แค้นที่ 2
ไตร่ตรองไว้ก่อน?
แม้ว่ามาร์ตินจะพยายามชวนคุยหรือสอบถามใดๆ หากแต่คนหลังลูกกรงเหล็กนั้นกลับไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
"พอเถอะมาร์ติน หลานควรกลับไปได้แล้วนะ" องอาจที่ทนมองหลานชายของตนอยู่นานเอ่ยขึ้นอย่างขวางตากับความห่วงใยของคนเป็นหลานที่มอบให้เด็กขี้ยาคนนั้นแต่เขาไม่แม้จะใส่ใจสักนิด
"แต่ผมอยากอยู่ต่ออีกหน่อยครับ"
น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวของหนุ่มลูกครึ่งยังดังอยู่เช่นเคย พร้อมกับร่างสูงใหญ่ของเขาที่นั่งขัดสมาธิกับพื้นโดยไม่สนว่าจะสกปรกหรือไม่ นั่นยิ่งทำให้คนในสถานะผู้ต้องหายิ่งเจ็บกว่าเดิมกับความอาทรของอีกฝ่าย...ทั้งๆ เรื่องระหว่างพวกเขาที่มันควรจะจบลงตั้งแต่วันที่เขาเปลี่ยนเส้นทางเดินไปแล้วแท้ๆ
"น่ารำคาญว่ะ เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวเป็นนักบุญคอยหว่านเศษข้าวสาลีให้นกสักที" น้ำเสียงไม่เป็นมิตรนักที่เอ่ยขึ้นมาลอยๆ ขับให้มาร์ตินหันไปมองทันที
ความดีใจที่ 'เพื่อน' ของเขายอมปริปากพูดด้วย ทำให้หนุ่มลูกครึ่งเลือกจะมองข้ามคำพูดร้ายกาจนั่นอย่างไม่ต้องสงสัย
"ไม่ได้หว่านให้นกสักหน่อย ความจริงใจของฉันมีให้แค่นายนะเจค เอาอย่างนี้ถ้านายรำคาญ ฉันไม่ซักไซ้แล้วก็ได้ งั้นนายหิวไหม? เดี๋ยวฉันไปซื้ออะไรมาให้ ข้าวหน้าปากซอยร้านเดิมที่นายชอบไง"
"โอ๊ย! ก็บอกว่ารำคาญไงวะ อย่ามาทำเหมือนสนิทกันเหมือนเดิมได้ป่ะ ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมแล้ว จำไม่ได้รึไง จะไปไหนก็ไปเถอะ! ทายาทนักธุรกิจพันล้านแบบมึง อย่าลดตัวลงมาเกลือกกลั้วกับขี้ยาที่แม้แต่บ้านจะซุกหัวนอนยังไม่มีแบบกูเลย มันเสียเวลา!"
คำพูดจากน้ำเสียงเย็นชานั้น กรีดลึกลงหัวใจของคนฟังและคนเอ่ยเกินกว่าที่ใครจะคาดเดาได้
ความเงียบแผ่กระจายเข้าปกคลุมโดยรอบบริเวณ หากแต่ยังไม่ทันจะได้มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก เสียงของคนในเครื่องแบบยศน้อยก็เดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง
"มีญาติมาเยี่ยมผู้ต้องหาครับ"
ดวงตาแห้งผากของเจคอบเหลือบมองสาวน้อยตรงหน้าที่กำลังเล่นบทโศกเช็ดน้ำตาไปมาด้วยความฉงน หากแต่ด้วยว่าเขาคลุกคลีมากับวงการสีดำมาพอสมควรจึงพอจะคาดเดาเหตุการณ์ตรงหน้าได้
"โธ่กิ๊ฟ ไม่น่าลำบากมาเลย" ทันทีที่ได้ยินเสียงของเจคอบ สาวน้อยผู้ถูกสถาปนาว่าชื่อกิ๊ฟก็พลันถลาเข้าหาคนหลังลูกกรงทันที หยดน้ำตาถูกแสร้งบีบออกมาไม่ขาดสาย องอาจมองดูภาพตรงหน้าแล้วส่ายหัวไปมาคล้ายเอือมระอาแล้วหันหลังเดินออกไป คงเหลือไว้เพียงมาร์ตินที่ยังคงอยู่ที่เดิม
"ฉันเอาข้าวมาให้จ๊ะ พี่เป็นไงบ้าง" หญิงสาวว่าพร้อมกับสอดข้าวกล่องสีขาวที่ได้รับการตรวจค้นมา 'อย่างดี' ผ่านลูกกรงไปให้ สองหนุ่มสาวเล่นบทโศกใส่กันอีกครู่หนึ่งก่อนที่สาวคนนั้นจะแยกตัวออกไป
"แฟนนายเหรอ" มาร์ตินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้เต็มที่มากนัก
"อืม" คนถูกถามกลับตอบรับกลับมาเบาๆ ทั้งยังห้วนจนเหมือนมะนาวไม่มีน้ำ แล้วหันหลังให้หนุ่มลูกครึ่งราวกับไร้ความสนใจอีก
ข้าวผัดไข่เน้นกุ้งตัวโตอมชมพูน่าทาน กลับถูกเจคอบเขี่ยกลับไปกลับมาราวหาอะไรบางอย่าง เพราะเจคอบมั่นใจเหลือเกินว่าแฟนหนุ่มตัวจริงของตนคงต้องการจะสื่ออะไรแน่นอน ถึงได้จ้างวานให้คนของเขามาเยือนถึงที่นี่ และก็เป็นเหมือนที่เขาคิด เพราะพอช้อนพลาสติกเขี่ยคุ้ยไปมาถึงก้นกล่องถึงได้เจอเข้ากับกระดาษสีขาวที่ถูกม้วนจนเป็นขนาดเล็กและห่อหุ้มด้วยซองพลาสติกถูกซ่อนอยู่ข้างใต้
'เจคครับ พี่เข้มรักเจคนะ หวังว่าเจคจะไม่ลืมสัญญาของเรา แล้วพี่จะหาทางช่วยให้เร็วที่สุด'
จดหมายน้อยที่เหมือนเขียนมาย้ำเตือนไม่ให้เขานั้นลืมสัญญาถูกขยำทิ้งและทำลายอย่างรวดเร็ว ช้อนพลาสติกคันเดิมจ้วงตักข้าวกล่องเข้าปากคำแล้วคำเล่า จนมันหกล้นเลอะลงตามพื้นเพราะมันล้นปาก ราวกับว่าเขาหิวโหยมาเสียเต็มประดา
ทว่าในความเป็นจริง รสชาติของอาหารในปากแม้จะอร่อยลิ้นแค่ไหนหากแต่เจคอบกลับไม่รับรู้เลยสักนิด เพราะสำหรับเขาความเจ็บปวดจากเรื่องราวตอนนี้มันทำให้ปากของเขาไม่รู้รสอะไรเลย
ที่เขารู้มีเพียงแค่ว่าต้องก้มหน้าเดินไปตามเส้นทางที่ถูกปูให้เท่านั้น เพราะชีวิตของเขามันไม่มีเส้นทางที่สามารถจะเลือกเองได้อยู่แล้ว
"..."
เวลาต่อมา ทันทีที่เขาบอกว่าจะยอมสารภาพทั้งหมด เจคอบถูกพาตัวมานั่งต่อหน้านายตำรวจใหญ่และคนที่เอ่ยบอกว่าเป็นทนายความของคู่กรณี ใบหน้าคมคายเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีไม่ได้มีทีท่าหวาดกลัวเท่าไหร่นักเพราะเขาคุ้นชินเสียแล้วกับการถูกสอบปากคำต่อหน้าตำรวจแบบนี้ ทุกครั้งเขาสามารถหลุดพ้นมันไปได้ด้วยเส้นสายของแฟนหนุ่ม และครั้งนี้เขาก็คิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
"ลองเล่ามาสิ ว่านายไปทำอะไรตรงที่เกิดเหตุ" สารวัตรองอาจเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในขณะที่เจคอบเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มเล่นด้วยท่าทีกวนๆ แต่ก็ยอมเอ่ยปากบอกแม้จะค่อนข้างยั่วโมโหก็ตาม
"ก็เดินไปซื้อก๋วยเตี๋ยวกิน แค่นั้น"
"นายบอกว่าไปซื้อของ แต่กลับโผล่ไปอยู่ตรงจุดเกิดเหตุแถมมีปืนอยู่ในมือนี่นะ หรือนายจะบอกว่านั่นไม่ใช่ของนาย แค่บังเอิญหยิบขึ้นมา" ใบหน้าของเจคอบแสดงความวิตกออกมาอย่างเห็นได้ชัด องอาจที่สังเกตเห็นเลยได้ทีเอ่ยแถมแกมขู่เล็กๆ ไปอีก
"นายควรตอบตามความจริงนะเจค เพราะมันอาจจะเป็นประโยชน์กับนายมากที่สุด" ผู้ต้องหาหนุ่มถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะยอมเปิดปากอีกครั้ง
"เออ ปืนของผมเอง แล้วผมก็เป็นคนทำเอง ก็ใครอยากใช้ให้นังนั้นมันวอนตายเองละ"
"หมายความว่ายังไงครับ" ทนายของคู่กรณีรีบถามออกไปก่อนที่หูจะดับเพราะเสียงแผดร้องถามของ 'ญาติผู้ตาย' เสียก่อน
"ก็ยัยเด็กนั่นมันมายุ่งกับแฟนผมก่อน ตื้ออยู่ได้ส่งทั้งข้อความทั้งโทรมา จนผมต้องด่าไปหลายที แต่นางก็ยังไม่หยุด หน้าด้านชะมัด"
"แล้วไงต่อ" องอาจเอ่ยถามขึ้นอีกเมื่อชายหนุ่มเงียบไปเหมือนกำลังจะเล่นตัว และก่อสงครามประสาท
"ก็จนถึงเมื่อคืนนี้ละ ที่มันเหลืออดจริงๆ ผมนัดยัยนั่นมาเพื่อจะได้เคลียร์กันและก็ขอร้องให้เลิกยุ่งกับแฟนผม แต่มันไม่ยอมเราก็เลยทะเลาะกันอีกถึงขึ้นลงไม้ลงมือ แต่ยัยนั่นก็ยังไม่หยุดสร้างความรำคาญ ผมก็เลยเอาปืนออกมาขู่เธอ แต่เธอมันก็บ้าดีเดือดเข้ามาแย่งปืนผม ไปจนที่สุด...มันก็ลั่นถูกเธอเองนั่นแหละ"
"แต่คุณศิ...เอ่อ หมายถึงพี่ชายของคนตาย บอกว่าน้องสาวเขาเป็นคนเรียบร้อยนะครับ ไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่" ทนายที่ได้รับคำโต้เถียงจนหูแทบไหม้กลับมารีบเอ่ยบอก แต่ผู้ต้องหาหนุ่มก็ยังกลับยังเถียงต่อแบบไม่ลดละอีก
"อยู่ที่บ้านกับนอกบ้าน จะให้เหมือนกันได้ไง บางคนอยู่บ้านเรียบร้อย แต่ออกข้างนอกอาจจะเคียวจนแรดในสวนสัตว์ยังอายเลยมั้ง"
ทนายหนุ่มรีบดึงหูฟังบลูทูธของตนออกห่างจากตัวทันทีเมื่อคนปลายสายโวยวายไม่หยุด จนในที่สุดทนายคนกลางจำต้องตัดสายเขาไปก่อน
ผ่านช่วงสอบปากคำไป
"คุณศิลาบอกว่าจะจัดการกับผู้ต้องหาถึงขั้นสุดครับ จะไม่มีการรอลงอาญาและลดโทษใดๆ ทั้งนั้น หวังว่าสารวัตรคงจะเห็นชอบด้วยนะครับ กับคดีร้ายแรงแบบนี้"
สารวัตรใหญ่รับคำด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนเคย ผิดกลับเจคอบที่ยังคงยิ้มกริ่มได้เช่นเคย หากแต่ก็ได้ไม่นานนักเมื่อได้ยินคำประกาศิตขององอาจ ที่มันออกจะเกินจากที่รับรู้มาไปมากโข
"นายนี่ดับอนาคตตัวเองจริงๆ น่าเสียดายอายุยังน้อยแท้ๆ ต้องมาโดนประหาร"
"มะ หมายความว่ายังไง"
"ฆ่าคนตายโดยเจตนาเพราะวางแผนไว้ก่อน โทษสูงสุดเลยอยู่ที่ประหารชีวิตแถมทางนั้นเขาไม่ยอมความหรือให้ประกันตัวด้วย...นายจบแค่นี้ละ เจคอบ"
"เจตนาฆ่า หมายความว่าไง ผมแค่ทำปืนลั่นนะ!" เจคอบลืมตัวลุกพรวดพราดตวาดถามทันทีด้วยสีหน้าที่ตระหนกสุดขีด เพราะสิ่งที่เขาเจอกับคำบอกเล่าวันนั้นของเข้มมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"เลิกโกหกได้แล้วเจคอบ มีพยานส่งคลิปเสียงมาให้ว่านายวางแผนจะฆ่าศิณีอยู่แล้ว พยานชี้ตัวก็มีว่าเห็นนายตั้งใจลั่นไกออกไป หลักฐานขนาดนี้จะแก้ตัวอะไรอีก!"
คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของเจคอบรวดเร็วชนิดว่าประเดประดังจนเกินจะต้านทาน
'ไตร่ตรองไว้ก่อน? หลักฐาน? พยายรู้เห็น? นี่มันเรื่องเชี่ยอะไรวะ?'
หนุ่มหน้าสวยคิดในใจพร้อมกับกัดปากแน่นความหวั่นวิตกฉายชัดผ่านดวงตาของคนที่เริ่มอยากได้สารกระตุ้นเข้าร่างกาย มือเล็กเริ่มสั่นเทาขึ้นมาอย่างสังเกตได้ จนสารวัตรองอาจต้องรีบแจ้งทางโรงพยาบาลให้เข้ามาดูแลเร่งด่วน กระนั้นความเจ็บปวดในใจก็ไม่ได้จางหายไปแม้แต่น้อย
นี่สินะที่เข้มส่งคนมาย้ำกับเขา นี่สินะที่ฝ่ายนั่นไม่แม้จะโผล่หน้ามาให้เขาเห็น ทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แล้วสินะ...
เจคอบได้แต่ร่ำร้องในใจอย่างเจ็บปวดแล้วค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงด้วยความอ่อนล้ากับความเจ็บปวดอีกครั้งในชีวิตที่เขาต้องเจอ
เจคอบถูกควบคุมตัวมาขึ้นรถจากทางเรือนจำโดยนายตำรวจนับสิบ สำหรับนักโทษคดีอุกฉกรรจ์แบบเขา ชาวบ้านหลายคนมุงดูเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วส่งเสียงสาปแช่งเด็กหนุ่มมาเป็นระยะ ผิดกับเสียงของใครคนหนึ่งที่ดังแทรกเข้ามา
"ฉันเชื่อว่านายเป็นแพะ นายเป็นผู้บริสุทธิ์ ฉันไม่ยอมให้นายอยู่ในนั้นนานแน่เจคอบ ฉันสัญญา!"
คำสัญญาที่ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงได้หรือเปล่าขับให้เจคอบหันมองอย่างลืมตัว
ดวงตาเลื่อนลอยแห้งผากจ้องมองคนเพื่อนที่ตนไม่เคยลืม หรือตัดสัมพันธ์ได้จริงสักครั้งแม้จะเอ่ยปากไล่เขาตลอดเวลา พร้อมกลับหยดน้ำตาที่เอ่อคลอ ริมฝีปากแห้งแตกระแหงจากการกัดกระทบใช้ความคิด ขยับเรียกชื่ออีกฝ่ายแผ่วเบาในรอบหลายเดือน
"มาร์ติน..."
หากแต่เขาก็ทำได้เพียงแค่นั้น เมื่อร่างกายถูกฉุดรั้งขึ้นรถคุกไปยังดินแดนใหม่...ดินแดนที่ไม่มีใครอยากย่างกรายเข้าไป