“ก่อนอื่น พวกเราต้องมีที่อยู่” หวงฮุ่ยเหยาเปรยพลางถอนหายใจเบาๆ นางมองน้องทั้งสองที่กำลังนั่งกินหมั่นโถอย่างเอร็ดอร่อย
“การสร้างบ้านต้องใช้เงิน แล้วคุณหนูจะหาเงินจากที่ใดเล่าเจ้าคะ?” เหมยเหม่ยจิ้งเอ่ยถาม นางมีสีหน้าหนักอึ้งเมื่อนึกถึงความยากลำบากของข้อนี้
“คงจะต้องสร้างเป็นกระท่อมไม้ไผ่ไว้อยู่อาศัยชั่วคราวไปก่อน ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ อากาศกำลังเย็นสบาย สร้างกระท่อมไม้ไผ่พอได้กันแดดกันฝนไปก่อนก็คงจะพอไหว กว่าจะเข้าหน้าหนาวข้าคิดว่าป่านนั้นข้าอาจจะหาเงินทันมาสร้างบ้านอิฐให้พวกเราได้อยู่กันแล้ว” หวงฮุ่ยเหยาพูดด้วยท่าทางสบายๆ
หากเป็นเมื่อก่อนเหมยเหม่ยจิ้งคงจะแทบไม่เชื่อว่าคุณหนูใหญ่หวงฮุ่ยเหยาจะพาน้องๆผ่านพ้นวิกฤติของชีวิตในช่วงนี้ไปได้ แต่แล้วนางก็ประจักษ์ด้วยสายตาของตนว่าคุณหนูใหญ่ผู้บอบบางและอ่อนต่อโลกนั้นได้เปลี่ยนไปแล้วเมื่อหวงฮุ่ยเหยาสามารถทวงที่ดินคืนมาจากป้าจอมละโมบของนางได้ นางคือดรุณีที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าสตรีและบุรุษที่ผ่านโลกมาหลายสิบปีหลายๆคนซะอีก
เกิดอันใดขึ้น?
เหตุใดนางถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้?
แต่นั่นก็นับเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?
วันต่อมาหวงฮุ่ยเหยาเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมขนาดเล็กที่พวกนางได้เช่าอยู่มาได้สามวันแล้ว หญิงสาวตั้งใจที่จะเดินสำรวจตลาดและความเป็นไปของเมืองหงเหลิง นางเดินผ่านร้านขายผ้า อาภรณ์ เครื่องประดับ รองเท้าและร้านอาหารต่างๆที่นางเคยมาเป็นลูกค้าขาประจำพลางทอดถอนใจ
‘เฮ้อ! ต่อไปคงไม่ได้มาซื้อของที่ร้านพวกนี้อีกนานเลยละ’ นางนึกในใจแต่ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านในใจมากนัก นางเชื่อว่าสักวันหนึ่งในเร็วๆนี้นางจะพาครอบครัวกลับมาผงาดได้เช่นเดิม
หวงฮุ่ยเหยาเดินเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งมาหยุดอยู่ด้านหน้าสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งด้านในนั้นพลุกพล่านไปด้วยผู้คน เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจดังเล็ดลอดออกมา หญิงสาวพยายามเงี่ยหูฟังจนกระทั่งพอจะจับใจความได้
“ฮ่าๆๆๆ ข้าว่าอย่างไรเสียคุณหนูใหญ่ลูกสาวเถ้าแก่หวงก็คงจะไม่พ้นขายที่ดินเลี้ยงปากท้องนางและน้องๆนั่นแหละ ได้ข่าวมาว่านางเป็นคนหยิบโหย่ง ทำอันใดไม่เป็น เคยแต่ชี้นิ้วสั่งงานพวกบ่าวไพร่”
“แต่อย่างไรที่ดินของนางก็มีตั้งห้าร้อยหมู่เชียวนะ”
“หึหึ! หากต้องขายกินไปเรื่อยๆไม่รู้จักหาเงินเพิ่ม สักวันที่ดินต้องหมด เงินก็ต้องหมด ต่อไปอาจจะต้องขายเรือนร่างแทนละมั้ง”
“อย่าได้ดูเบานางไป ไม่รู้หรือว่านางไปทวงที่ดินห้าร้อยหมู่นั้นคืนมาจากป้าจอมละโมบของนางเองและตอกหน้าคนบ้านนั้นจนหน้าหงาย ได้ข่าวว่านางเก่งขึ้น ไม่แน่นะ บางทีนางอาจจะกลายเป็นคนใหม่ไปแล้วก็ได้”
“ฮ่าๆๆๆ ข้าพนันได้เลย ข้าว่าอีกไม่นานที่ดินของคุณหนูหวงต้องถูกขายจนหมดเป็นแน่”
“เอ๊ะ! ข้าว่าไม่แน่หรอก บางทีนางอาจจะเป็นเสือหมอบมังกรซ่อนก็เป็นได้”
“เช่นนั้นเราพนันกันไหมล่ะ ข้าว่านางจะต้องขายที่ดินจนหมดและใช้จ่ายจนหมดตัวในอีกไม่นาน เพราะนางเกิดมาเป็นคุณหนูในห้องหอ ติดความสบาย หยิบจับอันใดก็ไม่เป็น เคยแต่ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย”
“ย่อมได้ พวกเราล้วนชื่นชอบการพนันกันทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นคงไม่มาพบปะกันที่นี่หรอกจริงหรือไม่สหาย”
“ฮ่าๆๆๆ มาดูซิว่าผู้ใดจะหมดตัวกันแน่”
เสียงพูดคุยอย่างออกรสออกชาติเคล้ากับเสียงหัวเราะดังเซ็งแซ่ของผู้คนที่เล็ดลอดมาเข้าหูของหวงฮุ่ยเหยาไม่ได้ทำให้หญิงสาวที่เพิ่งจะพ้นวัยปักปิ่นผู้นี้เดือดดาลเลยแม้แต่น้อย กลับกัน…แววตานางพลันสว่างวาบ
หวงฮุ่ยเหยายืนแอบอยู่ด้านหลังเสาห้อยโคมไฟที่ตั้งอยู่ริมถนนจนกระทั่งพบว่าคนที่นางรอคอยได้เดินมาทางนี้ เป้าหมายของเขาก็คงไม่พ้นสถานที่อโคจรเช่นบ่อนการพนันเป็นแน่
“ท่านลุงเขย” หวงฮุ่ยเหยาเอ่ยทักก่อนที่ซื่อหย่งเหอจะก้าวขาเข้าไปด้านในสถานที่อโคจรอันลือเลื่อง
“อ๊ะ!” ซื่อหย่งเหอแปลกใจที่หลานสาวของภรรยาทำเหมือนว่ามาดักรอเขา
“ท่านลุงเขย หากพอจะมีเวลาให้ข้าสักหน่อย รบกวนเชิญทางนี้จะได้หรือไม่เจ้าคะ”
ซื่อหย่งเหอพยักหน้าเบาๆแม้ว่าจะไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของนาง
“เจ้ามีอันใดรึ?”
หวงฮุ่ยเหยามองซ้ายแลขวาเมื่อไม่เห็นว่ามีผู้ใดให้ความสนใจนางกับลุงเขย หญิงสาวจึงได้เอ่ยออกมา
“ข้าอยากจะมาขอบคุณท่านลุงที่ท่านมีใจเป็นธรรมไม่คิดโกงที่ดินของข้าไป อีกทั้งยังบอกให้ท่านป้าซึ่งเป็นป้าของข้าแท้ๆคืนที่ดินของพวกเรามาให้”
“อืม…เรื่องนั้นไม่เห็นจะต้องมาขอบคุณอันใดเลย ที่ดินของเจ้าก็ควรที่จะเป็นของเจ้า ถึงข้าจะเป็นพวกผีพนัน ไม่เอาการเอางาน แต่ข้าก็ไม่ชอบเรื่องการฉ้อโกง ที่เจ้ามาดักรอข้าในวันนี้เห็นทีจะไม่ใช่เพื่อขอบคุณอย่างเดียวกระมัง” บุรุษวัยกลางคนผู้ผ่านโลกมาห้าสิบกว่าปีนั้นดูออก
“เอ่อ…ข้ามีเรื่องอยากขอร้องให้ท่านลุงเขยช่วย ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่?” หวงฮุ่ยเหยาทำท่าทางลังเลเล็กน้อย
“ว่ามา” …..
หนึ่งก้านธูปต่อมาภายในบ่อนที่คลาคล่ำไปด้วยนักพนันมีเสียงพูดคุยกันดังเซ็งแซ่
“ฮ่าๆๆๆแบบนั้นก็สนุกนะสิ เห็นทีว่าตำบลหงเหลิงที่เงียบเหงามานานของพวกเราจะมีเรื่องสนุกก็คราวนี้ละ”
“ข้าพนันข้างคุณหนูหวง ข้าคิดว่าตอนนี้นางได้เปลี่ยนไปเป็นสตรีที่เก่งกาจขึ้นมาบ้างแล้ว”
“ฮะฮะฮ่า สตรีก็คือสตรี ยิ่งเป็นคุณหนูในห้องหอที่ทำอันใดไม่เป็นมาก่อน ข้าว่านางไปไม่รอดหรอก ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องหมดตัว”
“เอาละๆ เรามาตั้งกติกาในการแทงพนันครั้งนี้กันให้แน่ชัดดีกว่า หากว่าระยะเวลาภายในสามเดือนนี้คุณหนูหวงหรือหวงฮุ่ยเหยาสามารถพลิกฟื้นชะตากรรมได้ให้แทงข้างสีขาว แต่ถ้าผู้ใดคิดว่านางจะพาตัวเองและน้องๆไปไม่รอด ให้แทงสีดำ” หลงจู๊ของบ่อนพนันแววตาสว่างวาบเมื่อเห็นว่ามีผีพนันสนอกสนใจในการแทงพนันครั้งนี้จำนวนมาก
สิ้นเสียงของหลงจู๊เหล่าผีพนันต่างพากันควักเงินที่ติดตัวมาลงรายการแทงพนันกับคนของบ่อนที่เตรียมจดรายงานแทงพนันข้างกายหลงจู๊
“ข้าแทงสีดำห้าตำลึง”
“ของข้าสีขาวหนึ่งตำลึง”
“ฮึ! ทำไมแทงน้อยจัง”บุรุษคนแรกทำเสียงเยาะ
“ก็ข้าเหลือเงินเพียงเท่านี้” บุรุษคนเดิมตอบ
“ของข้าแทงสีดำยี่สิบตำลึง”
“ข้าด้วย สีดำห้าสิบตำลึงไปเลย”
“โอ้โห!” เหล่าผีพนันฮือฮา พลางหันไปทางต้นเสียง
“ข้าแทงสีดำหนึ่งร้อยตำลึง”
“โอ้โห!” ผู้มาทีหลังที่สร้างเสียงฮือฮาได้มากกว่าไม่ใช่ผู้ใดอื่น เขาก็คือ…เฉิงหย่งฝู บิดาของเฉิงเฟยหรงนั่นเอง
เฉิงหย่งฝูพยายามทุกวิถีทางที่จะหาเงินมาให้บุตรชายเพียงคนเดียวของเขานำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนและการสอบจอหงวน เขาพยายามออกป่าล่าสัตว์และสัตว์ที่เขาต้องการมากก็คือเสือและหมีซึ่งขายได้ราคาดีตัวละหลายร้อยตำลึง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่เคยเจอเสือและหมีเลยสักตัว ฉะนั้น…คงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจาก…การพนัน
“ข้าแทงสีขาวสองตำลึง”
“โอ้…ทำไมแทงน้อยจัง”
“ข้าสีขาวด้วย สิบตำลึง”
ซื่อหย่งเหอนั้นลอบสังเกตเหล่าผีพนันทั้งหลายทุ่มเงินแทงพนันอย่างเป็นเรื่องสนุก ตัวเขาเองก็แอบแทงข้างสีขาวเอาไว้ด้วยเหมือนกัน เขาเองก็รู้สึกว่าหวงฮุ่ยเหยานั้นเปลี่ยนไปมากจากการที่ได้เห็นนางปะทะคารมกับภรรยาของตนเพื่อทวงที่ดินคืนในวันนั้น แต่เนื่องจากเขามีเงินติดตัวมาไม่มากนักจึงแทงพนันไปแค่สามตำลึงเท่านั้น
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามลูกน้องของหลงจู๊บ่อนกลางตลาดจึงได้เงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษที่ใช้พู่กันขีดเขียนรายการแทงพนัน มีคนร่วมแทงพนันครั้งนี้กว่าสองร้อยคน ส่วนใหญ่จะแทงสีดำ มีเพียงสิบกว่ารายเท่านั้นที่แทงสีขาว หลงจู๊ของบ่อนที่ใครๆเรียกว่าหลงจู๊หลี่แววตาสว่างวาบ
‘งานนี้ต้องมีเรื่องสนุกแน่ๆ’ บุรุษวัยกลางคนผู้คร่ำหวอดในวงการพนันรู้ว่าสิ่งใดในใต้หล้าล้วนพลิกผันได้ เขารู้สึกว่าคุณหนูสกุลหวงผู้นี้น่าสนใจไม่น้อย จากที่แต่ก่อนผู้คนร่ำลือว่านางเป็นคนหัวอ่อน โง่งม อ่อนต่อโลก แต่เมื่อเขาได้เจอนางครั้งล่าสุดที่ที่ทำการของนายอำเภอเขาต้องบอกกับตนเองว่านางมิใช่หวงฮุ่ยเหยาดรุณีวัยแรกแย้มที่อ่อนต่อโลกและโง่งมอีกต่อไป