ตอนที่ 9 คุณหนูในห้องหอผู้อ่อนแอและอ่อนต่อโลก

1710 Words
ในที่สุดหวงฮุ่ยเหยาก็ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวนห้าร้อยหมู่มาครอบครอง คนของทางการที่ดูแลเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินของอำเภอหงเฟยให้รู้สึกประหลาดใจยิ่งนักที่ดรุณีน้อยที่เพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นมีท่าทางมั่นอกมั่นใจ กล้าหาญ มีสายตาที่กล้าคมพร้อมที่จะต่อกรกับผู้คนได้ทุกเมื่อ เขาเคยได้ยินมาบ้างว่าบุตรสาวคนโตของเถ้าแก่หวงเศรษฐีของตำบลหงเหลิงนั้นแม้จะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งโฉมสะคราญแต่นางนั้นเป็นสตรีในห้องหอที่ทั้งบอบบางและอ่อนแอ หัวอ่อน ว่านอนสอนง่ายและอ่อนต่อโลก แต่กับสตรีผู้นี้ ผู้ที่เข้ามาทำการอ้างสิทธิ์อันชอบธรรมในการครอบครองที่ดินจำนวนมหาศาลต่อจากบิดามารดาที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นสายตาของนางมิใช่สายตาของดรุณีน้อยวัยกำดัด หากแต่เป็น…สายตาของสตรีที่ผ่านการมองโลกมานาน นานเท่าใดก็มิอาจรู้ได้ แต่หากดูจากท่าทาง น้ำเสียง แววตาและการแสดงออกแล้วเขามั่นใจว่านางต้องพาตนเองและน้องๆกลับมาผงาดได้เช่นบิดาของนางเป็นแน่ “ได้ยินข่าวว่าฮุ่ยเหยานั้นมีที่ดินที่บิดามารดาของนางซื้อเอาไว้รวมกับของที่มีมาแต่เดิมด้วยตั้งห้าร้อยหมู่เชียวหรือ?”จิ้งกุ้ยฟางเล่าให้บุตรสาวฟังตามที่นางได้ยินพวกชาวบ้านพูดคุยกัน เจี๋ยกุ้ยหนิงทำหน้าไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก นึกว่าไฟไหม้บ้านไหม้ร้านวอดวายจนเหลือแต่ซากปรักหักพังแล้ว อดีตสหายรักของนางจะสิ้นเนื้อประดาตัวซะอีก ที่ไหนได้ยังมีที่ดินผืนใหญ่มหาศาลตั้งห้าร้อยหมู่อีกหรือนี่ แต่…คุณหนูในห้องหอที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออย่างหวงฮุ่ยเหยาจะทำอะไรได้นอกจากแบ่งขายไปเรื่อยๆจนหมดเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง “ฮึ! อีกหน่อยนางก็คงขายกินจนหมดนั่นแหละ และพอขายที่ดินหมดแล้วต่อไปนางจะเอาอะไรกิน คนอย่างนางทำอันใดไม่เป็นสักอย่าง ดีแต่ชี้นิ้วสั่งคนอื่น” เจี๋ยกุ้ยหนิงเบ้ปากเมื่อนึกถึงอดีตสหายรักที่นางเคยริษยามาแต่ไหนแต่ไร หวงฮุ่ยเหยานั้นเกิดมาก็เป็นคุณหนู บิดามารดาพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ บ่าวรับใช้ก็มีมากมาย นางไม่เคยต้องลำบากทำงานหนักสิ่งใดเฉกเช่นที่เจี๋ยกุ้ยหนิงต้องทนทำเพื่อความอยู่รอด อยากได้หรือต้องการสิ่งใดก็เพียงเรียกบ่าวรับใช้มาสั่งงาน “นางทำอันไม่เป็นเลยหรือ?” ผู้เป็นมารดามุ่นหัวคิ้วถามด้วยความประหลาดใจ “ไม่เป็นอันใดทั้งสิ้น ทั้งเรื่องการเข้าครัว ทำอาหาร งานบ้าน เย็บผ้า ปักผ้า ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน แม้แต่อาบน้ำชำระร่างกายตนยังต้องให้พวกสาวรับใช้ช่วยดูแล ฮึ! แบบนี้ข้าว่าอีกไม่นานพอขายที่ดินกินจนหมดนางคงต้องอดตายจริงๆแล้วล่ะ” เจี๋ยกุ้ยหนิงแสยะยิ้มราวกับเป็นผู้ชนะ “หนิงเอ๋อร์ แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็เห็นเจ้ากับฮุ่ยเหยารักใคร่ผูกพันกันเป็นอย่างดี และนางก็เคยให้การช่วยเหลือเกื้อกูลครอบครัวเราสองแม่ลูกเป็นอย่างดีมาตลอด เหตุใดเมื่อถึงคราวที่นางต้องประสบเคราะห์กรรม นอกจากเจ้าไม่ยอมยื่นมือเข้าไปช่วยแล้วยังซ้ำเติมนางอีก ทำเช่นนี้ดูเหมือนว่าเจ้าหาได้มีความจริงใจต่อนางไม่” ผู้เป็นมารดาพูดเชิงตำหนิ นางไม่เห็นด้วยนักหรอกกับการกระทำที่ดูเหมือนเป็นการอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณของบุตรสาว เจี๋ยกุ้ยหนิงถอนหายใจแรง นางไม่ชอบสายตาของมารดาที่มองราวกับว่านางเป็นสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้เลย “ท่านแม่ ข้ายอมรับว่าที่ข้าคบหาเป็นสหายกับฮุ่ยเหยานั้นส่วนหนึ่งก็เพราะผลประโยชน์ แต่ข้าเองก็ต้องอดทนที่จะต้องเป็นบ่าวกึ่งสหายให้นาง เวลาที่นางไม่ได้ดั่งใจอันใดก็มักจะเรียกหาข้าให้ข้าไปช่วยแก้ไข อย่างเรื่องที่สาวรับใช้ของนางนั้นทำผมให้ไม่ถูกใจก็คราวหนึ่งล่ะ นางถึงกับให้บ่าวของนางมาตามข้าถึงบ้าน เพื่อไปทำผมให้นาง ตอนนั้นข้ากำลังเพิ่งฟื้นไข้แท้ๆแต่ก็ต้องจำใจไป” พูดมาแล้วเจี๋ยกุ้ยหนิงให้รู้สึกคั่งแค้นใจยิ่งนัก “แต่นางก็ให้ขนม ของกิน และเสื้อผ้าตอบแทนมาทุกครั้งมิใช่หรือ ข้าจำได้ว่าทุกครั้งที่คุณหนูหวงให้ของมาเจ้าดีใจแทบแย่” ผู้เป็นมารดาแย้ง แต่ผู้เป็นบุตรสาวกลับทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจ “ท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ ของทุกอย่างที่นางให้ข้ามาล้วนแต่เป็นของที่นางไม่ใช้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า ปิ่นปักผม ต่างหู หรือแม้แต่อาหารและขนมต่างๆก็ล้วนแต่เป็นของที่นางกินจนอิ่มแล้วและมีเหลือมากมาย เห็นหรือไม่เล่าว่าของต่างๆที่นางให้ข้ามาก็คือของที่นางให้แก่พวกบ่าวรับใช้นั่นเอง จริงๆแล้วนางก็เห็นข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้คนหนึ่งนั่นแหละ” ทางด้านกระท่อมไม้ไผ่ของสกุลเฉิง ก่วงเหม่ยผิงยายเฒ่าเจ้าเล่ห์เดินวนไปเวียนมาพลางบ่นพึมพำมาได้หนึ่งชั่วยามแล้ว “นึกไม่ถึงเลยว่านังเด็กฮุ่ยเหยาตัวแสบนั่นจะมีที่ดินถึงห้าร้อยหมู่ ฮื่ย! เหตุใดข้าไม่รู้มาก่อนหน้านี้นะจะได้ให้อาหรงหลอกเอามาจากเถ้าแก่หวงสักร้อยสองร้อยหมู่” “หึ! เจ้าเถ้าแก่หวงหน้าเลือดมันคงยอมโอนที่ดินให้ง่ายๆหรอก ตราบใดที่มันยังไม่ทันได้อาหรงเป็นลูกเขย ฮื่ย! นี่ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันแอบซื้อที่ดินไว้ตั้งห้าร้อยหมู่” เฉิงหย่งฝูที่อิจฉาบิดาของหวงฮุ่ยเหยาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่งนักเมื่อทอดสายตามองไปยังที่ดินจำนวนสิบหมู่ของครอบครัว มันเทียบอะไรไม่ได้เลยกับที่ดินอันกว้างใหญ่ไพศาลของหวงเหวินกวง “ท่านพ่อท่านแม่จะไปใส่ใจทำไมกันกับที่ดินเพียงแค่ห้าร้อยหมู่ อีกไม่นานข้าก็จะสอบได้เป็นขุนนาง หากมีวาสนาดีได้เป็นบุตรเขยของขุนนางขั้นสูงหรืออาจจะได้เป็นถึงราชบุตรเขยเมื่อนั้นแหละ….พวกท่านอยากจะได้ที่ดินเป็นพันหมู่ก็มิใช่เรื่องใหญ่ ขอเพียงตอนนี้ให้ข้าสอบผ่านได้เป็นจอหงวนก่อนเถอะ อีกอย่างสตรีอ่อนแอ โง่เขลา และอ่อนต่อโลกอย่างหวงฮุ่ยเหยา ต่อให้มีที่ดินที่นาสักหมื่นหมู่นางก็ไม่มีปัญญาหาเงินจากที่ดินเหล่านั้นได้หรอก คงได้แต่แบ่งขายเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปเรื่อยๆ หากเคราะห์ร้ายก็อาจจะโดนผู้อื่นมาหลอกลวงเอาไปจนหมดสิ้น หึ! นางไม่มีวันกลับมาร่ำรวยได้เหมือนแต่ก่อนหรอก” ปากก็พูดไปเสียอย่างนั้นแต่ลึกๆแล้วในใจของเฉิงเฟยหรงนั้นสุดแสนจะเสียดาย ที่ดินตั้งห้าร้อยหมู่แหน่ะ มันช่างกว้างใหญ่ไพศาลซะเหลือเกิน “อืม…เจ้าเองก็ต้องรีบสอบให้ได้นะอาหรง อย่าให้นังเด็กสาวตกยากนั่นมันมาหยามเกียรติเอาได้ แล้วนี่เจ้าจะกลับเข้าไปในเมืองไห่หูเมื่อใดกัน?” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถาม “เอ่อ…อันที่จริงข้าอยากจะไปสมัครเรียนกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงมากว่าขอรับ หากได้เรียนกับท่านอาจารย์เหล่านั้นโอกาสที่จะสอบได้เป็นจอหงวนก็มีมาก แต่…ติดที่ว่า…เอ่อ…เรื่องเงินขอรับท่านพ่อ” เฉิงเฟยหรงก้มหน้า เขาไม่กล้าสบตากับบิดามารดาขณะพูด บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้รู้ดีว่าฐานะของครอบครัวเขานั้นอัตคัดเพียงใด เฉิงหย่งฝูถอนหายใจแรง ตั้งแต่ที่ไม่มีเงินจุนเจือจากหวงฮุ่ยเหยาและหวงเหวินกวงแล้ว บุตรชายของเขาก็ดูเหมือนจะลำบากมากขึ้น นอกจากจะต้องประหยัดกินประหยัดใช้แล้วยังจะต้องรีบเร่งหาเงินจำนวนหกร้อยห้าสิบตำลึงมาคืนนังเด็กหวงฮุ่ยเหยาตัวแสบนั่นอีก ‘เหตุใดนางถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้นะ?’ เฉิงหย่งฝูนึกถึงหวงฮุ่ยเหยาอย่างไม่สบอารมณ์ “เรื่องเงินนั่นอย่าได้กังวล อีกสองวันข้าจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หากโชคดีล่าได้เสือก็จะขายได้หลายร้อยตำลึง” เฉิงหย่งฝูพูดอย่างเพ้อฝัน “แล้วถ้าหากไม่ได้ล่ะท่านพี่ อาหรงของพวกเรามิต้องอดเป็นจองหงวนหรอกหรือ?” ก่วงเหม่ยผิงสอดขึ้น นางทำท่าจะพูดต่อ ครั้นพอเห็นสามีทำตาขวางใส่ นางจึงได้แต่เงียบแล้วทำเป็นสงบปากสงบคำ “ท่านพ่อ…ถ้าท่านไม่ได้เสือล่ะ?” เฉิงเฟยหรงถามเสียงอ่อยๆ เขาเองก็รู้สึกหวั่นๆว่าจะไม่เงินสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการสมัครเรียนกับอาจาร์ที่เก่งๆในเมืองหลวง และหากเป็นเช่นนั้นเส้นทางการสอบได้ตำแหน่งจอหงวนและการเป็นขุนนางของเขาคงต้องมีอันต้องพับเก็บ ไหนจะเรื่องหนี้สินของอดีตหญิงคนรักตั้งหกร้อยห้าสิบตำลึงอีก เฉิงเฟยหรงนั้นเป็นบุรุษหนุ่มหน้าตาดี เรียนเก่ง แต่ไม่เคยหาเงินเอง เขาไม่เคยหาเงินได้เองเลยแม้แต่อีแปะเดียว “ถ้าล่าเสือไม่ได้ ข้าจะเอาที่ดินผืนนี้ไปจำนองกับเถ้าแก่หยง สักหนึ่งพันตำลึง คงเพียงพอสำหรับการไปเรียนที่เมืองหลวงและสมัครสอบ รวมทั้งใช้หนี้ให้นังคุณหนูตกยากนั่นด้วย” พูดไปเฉิงหย่งฝูก็โมโหไป เงินตั้งหกร้อยห้าสิบตำลึง ใจจริงเขาไม่คิดอยากจะคืนนางซะด้วยซ้ำ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD