พระอาทิตย์ขึ้นตรงศีรษะในยามเที่ยงวัน บุลลาขยับกายที่เริ่มเหนื่อยล้าให้ลุกขึ้นไปยังแปลงผักที่เหลือ สังเกตว่าคนงานล้วนแล้วแต่แรงดี แม้กระทั่งหญิงสาวที่ท้องก็ดึงหญ้าได้กองโตกว่าหล่อนเสียอีก บางคนก็แยกกันไปให้อาหารไก่ ปลา ที่บ่อถัดจากแปลงผัก ในเมื่อคนอื่นไม่ได้หยุดมือ หล่อนจึงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
ภาพที่เห็นทำให้คนร่างสูงที่ยืนมองอยู่ไกลๆ หงุดหงิดยิ่งนัก
“นายครับ... ให้ผมไปเชิญนายหญิงมากินข้าวไหมครับ” ทรัพย์เดินเข้ามาถาม อยุทธ์หันขวับกลับไปมอง
“ห้ามเรียกบุลลาว่านายหญิง”
“อ้าว... แล้วให้เรียกว่าอะไรครับ” ทรัพย์เกาหัวแกรกๆ เห็นตาดุๆ ไม่สบอารมณ์ของนายแล้วก็ไม่คิดว่านายจะหัวเสียได้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับบุลลาขนาดนี้ ทรัพย์รู้ดีว่านายถูกบังคับให้แต่งงาน แต่บุลลาเองก็สวยแถมกริยามารยาทก็ดี นายไม่น่ามีอาการต่อต้านได้ขนาดนี้
“ก็เรียกชื่อไปสิ ฉันไม่ได้อยากประกาศตัวว่าเขาเป็นนายหญิง หวังว่าบุลลาก็คงไม่เที่ยวโพนทะนาว่าเป็นเมียฉัน ให้คนงานเข้าใจว่าเป็นคนงานด้วยกันยังจะดีกว่า เผื่อวันหนึ่งมีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้นมา คนอื่นจะได้ไม่สับสน”
“ครับนาย” ทรัพย์รับคำ เก็บคำพูดของนายไว้เพื่อรายงานมารดาและรายงานหน่วยเหนือเป็นลำดับถัดไป
อยุทธ์กำลังวางแผนกำจัดนายหญิงให้ออกไปจากชีวิต ด้วยการกลั่นแกล้งให้ทนอยู่ที่ไร่นี้ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องรู้ถึงหูบิดาเขา
“แล้วตกลง ผมต้องไปตามนายหญิงเอ๊ย คุณบัว มากินข้าวกลางวันกลับนายไหมครับ”
“ไม่ต้อง ให้กินกับเพื่อนร่วมงานเค้าไปเลย”
คนร่างสูงบอกแล้วก็เดินออกไป ทรัพย์รีบควักโทรศัพท์ออกมารายงานป้าหวีในบัดดล
จวบจนค่ำแล้ว บุลลาก็รู้สึกเมื่อยขบไปทั้งตัว กำจัดวัชพืชทั้งแปลงแล้วยังต้องเก็บผักบุ้งจีนและผักคะน้าส่งตลาดสด รวมทั้งส่งเข้าไปให้โรงครัวของไร่เก็บไว้สำหรับทำอาหารมื้อต่อไป...
แสงแดดยามบ่ายเริ่มคล้อย เป็นนาฬิกาธรรมชาติให้ทุกคนหยุดมือที่จัดเก็บอุปกรณ์เข้าโรงเรือนข้างแปลงผัก บุลลาสอดส่องสายตาหาคนร่างสูงแต่ก็ไร้เงาของเขา คนงานผู้หญิงก็ทยอยกันกลับบ้างก็สามีที่เลิกงานจากฝั่งไร่กาแฟก็มารับ
หญิงสาวเดินกลับเองโดยที่ไม่รอเขาหลังจากเป็นคนงานคนสุดท้ายที่ตกค้างที่แปลงผัก หล่อนไม่ชอบบรรยากาศเงียบเชียบ
ระยะทางจากแปลงผักมาบ้านหลังเล็กเกือบสองกิโลเมตรคนที่เริ่มราแรงเพราะโหมงานหนักซึ่งร่างกายไม่เคยเจองานเช่นนี้ชักเหนื่อย ทางมาบ้านของอยุทธ์แยกคนละทางกับบ้านของคนงานจึงไม่มีใครผ่านมาทางนี้สักคน ความเงียบเชียบของเส้นทางทำให้หัวใจของบุลลาหนาวเหน็บอย่างบอกไม่ถูก...
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หล่อนหยิบขึ้นมาปัดหน้าจอเพื่อรับสายหลังจากที่เห็นว่าเป็นมารดา
“บัว เป็นอย่างไรบ้างลูก แม่เป็นห่วงนะ ไม่ได้ยินข่าวจากหนูเลย”
“เอ่อ แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ บัวสบายดี” บอกเสียงสดใส หากแต่น้ำตาก็ไหลรินลงมาอย่างหักห้ามไม่ได้
“แล้วเอ่อ... คุณอุ่น กับคนที่นั่น เขาดีกับลูกไหม”
“ก็ดีค่ะแม่ ไม่มีปัญหาอะไร” จำใจโกหก หากมารดารู้ว่าตอนนี้เธอน้ำตาร่วงอยู่ คงเสียใจมากกว่าเธอร้อยเท่าพันเท่าแน่ๆ
“แม่ก็ค่อยหายห่วงหน่อย... บัวเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายนะลูก งานมีอะไรก็ช่วยคุณอุ่นทำไป เผื่อได้สนิทกันมากขึ้นไม่ต้องมีเรื่องบาดหมางแล้วอยู่เย็นเป็นสุข”
“ค่ะ แม่ไม่ต้องห่วง แม่กับพ่อทานข้าวเยอะๆ ด้วยนะคะ ฝากบอกพ่อด้วยว่าอย่าทำงานหนักจนลืมพักผ่อนนะคะ”
“จ้ะ บัวก็ดูแลตัวเองนะลูก แม่ไม่กวนแล้วนะ รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยนะลูก”
วางสายมารดาแล้วก็ปาดน้ำตาที่ไหลเหมือนทำนบพังออกจากดวงหน้าให้เร็วที่สุด บอกกับตัวเองอย่างตั้งมั่นว่าหล่อนจะไม่อ่อนแอ... แม้ว่าเขาจะทำร้ายหล่อนมากมายแค่ไหนก็ตาม
มองเห็นตัวบ้านอยู่ลิบๆ หญิงสาวก็เหมือนจะหมดแรงเดินเอาดื้อๆ ไม่คิดว่าจะเจออะไรอีก เขาคงจงเกลียดจงชังหล่อนมากที่ยอมแต่งงานและเข้ามาเป็นส่วนเกินของชีวิตเขา...
ในขณะที่ขากำลังจะหมดแรงหญิงสาวรีบถอยเข้ายืนชิดทาง เมื่อเห็นฝุ่นตลบมาแต่ไกล รถแลนด์โรเวอร์วิ่งมาด้วยความเร็วสูง ก่อนจะจอดลงเมื่อขับเลยหล่อนไปได้ไม่กี่เมตร
อยุทธ์เดินลงมาจากรถ ก้าวขาเร็วๆ จนมาถึงตัวหล่อน สายตาที่มองมาทำให้หล่อนเม้มปากแน่น
แววตาเหมือนรู้สึกผิดนิดๆ ของเขานั้นต้องเป็นเรื่องลวงโลกแน่ๆ
“เธอเดินกลับมาถึงนี่เลยเหรอ ทำไมไม่โทรหาทรัพย์หรือให้เพื่อนคนงานที่ว่างมาส่ง”
“ฉันไม่อยากรบกวนใคร... ถ้านายตั้งใจให้ฉันเดินกลับ ฉันก็จะเดิน”
“ไม่มีใครตั้งใจให้เธอเดินกลับมา ฉันลืมไปว่ามีเธออยู่ในไร่ ทรัพย์เองก็ลืม”
ฟังแล้วก็ไม่ได้ดูดีขึ้นสักนิด เพราะหล่อนไม่สำคัญใครๆ ต่างก็ลืม หล่อนก็รู้ตัวแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะตอกย้ำทำไม...
“ช่างมันเถอะค่ะ”
หญิงสาวบอกฉุนๆ แล้วหันหลังให้เขาก่อนที่หล่อนจะแสดงสีหน้าอ่อนแอให้เขาได้เห็นมากกว่านี้ ขาที่เริ่มเหนื่อยมีแรงฮึดก้าว ยามเมื่อเขาอยู่ข้างหลัง หล่อนอยากหนีไปให้พ้นๆ ตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“นั่นจะไปไหน รถอยู่ทางนี้”
“ฉันจะเดิน” ร้องบอกโดยไม่หันหลังกลับไปมองและก้าวเดินหนีเขาไปเรื่อยๆ
อยุทธ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก้าวยาวๆ สามสี่ก้าวก็ถึงตัวหล่อน มือหนาคว้าต้นแขนหล่อนกระชากให้หันกลับมาได้อย่างไม่อยากเย็น
“อย่าอวดดี” เขาพูดเสียงรอดไรฟัน
“ปล่อย...” มือเล็กๆ ดึงมือที่เกาะต้นแขนหล่อนออก แต่ต้องนิ่วหน้าเมื่อเขาบีบมือแน่นเข้า และเขาก็คว้าไหล่หล่อนไว้ทั้งสองข้าง
“แค่มีเธอเข้ามาอยู่ที่นี่ก็สร้างปัญหามากพออยู่แล้ว อย่ามาดื้อให้ฉันต้องปวดหัวกว่านี้อีก” เสียงบอกเข้มๆ พร้อมกับที่เขาออกแรงลากหล่อนให้กลับไปที่รถโดยไม่ปราณีปราศรัย แม้หล่อนจะพยายามดิ้นให้หลุดและขืนแรงเขา แต่เขาแข็งแกร่งกว่าหล่อนหลายเท่า คนตัวเล็กจึงถูกจับโยนใส่ในหน้ารถเหมือนกระสอบนุ่น เขาปิดประตูรถเสียงดังโครมจนหล่อนสะดุ้งโหยง
ได้แต่นั่งนิ่งไปตลอดทาง เพราะกลัวคนบ้าและเอาแต่ใจหักคอ แค่ที่เขาบีบแขนและลากลู่ถูลู่ไถมาโยนใส่รถนี่ก็ไม่รู้ว่าจะช้ำไปถึงไหนต่อไหน
หล่อนรู้ตัวว่าเวลานี้ควรหยุดดื้อ เพราะเวลาเขาโกรธมันน่ากลัวจริงๆ