เมดิลีนสัมภาษณ์งานใหม่ ( Madelyn interview new job)#1

1445 Words
เมดิลีน Talk: สามวันแล้วที่ฉันกลายเป็นคนว่างงาน ความหวังที่จะได้งานใหม่เริ่มจางหายลงไปทุกที มีบางครั้งที่คิดจะกลับไปทำงานเดิมกับเจ้านายลามกชีกอ แต่แล้วก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไป หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จฉันก็เดินกลับห้องพัก ทันใดนั้นเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น คงเป็นแจ้งเตือนข่าวทั่วไปละมั้ง แต่ฉันก็ดึงมันออกมาดูอย่างลังเล เมื่อเห็นว่าเป็นอีเมลจากบริษัท JE Martinez แบรนด์กระเป๋ากับรองเท้าชื่อดัง ฉันก็รีบเดินเข้าไปในห้องนอนและนั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์ทันที เมื่อไล่อ่านข้อความทั้งหมดก็แทบร้องกรี๊ดออกมา เพราะนี่ไม่ใช่แค่อีเมลแจ้งข่าวปกติ แต่พวกเขายังเรียกฉันให้ไปสัมภาษณ์งานอีกด้วย ว้าว!!… นี่เรื่องจริงใช่ไหม ตาฝาดหรือเปล่าเนี่ย ฉันรีบหยิบแว่นตาขึ้นมาใส่และอ่านอีเมลทั้งหมดอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะกระโดดจนตัวลอยพร้อมร้องตะโกนออกมาอย่างดีใจ ทว่าวินาทีต่อมาก็ต้องหยุดชะงัก ตายแล้ว!… ฉันไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ สำหรับใส่ไปสัมภาษณ์งานเลยนี่นา คิดได้ดังนั้นจึงรีบวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าและหยิบกระเป๋าเงินออกมา ก่อนจะวิ่งไปที่ร้าน H&M อย่างรวดเร็ว พอมาถึงร้าน ฉันก็มองหาชุดที่น่าสนใจ กระทั่งสะดุดตากับชุดกางเกงขายาวสีดำที่ดูเป็นทางการและมีราคาเหมาะสม จึงหยิบมันใส่ตะกร้าก่อนจะเดินดูชุดเพิ่มอีก สุดท้ายฉันก็ได้เสื้อมาห้าตัวกับกระโปรงทรงดินสอเพิ่มอีกสามตัว พร้อมรองเท้าส้นเข็มด้วย ถูกใจที่สุด เพียงเท่านี้ฉันก็มีชุดสำหรับใส่สัมภาษณ์งานแล้ว และอีกสามชุดไว้ใส่ไปทำงานในเดือนแรก ถ้าฉันได้งานนะ! แต่เซนส์ของฉันบอกว่าจะได้งานนี้อย่างแน่นอน ฉันกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุขไปจนถึงอะพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ของฉัน และถ้าฉันได้งานนี้ละก็ สัญญากับตัวเองเลยว่าจะหาที่อยู่ใหม่ที่สะดวกสบายมากกว่าเดิม …… อาคาร JE Martinez นั้นใหญ่มาก และยังดูหรูหราเกินกว่าที่ฉันจินตนาการไว้อีกด้วย ตัวอาคารทั้งหมดทำจากกระจกสะท้อนแสงสีน้ำเงิน จากที่วิเคราะห์คร่าว ๆ อย่างน้อยต้องมีประมาณแปดสิบชั้น ความอลังการนี้ทำให้มือฉันชื้นไปด้วยเหงื่อ ฉันก้มลงดูชุดตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะขยับเสื้อไปมาให้เข้าที่เข้าทางอย่างเรียบร้อย และเชิดคางสูงขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง ก่อนจะเดินตรงไปยังแผนกต้อนรับ ภายในบริษัทนี้ก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน ผนังสีเทาเข้มมีโลโก้ JE ขนาดใหญ่แขวนอยู่ มีผู้คนที่แต่งตัวเรียบร้อยด้วยชุดสูทดูดีเดินไปเดินมาตลอดเวลา ทำให้ที่นี่ดูคึกคักมีชีวิตชีวาและยิ่งใหญ่ไปพร้อมกัน เมื่อมาถึงหน้าเคาน์เตอร์แผนกต้อนรับ ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนคู่กับเนกไทสีแดงทักทายฉันทันทีด้วยท่าทางสุภาพพร้อมรอยยิ้มอย่างมืออาชีพ ฉันจึงรีบแจ้งไปว่ามาสัมภาษณ์ เขามองหน้าฉันก่อนจะโทรศัพท์ไปยืนยันกับเลขาฯ ของผู้บริหาร ในไม่ช้าเขาก็พาฉันมาที่ลิฟต์และบอกว่าจะมีคนยืนรอให้ความช่วยเหลือเมื่อฉันไปถึงชั้นห้าสิบสอง ซึ่งเป็นชั้นสัมภาษณ์งาน เมื่อฉันเข้ามาในลิฟต์ก็ได้รู้ว่าอาคารนี้มีทั้งหมดแปดสิบสองชั้นตามคาด ยิ่งลิฟต์พาฉันขึ้นไปสูงมากเท่าไรฉันก็ยิ่งตื่นเต้นมากกว่าเท่านั้น ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกฉันก็ได้รับการต้อนรับจากชายวัยกลางคนอีกคนที่สวมใส่ชุดสูทสีดำพร้อมรองเท้าเข้ากันเงางาม เขาส่งยิ้มให้ ฉันจึงยิ้มตอบบาง ๆ ขณะที่เราเดินเข้ามาในห้องโถงแล้วตรงไปยังห้องที่อยู่สุดทางเดิน เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อมิคาอิ เป็นเลขาฯ ท่านประธาน ดูแล้วก็เป็นคนใจดีคนหนึ่ง เราคุยกันต่อนิดหน่อยก่อนฉันจะถูกทิ้งไว้ที่หน้าห้องนี้คนเดียว ฉันหายใจเข้าลึก ๆ เป็นเวลาสิบวินาทีและหายใจออก ก่อนจะเคาะประตูสามครั้งแล้วเดินเข้าไป ภายในห้องมีผู้ชายตัวสูงใหญ่ทั้งหมดสี่คน สองคนนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานที่มีเอกสารจำนวนมากกระจัดกระจาย คนหนึ่งสวมแว่นตาที่ไม่มีกรอบ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงทรงหลวมสีดำ อีกคนใส่ชุดสูทสีดำเหมือนกัน ฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ส่วนอีกสองคนนั่งอยู่บนโต๊ะประชุมขนาดเล็กข้างหน้าต่างขนาดใหญ่ คนหนึ่งสวมชุดสูทสีเทาสามชิ้นกับเสื้อโคตปลดกระดุม ผมสีดำถูกจัดทรงอย่างเรียบร้อย ฉันจำได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้บริหาร ให้ตายเถอะ! เขาหล่อมาก อีกคนหนึ่งก็ดูดีไม่แพ้กันเลย เขาสวมสูทสีน้ำเงินเข้ม เส้นผมดูยุ่งเหยิงแต่กลับยิ่งทำให้เขาดูหล่อเข้มมากกว่าเดิม ทว่าคนคนนี้กลับปล่อยออร่าข่มขู่ออกมาดูเข้าถึงได้ยาก ใบหน้าของเขาคมชัดนั้นเรียบนิ่ง คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ไม่มีรอยยิ้มใด ๆ ปรากฏ พระเจ้า ทำไมเจ้านายอีกคนถึงได้ดูร้อนแรงขนาดนี้นะ โชคดีที่ฉันทำการศึกษาข้อมูลบริษัทมาอย่างละเอียด จึงทำให้รู้จักพวกเขามาก่อน แต่ไม่คิดว่าตัวจริงจะหล่อเกินต้านขนาดนี้ ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลนำฉันไปที่โต๊ะประชุม แต่ทันทีที่ฉันนั่งลง เจ้านายที่อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินก็รีบยืนขึ้นและเดินไปทางหน้าต่าง ทุกคนในห้องประชุมไม่มีใครแสดงท่าทีประหลาดใจอะไร จากนั้นผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลก็แนะนำตัวเอง และแนะนำผู้บริหารของที่นี่ให้ฉันรู้จักอย่างเป็นทางการ คนแรกคือ เอไลจาห์ มาร์ติเนซ ส่วนคนที่สองคือโจนาธาน วอล์คเกอร์ มาร์ติเนซ มองจากบุคลิกภายนอกฉันคิดว่าเอไลจาห์คงเป็นเจ้านายที่ใจดีแน่ ตรงข้ามกับโจนาธานที่ดูดุดัน เคร่งขรึม และน่าเกรงขาม ดูสิ แม้แต่ชื่อของพวกเขาก็ยังเซ็กซีเลย ไม่อยากคิดเลยว่าพวกเขาจะร้อนแรงได้มากแค่ไหน ฉันตกอยู่ในภวังค์ก่อนจะถูกดึงกลับมาด้วยเสียงทุ้มลึกดุคำรามจากโจนาธาน “หยุดเสียเวลาและเริ่มสัมภาษณ์ได้แล้ว ฉันมีประชุมต่อ!” ฉันส่งยิ้มให้พวกเขาอย่างมืออาชีพ และพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าฉันพร้อมแล้ว จากนั้นการสัมภาษณ์ก็ได้เริ่มต้นขึ้น หนึ่งชั่วโมงผ่านไปฉันสามารถตอบคำถามทั้งหมดและอธิบายเกี่ยวกับตัวเองได้อย่างฉะฉาน ท่านประธานทั้งสองพูดคุยด้วยเล็กน้อยถึงวิกฤตปัจจุบันที่บริษัทกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งฉันรู้สึกได้ว่านี่เป็นการทดสอบ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เล่าให้ฟังเฉย ๆ จึงแสดงความคิดเห็นที่ซื่อตรงแก่พวกเขาออกไป ระหว่างนั้นฉันเหลือบไปมองเจ้านายหน้าดุอย่างรวดเร็ว และพบว่าเขาก็กำลังมองมาที่ฉันเช่นกัน สายตาคมนั้นจ้องสำรวจมาอย่างละเอียด ‘เจ้านายคะ ฉันไม่ได้ขโมยอมยิ้มของคุณไปนะ ไม่เห็นต้องมองดุขนาดนั้นเลย!’ ไม่รู้ว่าเช้านี้เขาโกรธใครมาหรือเปล่า ถึงได้ทำหน้าดุอยู่ตลอดเวลา ส่วนเจ้านายอีกคนนั้นยังคงคุยกับฉันอย่างต่อเนื่อง และบอกบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเจ้านายหน้าดุด้วย ทำให้ฉันได้รู้ว่าเขาเป็นโรคกลัวผู้หญิง มิน่าล่ะ เขาถึงดูไม่สบอารมณ์แบบนี้ หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาทีการสัมภาษณ์ก็จบสิ้นลง “ไว้เราจะแจ้งให้คุณทราบผลลัพธ์ผ่านทางโทรศัพท์หรืออีเมลนะครับ!” ฉันรวบรวมเอกสารสำหรับการสัมภาษณ์งานและเดินออกจากห้องประชุมมา พร้อมกับความรู้สึกโล่งอก ก่อนหน้านี้ฉันอึดอัดมาก เพราะผู้ชายที่ดูน่ากลัวคนนั้นแท้ ๆ ซึ่งเขาจะเป็นเจ้านายของฉันในอนาคต ถ้าฉันผ่านสัมภาษณ์ครั้งนี้ แต่มาคิดอีกที ถ้าฉันได้งานนี้จริง ๆ มันจะดีแค่ไหนกันนะ ที่ได้ทำงานกับผู้ชายร้อนแรงพร้อมกันถึงสองคน… กรี๊ด! ไม่อยากจะคิดเลย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD