หวงฮุ่ยเหยาลูบหัวน้องทั้งสองเบาๆพลางเอ่ย
“เดี๋ยวพี่จะไปพูดคุยตกลงเรื่องที่ดินกับท่านป้า เจ้าทั้งสองอยู่กับป้าเหมยไม่ต้องไปด้วยหรอกนะ วันนี้พวกเจ้าเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว เดี๋ยวพี่จะเอาปิ่นนี่ไปขาย พอได้เงินมาเช่าโรงเตี๊ยมนอนสักคืนและซื้ออาหารให้พวกเรากิน” หวงฮุ่ยเหยาพูดพลางดึงปิ่นปักผมทองคำซึ่งมารดานางได้สั่งช่างในเมืองไห่หูทำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อมอบเป็นของขวัญในวันปักปิ่นของบุตรสาวคนโตและเป็นสิ่งของเพียงสิ่งเดียวที่หวงฮุ่ยเหยานั้นคว้ามาได้ตอนที่กำลังวิ่งหนีจากไฟไหม้
“แต่นั่น…เป็นของที่ท่านแม่สั่งทำเพื่อพี่ใหญ่โดยเฉพาะ พี่ใหญ่ไม่อยากเก็บไว้ดูต่างหน้าหรือเจ้าคะ?” หวงซิงเหยียนทักท้วง
หวงฮุ่ยเหยายิ้มเนือยๆอย่างอ่อนใจ
“เมื่อถึงคราวจำเป็นเราก็จำต้องขาย ปิ่นทองคำอันนี้เป็นของนอกกาย หากมีเงินเมื่อไหร่เราก็หาซื้อมาใหม่ได้ แต่ตอนนี้เรื่องอาหารการกินของพวกเจ้าสำคัญกว่า”
“พี่ใหญ่ไม่ต้องขายก็ได้ ข้าเห็นมีโรงรับจำนำร้านหนึ่งอยู่หัวมุมถนนด้านนู้น หากพี่ใหญ่เพียงแค่จำนำ ไม่ได้ขายขาด เมื่อตอนที่มีเงินก็มาไถ่ถอนคืนก็ย่อมได้”หวงหย่งจื้อเสนอแนะ
หวงฮุ่ยเหยาตาเป็นประกาย ใช่ว่านางจะไม่เสียดายปิ่นทองคำอันนี้ มันเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่มีค่าทางจิตใจและราคาค่างวดก็สูงมากด้วย
“เจ้านี่ฉลาดเสียจริง สมแล้วที่เป็นน้องพี่ มีพวกเจ้าทั้งสองคนคอยช่วย คอยเป็นแรงใจ อีกไม่นานพวกเราต้องกอบกู้ฐานะคืนมาได้อย่างแน่นอน” หวงฮุ่ยเหยากอดน้องทั้งสองเอาไว้ สายตาอันมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวของนางมองตรงไปทางภูเขาซึ่งอยู่ห่างจากตลาดในตำบลหงเหลิงราวหกลี้ ( ประมาณ 3 กิโลเมตร) ที่นั่นคือที่ดินทั้งหมดรวมห้าแปลงรวมพื้นที่ประมาณห้าร้อยหมู่ของครอบครัวนางซึ่งตอนนี้ป้าซึ่งเป็นพี่สาวของบิดาของพวกนางกำลังครอบครองทำกิน
หลังจากนำปิ่นปักผมทองคำไปจำนำและได้เงินมายี่สิบตำลึงหวงฮุ่ยเหยาก็ใช้เงินนั้นอย่างระมัดระวัง สิ่งที่ต้องใช้จ่ายไปอย่างแรกคือ ค่าที่พักที่โรงเตี๊ยมและค่าอาหารสำหรับทุกคน หลังจากฝากฝังน้องทั้งสองไว้กับป้าเหมยแล้วตัวของหวงฮุ่ยเหยาก็เดินทางไปพบหวงลี่จินผู้เป็นป้าที่บ้านของนาง
“ไม่มีทาง ข้าไม่ให้ ยังไงข้าก็ไม่ให้”หวงลี่จินโวยวาย
“เอ๊ะ! ท่านป้ากล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร ที่ดินทั้งหมดห้าร้อยหมู่นั้นเป็นท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าที่เป็นเจ้าของนะเจ้าคะ
“แต่ข้ากับครอบครัวก็ถือที่ดินนั่นทำกินมาหลายปี หลายปีแล้วที่พ่อแม่ของเจ้าไม่เคยดูดำดูดี ไม่เคยย่างกรายเข้าไปเหยียบที่ดินทั้งห้าผืนนั้นเลย มันย่อมต้องตกเป็นของข้า อย่างไรเสียข้าก็เป็นพี่สาวของเหวินกวง” นางลี่จินแสร้งโวยวายไปทั้งๆที่ลึกๆแล้วก็รู้สึกหวั่นใจ
“ท่านป้าคงจะลืมไปเสียแล้วกระมังว่าที่ดินเหล่านั้นส่วนหนึ่งเป็นท่านปู่ที่แบ่งให้ท่านพ่อและท่านป้า และส่วนของท่านป้านั้นก็ได้ทำการขายให้แก่ท่านพ่อของข้า และมีอีกหลายส่วนที่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้านั้นได้ทำการซื้อในภายหลัง ซึ่งไม่เกี่ยวกับท่านป้าแต่นี่คือสินแต่งงานของท่านพ่อกับท่านแม่ เมื่อท่านพ่อกับท่านแม่ได้ตายจากไป ที่ดินนั้นต้องตกเป็นของบุตรธิดาตามกฎหมาย”หวงฮุ่ยเหยาพยายามใจเย็นใช้ข้อกฎหมายมาอธิบาย นางยังไม่อยากแตกหักกับหวงลี่จินในตอนนี้เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็ได้ชื่อว่าเป็นป้า ถึงแม้จะรู้มาตลอดว่าผู้เป็นป้านั้นมีเล่ห์เหลี่ยมและเห็นแก่ตัวมากเพียงใด
“ยังไงพวกข้าก็ไม่ให้ ที่ดินนั้นเป็นของพวกข้าแล้ว ใบโฉนดเจ้าก็ไม่มี มันถูกไหม้ไปพร้อมกับร้านของเจ้าแล้ว แล้วเช่นนี้จะเอาอันใดมาอ้างสิทธิ์ได้เล่า ฮึ! ใครๆแถวนี้ก็รู้ว่าครอบครัวข้าครอบครองที่ดินนั้นมานานหลายปีแล้ว” เป็นซื่อจินเย่ว บุตรสาวเพียงคนเดียวของซื่อหย่งเหอกับหวงลี่จินที่ร้องตะโกนนำร่างอันท้วมเตี้ยเดินออกมาจากด้านหลังกระท่อมไม้ไผ่
“อ้อ! นึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็ลูกพี่ลูกน้องของข้าที่ผู้คนเขาร่ำลือว่าหาความงดงามได้ยากยิ่งนี่เอง ทั้งอ้วน ทั้งท้วม ทั้งเตี้ย อีกทั้งใบหน้าก็หาความงดงามไม่เจอ ถึงว่า…อายุเลยวัยปักปิ่นมาตั้งหลายปีก็ยังหาสามีไม่ได้” หวงฮุ่ยเหยานั้นเตรียมลับฝีปากกับญาติผู้พี่อยู่แล้ว ปกตินางใช่จะชื่นชอบการซ้ำเติมในข้อด้อยและเหยียบย่ำผู้อื่น แต่กับคนเห็นแก่ตัวและละโมบอยากได้ของผู้อื่นพรรค์นั้นนางขอละเว้นเถอะ
ซื่อจินเย่วนั้นเต้นพับๆ นางนึกไม่ถึงเลยว่าลูกพี่ลูกน้องที่เคยเป็นคุณหนูในห้องหอ อีกทั้งยังหัวอ่อนว่านอนสอนง่าย มาวันนี้จะมีฝีปากกล้าถึงเพียงนี้
“นี่…เจ้า…เจ้า…”
“อ้อ! อีกอย่างนะ นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สุดจะขี้ริ้วขี้เหร่แล้ว หัวเจ้ายังทึบอีกด้วย จริงอยู่ที่ว่าโฉนดที่ดินที่เป็นชื่อของท่านพ่อและท่านแม่ของข้านั้นจะถูกไฟไหม้ไปหมดแล้ว แต่…พวกเจ้าอาจจะลืม เอ๊ะ!หรืออาจจะไม่รู้…ว่าทางการนั้นมีโฉนดและหนังสือครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินของที่ดินทุกแปลง ทุกหมู่ ในเมืองหงเฟยนี้อยู่แล้ว เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปที่ที่ทำการของนายอำเภอ ไปยื่นเรื่องการถือครองที่ดินต่อจากท่านพ่อและท่านแม่ และหากว่าพวกเจ้ายังมายุ่มย่ามกับที่ดินของข้า ข้าจะถือโอกาสร้องเรียนท่านนายอำเภอด้วยซะเลย”
“เจ้าทำเช่นนี้ถือว่าอกตัญญูยิ่งนัก ที่ดินบางส่วนพวกข้าได้ทำการไถนาเตรียมจะปลูกข้าวแล้ว จู่ๆมาบอกให้พวกข้าเลิกใช้ที่ดินนั้นทำการเพาะปลูกได้อย่างไร” หวงลี่จินทำท่าดึงดัน
หวงฮุ่ยเหยาส่ายหน้า
“ท่านป้า เมื่อก่อนท่านเคยบอกว่าหลังจากเก็บเกี่ยวทุกปี จะแบ่งผลผลิตทั้งข้าวและผักให้พวกเรา แต่ปีแล้ว ปีเล่า ท่านก็ไม่เคยแบ่ง อ้างว่าฝนแล้งบ้างล่ะ แมลงบ้างล่ะ น้ำท่วมบ้างล่ะ ท่านคิดว่าท่านพ่อ ท่านแม่และข้าโง่นักหรือ พวกเรารู้มาตลอดว่าท่านโกหก คนของท่านพ่อมาแอบดูผลผลิตของท่านทุกปี และรู้ด้วยว่าท่านนั้นนำข้าวไปขายในเมืองหงเฟย ไม่ยอมมาขายให้ร้านของเรา เพราะกลัวว่าเราจะรู้ว่าท่านได้ผลผลิตมากขนาดไหน ท่านพ่อรู้ ท่านแม่รู้ แต่ก็แกล้งทำหูหนวกตาบอด ก็เพราะสงสารท่าน นี่ท่านยังไม่สำนึกอีกหรือ”
“จะ…เจ้า…เจ้า…ฮื่ย!” หวงลี่จินให้รู้สึกคั่งแค้นใจนัก
“ทะ…ท่านแม่ ทำอย่างไรดี ทำไมจู่ๆนังเด็กฮุ่ยเหยาถึงได้เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ได้เล่า?” ซื่อจินเย่วกระเถิบเข้ามาหามารดาใกล้ๆพลางกระซิบกระซาบในขณะที่สายตาก็จ้องมองหวงฮุ่ยเหยาด้วยความระแวง
หวงฮุ่ยเหยาเมื่อก่อนเป็นคนหัวอ่อน ว่านอนสอนง่าย ขี้ขลาด หวาดกลัว นางไม่เคยแม้แต่จะโต้เถียงหรือขึ้นเสียงกับผู้ใด ดูเผินๆเหมือนเป็นคนใจดี แต่ว่าอ่อนแอ เรื่องนี้ทั้งนางและมารดาต่างก็รู้ดี อีกทั้งหวงเหวินกวงผู้เป็นน้าชาย และหลี่ไป๋หลานผู้มีศักดิ์เป็นน้าสะใภ้นั้นก็ยอมให้ครอบครัวของพวกนางเอาเปรียบมาตั้งนานหลายปี ทั้งนางและผู้เป็นมารดาจึงได้ใจ นึกเอาว่าครอบครัวของหวงเหวินกวงนั้นทั้งโง่และไม่รู้ทัน จึงได้ชะล่าใจ
“หากว่าสตรีตัวน้อยๆเช่นข้าไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว ข้าคิดว่า เอ่อ…ข้าก็พอรู้จักบัณฑิตและขุนนางในเมืองหลวงอยู่บ้าง ข้าอาจจะ…ร้องเรียนท่านเจ้าเมือง หรือว่าอาจจะเขียนฎีการ้องทุกข์ไปถึงฮ่องเต้เลย อืม…แล้วคราวนี้นอกจากว่าครอบครัวท่านป้าต้องคืนที่ดินให้ข้าแต่โดยดีแล้ว อาจจะต้องโดนลงทัณฑ์ที่ฉ้อโกงบิดาข้า อาจจะโดนปรับ ริบทรัพย์ หรือว่าถูกจองจำก็ได้ ว่าแต่…ท่านป้าและพี่จินเย่วชอบแบบไหนดีล่ะ ฮะฮะฮ่า” หวงฮุ่ยเหยาแสดงให้พวกเขาเห็นว่านางเหนือกว่าโดยอ้างถึงคนรู้จักที่เป็นบัณฑิตและขุนนาง ถึงแม้ว่าตอนนี้นางจะยังไม่มี แต่ในอนาคตนางต้องมีแน่ การทำธุรกิจการค้าสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือเส้นสายหรือว่าคนรู้จักที่มีอำนาจบารมีพอที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้นั่นเอง นางเชื่อว่าการทำการค้าทุกยุคทุกสมัยย่อมหนีไม่พ้นสิ่งเหล่านี้
ปัง!
เสียงถีบประตูดังปังพร้อมๆกับประตูไม้ไผ่ที่เก่าโกโรโกโสหลุดออกมาจากตัวบ้านก่อนที่เจ้าของร่างผอมบางจะเดินโซซัดโซเซออกมา
“เจ้าเอาที่ดินทั้งหมดของเจ้าคืนไปได้เลย ครอบครัวนี้ใช้ที่ดินนั่นทำกินมานานเกินไปแล้ว” ซื่อหย่งเหอ ท่านลุงเขยของหวงฮุ่ยเหยานั่นเอง
“นี่…ตาเฒ่า เมาแล้วก็ไปนอน จะมายุ่งวุ่นวายทำไม นี่มันเรื่องของข้ากับที่ดินของน้องชายข้า” หวงลี่จินทำตาเขียวปั๊ดใส่สามีที่จู่ๆก็ลุกขึ้นมาขัดแข้งขัดขานาง
“ถึงข้าจะเป็นคนไม่เอาไหน ขี้เกียจ ชอบเล่นการพนัน ติดสุรา แต่ข้าก็ไม่ชอบการคดโกงผู้ใด โดยเฉพาะผู้ที่เป็นญาติ คืนที่ดินให้นางไปเถอะ รู้จักละอายใจบ้างนะลี่จิน ที่ผ่านมาพวกเราก็ใช้ที่ดินของนางและน้องๆทำกินมานานแล้ว ตอนนี้นางกำลังลำบาก คืนให้พวกเขาไปดีๆเถอะ ก่อนที่นางจะเอาเรื่องนี้ไปร้องทางการ” พูดจบซื่อหย่งเหอก็เดินโซซัดโซเซออกไป คงจะไปร้านสุรานั่นแหละ
หวงลี่จินมองตามสามีด้วยอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง นางอดที่จะกระทืบเท้าและชี้นิ้วด่าสามีไม่ได้
“ที่ข้าต้องทำแบบนี้ก็เพราะมีสามีที่ไม่ได้เรื่อง ไม่เอาไหนอย่างเจ้าไง ไอ้สามีเฮงซวย ไอ้แก่ขี้เมา ไอ้ผีพนัน”
หวงฮุ่ยเหยาได้แต่ถอนใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยใต้หล้านี้ก็ยังมีคนดีมีคุณธรรมอยู่บ้าง ลุงเขยของนางถึงแม้จะถูกผู้คนตราหน้าว่าไม่เอาถ่าน ขี้เกียจสันหลังยาวและเกาะภรรยาให้หาเลี้ยง แต่เขาก็ยังมีคุณธรรมไม่คิดจะคดโกงและเอาเปรียบนาง
“พรุ่งนี้ข้าจะไปติดต่อกรมที่ดินให้ใส่ชื่อของข้า ซิงเหยียน และหย่งจื้อในฐานะเจ้าของผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งห้าร้อยหมู่นั้น หวังว่าท่านป้าและพี่จินเย่วคงจะไม่มีปัญหา และหวังว่าคงจะไม่เห็นพวกท่านทั้งสองในที่ดินของพวกข้าอีก” พูดจบหวงฮุ่ยเหยาก็สะบัดแขนเสื้อพร้อมๆกับหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้สองแม่ลูกเต้นผับๆราวกับโดนผีเข้าอยู่ตรงหน้ากระท่อมไม้ไผ่นั้น