำไม่สำเร็จ”
เพล้ง!!!! แก้วบรั่นดีที่ถืออยู่ในมือถูกปาลงกับพื้นหินอ่อนเนื้อดีจนแตกกระจาย
ชาติยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลซึมออกมาจากมุมปาก ก่อนจะมองสบตากับท่านที่เป็นนายเหนือหัวของมัน ก่อนกวาดตามองคนของท่านที่อยู่ในชุดซาฟารีอีกห้าหกคนที่ยืนอยู่ตามจุดคอยเฝ้าอารักขาท่านของพวกมัน แล้วไปหยุดอยู่ที่ไอ้ยศ ลูกสมุนอีกคนที่ทำให้งานในครั้งนี้จัดการไม่สำเร็จ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะทำงานพลาด
ท่านเผด็จมองตามสายตาของลูกน้องที่อยู่รับใช้กันมานานก็รู้ได้ทันทีว่าใครเป็นตัวถ่วงที่ทำให้งานที่เขาสั่งไปทำในครั้งนี้ไม่สำเร็จ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าของไอ้ยศ ลูกสมุนที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ ที่ตอนนี้มันยืนตัวลีบตัวสั่นอยู่ข้างๆ ลูกพี่ร่างยักษ์ของมันที่เพิ่งจะโดนตบสั่งสอนไปที่ทำงานไม่สำเร็จ
เพี๊ยะ! มือหนาตวัดหลังมือไปที่ใบหน้าทันที
“โอ๊ย!” ร่างไอ้ยศทรุดลงกับพื้นทันใด
“มึงใช่ไหมที่ทำให้งานของกูไม่สำเร็จน่ะ! ห๊ะ!”
ดวงตาของท่านเผด็จถลึงมองหน้ามันอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะเอ่ยบอกในสิ่งที่ทำให้ไอ้ยศตาเหลือกถลนกลัวลนลาน
“เก็บมันซะ! แล้วอย่าให้มีเสียงล่ะ!” พูดจบก็หันหลังให้มันทันที
“ท่าน! ท่านครับ! ผมกลัวแล้ว! อย่าฆ่าผมเลย! ให้โอกาสผมเถอะ!”
ไอ้ยศละล่ำละลักพูดติดๆ ขัดๆ ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ปลกๆ อย่างคนกลัวตาย
ชายร่างยักษ์ในชุดซาฟารีสองคนตรงเข้าล็อกแขนของไอ้ยศทันทีที่ท่านของพวกมันสั่งการ แต่ไอ้ยศดิ้นรนขัดขืนเต็มที่ ก่อนจะสลัดตัวหลุดออกจากการถูกล็อก มันรีบคลานเข้าไปกอดเท้าของท่านเผด็จเอาไว้แน่นก่อนที่จะเกลือกใบหน้าไปทั่วขา พร่ำอ้อนวอนให้ไว้ชีวิตมันไม่ยอมหยุด
“เอามันออกไปให้พ้นหน้ากูเดี๋ยวนี้!” ท่านเผด็จตวาดเสียงดังลั่น
“ไม่!! ท่านอย่าฆ่าผมเลย! ไว้ชีวิตผมเถอะ! พี่ชาติช่วยฉันด้วย! ฉันรับรองว่าคราวหน้าจะไม่พลาด! ช่วยฉันด้วยพี่! ไม่! ไม่! กูไม่ไป! ปล่อยกูสิโว้ย! ฮือ กูยังไม่อยากตาย! กูไม่อยากตาย!”
เสียงร้องขอให้ท่านของพวกมันไว้ชีวิตดังไม่หยุด ก่อนที่ร่างของไอ้ยศจะถูกหิ้วปีกออกไปด้านนอก ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดของมันก็ดังขึ้นในเวลาต่อมา
อ๊ากกก! เสียงร้องโหยหวนของไอ้ยศค่อยๆ เงียบลงไป แต่ภายในห้องที่มันถูกหิ้วปีกออกมายังคงคุกรุ่นด้วยอารมณ์โกรธของท่านเผด็จ ที่งานในครั้งนี้ไม่สำเร็จ มืออวบอูมยืนเอามือไหล่หลังอยู่เป็นนาน ก่อนจะเดินไปนั่งลงโซฟา แล้วเอื้อมหยิบแก้วบรั่นดีที่ถูกจัดมาให้ใหม่บนโต๊ะขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
เพล้ง! แก้วบรั่นดีถูกขว้างลงกับพื้นอีกครั้งเพื่อระบายความโกรธ
“ไอ้ชาติ!”
“ครับท่าน”
“กูอยากรู้ว่ากูจะได้ในสิ่งที่กูต้องการหรือเปล่า”
ท่านเผด็จตวาดถามเสียงดังลั่น บอกให้รู้ว่าภายในใจเดือดดาลขนาดไหน
“ผมรับรองว่ามันจะไม่พลาดอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอนครับ” ไอ้ชาติให้สัญญาแน่นหนัก ก่อนจะพูดต่อ
“แต่นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับแผนที่วางไว้ด้วยว่ามันจะใช้ได้ดีหรือเปล่า”
“นี่แกกำลังจะบอกฉันว่าแผนที่ทำวันนี้มันไม่ดี เลยทำให้งานพลาดงั้นสิ” ท่านเผด็จถามอย่างสงสัย
“งานที่พลาดวันนี้เป็นเพราะคนของเรา และก็มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยผู้หญิงไป เลยทำให้งานพลาด”
ไอ้ชาติบอกตามความจริง และนั่นทำให้ท่านเผด็จโมโหขึ้นมาอีก เมื่อรู้ว่ามีคนเสนอหน้าเข้ามาช่วยผู้หญิงที่เขาหมายมั่นปั้นมืออยากจะได้เอาไว้ไป
“ใครวะ! ใครหน้าไหนมันแส่เข้ามายุ่งเรื่องของกู”ท่านเผด็จกล่าวอย่างขุ่นเคืองเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ
“ผมไม่รู้! แต่ท่านน่าที่จะโทรไปหาคนที่เสนอแผนนี้ให้กับท่านนะครับ เพราะว่าหล่อนเป็นคนเสนอผู้หญิงคนนั้นมาให้กับท่าน”
ไอ้ชาติพูดพร้อมกับสบตากับท่านเผด็จที่มองจ้องหน้ามัน ก่อนที่ท่านของมันจะเหยียดยิ้มออกมา แล้วบอกให้ลูกน้องไปตามตัวคนที่คิดแผนการนี้ขึ้นพบเขาในทันที
ในเวลาต่อมา
เพียงไม่นานร่างของหญิงวัยห้าสิบต้นๆ ก็ก้าวเข้ามาภายในห้อง ใบหน้าถูกแต่งแต้มไว้เข้มจัด ก่อนจะฉีกยิ้มหวาน แล้วกรีดกรายเดินเข้ามาหาท่านเผด็จที่โซฟารับแขกในทันที
“ท่านมีอะไรจะให้ผการับใช้คะ ถึงให้คนของท่านพาผกามาพบน่ะค่ะ ยังไงก็เร็วหน่อยนะคะ คือ...ผการีบค่ะท่าน” นางผกากรองจีบปากจีบคอพูดทันทีที่นั่งลง
“ทำไม! หล่อนจะรีบไปไหน!”
ท่านเผด็จตวาดเสียงดัง ทำให้นางผกากรองตกใจมือไม้สั่น รีบยกขึ้นไหว้ขอโทษขอโพยทันที
“ท่านขา ท่าน ผกาไม่ได้ไปไหนไกลหรอกค่ะ ก็อยู่ในบ่อนของท่านนี่แหละค่ะ แต่ที่ผกาพูดแบบนั้นก็เพราะว่าผกากำลังมือขึ้นตอนที่ลูกน้องของท่านไปตามผกามาน่ะค่ะ นานๆ จะเป็นอย่างนี้สักที ทุกทีก็มีแต่เสียกับเสีย ท่านอย่าเพิ่งโกรธผกาเลยนะคะ ผกาขอโทษค่ะที่ทำให้ท่านไม่พอใจ แล้วเรื่องอะไรล่ะคะที่ท่านเรียกให้ผกามาพบน่ะค่ะ”
ผกากรองรีบเปลี่ยนเรื่องทันที จำต้องอดใจเอาไว้ก่อน ถึงแม้ว่าอยากจะกลับลงไปที่บ่อนนั้นใจจะขาด ท่านเผด็จปรายตามองผกากรองอย่างเหยียดๆ แล้วลุกขึ้นยืน ก่อนเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของไอ้ชาติ แล้วพูดว่า
“แผนของหล่อนมันไม่สำเร็จ”
“อะไรนะคะ! แผนของผกาน่ะเหรอคะไม่สำเร็จ! เป็นไปไม่ได้! ไม่จริ๊ง! ไม่จริง!” นางผกากรองร้องโวยวายขึ้น เป็นไปได้อย่างไรว่าแผนการที่จะกำจัดลูกเลี้ยงให้ออกไปจากชีวิตของหล่อนมันจะไม่สำเร็จ
“จริง! ทำไมมันจะไม่จริง ก็ฉันยืนบอกหล่อนอยู่นี่ไง หล่อนจะจัดการยังไงล่ะทีนี้”
นางผกากรองหน้าตึงขึ้นมาทันทีที่ท่านเผด็จพูดจบ ก่อนจะจีบปากจีบคอพูดขึ้น
“แผนของผกาที่วางเอาไว้น่ะมันไม่พลาดหรอกค่ะท่าน แต่คนที่ไปจัดการนี่สิผกาว่ามันคงจะทำพลาดเองซะล่ะมากกว่า”นางผกากรองพูดพลางถลึงตามองไอ้ชาติที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังท่านเผด็จ
‘แผนที่ฉันคิดน่ะมันไม่พลาดหรอก แต่คนของแกนั่นแหละไอ้แก่ที่ทำงานพลาด แล้วเสือกจะมาโยนขี้ให้กูรับผิดแทน เรื่องอะไรจะยอม’ นางผกากรองคิดในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกไป
“แล้วท่านจะให้ผกาทำยังไงล่ะคะ ในเมื่อแผนที่วางไว้มันไม่สำเร็จ โอกาสงามๆ แบบนี้ก็ใช่ว่าจะมีบ่อยๆ แล้วมันพลาดได้ยังไงล่ะคะท่าน” นางผกากรองเอ่ยถามอย่างอยากรู้
ท่านเผด็จปรายตามองหน้าไอ้ชาติอยู่เพียงครู่ ก่อนจะเดินกลับมานั่งลงที่โซฟาอีกด้านแล้วเอ่ยขึ้น
“ลูกน้องของฉันมันทำพลาด แถมมีคนมาช่วยไปอีก”
ท่านเผด็จเค้นเสียงพูดออกมา นางผกากรองเองเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นนิดนึงก่อนจะระบายยิ้มออกมา พร้อมกับปรายตามองไปทางไอ้ชาติแล้วพูดขึ้น
“อย่างนั้นท่านคงต้องจัดการกับคนที่ทำงานผิดพลาดแล้วล่ะค่ะ” นางรีบเสนอ
“หล่อนไม่ต้องบอกฉันหรอก เพราะว่าคนที่มันทำงานผิดพลาดน่ะฉันส่งมันไปเกิดใหม่แล้วล่ะ”
“ก็ดีค่ะท่าน เอ๊ะ!... เมื่อกี้ท่านบอกว่ามีคนมาช่วยไป ใครคะท่าน?. ใครกันที่ยื่นมือเข้ามาช่วยหนูบัว”นางผกากรองถามอย่างร้อนรน
‘มีคนมาช่วยมัน แล้วมันจะไปแจ้งตำรวจหรือเปล่าล่ะเนี่ย ไม่ได้การแล้ว ต้องรีบกลับไปดูที่บ้านแล้ว’ นางผกากรองคิดอยู่ภายในใจ
“ท่านคะ ผกาขอตัวกลับไปดูที่บ้านก่อนนะคะ ไม่รู้ว่าหนูบัวจะไปแจ้งความหรือเปล่า”นางผกากรองรีบลุกขึ้นทันที ทำให้ท่านเผด็จต้องลุกตาม
“ฉันว่าหล่อนน่าจะคุยกับลูกเลี้ยงของหล่อนให้รู้เรื่องน่าจะดีกว่านะ ฉันไม่อยากจะทำอะไรที่รุนแรง เดี๋ยวจะเสียของเปล่าๆ ถ้าหากหล่อนกล่อมให้หนูบัวยอมเป็นของฉันได้ง่ายๆ หล่อนอยากได้อะไรฉันจะให้ทุกอย่าง”
ท่านเผด็จพูดทิ้งท้าย นั่นทำให้นางผกากรองหันกลับมาฉีกยิ้มให้ทันที
“ผกากราบงามๆ ค่ะท่านที่ท่านเมตตา รับรองค่ะว่าผกาจะทำทุกวิถีทางที่จะนำหนูบัวมาให้ท่านให้ได้ค่ะ ผกาไปก่อนนะคะท่าน”
นางผกากรองยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อยอีกครั้ง ก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าวไปยังประตูที่ตอนนี้คนของท่านเผด็จเปิดรอเอาไว้ให้แล้ว
เมื่อพ้นออกมาจากห้องนั้นได้หล่อนก็รีบลงลิฟต์ไปยังลานจอดรถของโรงแรมดัง ที่ภายในเปิดเป็นบ่อนให้กับคุณหญิงคุณนายมีเงินทั้งหลายไว้เล่น
และไม่วายก่นด่าไปตลอดทางจนถึงรถเก๋งที่จอดอยู่ ก่อนจะล้วงหยิบกุญแจเพื่อกดปลดล็อกรถ แล้วก้าวเข้าไปนั่งประจำที่คนขับในทันที ไม่วายสบถด่าทิ้งท้ายก่อนเหยียบคันเร่งพารถออกไปจากลานจอดรถ
“นางบัว! แกนะแก! คราวนี้แกรอดไปได้ แต่คราวหน้าแกต้องไม่รอดแน่! คอยดู!”