แค้นที่ 1
ยอมจำนน
ท่ามกลางบรรยากาศกลางดึกในมุมหนึ่งของเมืองหลวงในตรอกซอกซอยแคบๆ บริเวณตึกเก่าถูกทิ้งร้างจนหญ้าขึ้นสูงรกชัน และน่ากลัวเกินกว่าใครจะอยากย่างกรายเข้าไปใกล้ แต่นั่นกลับเป็นแหล่งรวมตัวชั้นดีของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ระหว่างอาคารสูงตระหง่านสองหลังที่เต็มไปด้วยขยะและเศษขยะ
กลิ่นเหม็นของสิ่งปฏิกูลปนกับควันพิษฟุ้งอยู่ในอากาศ ทั้งพื้นคอนกรีตที่แตกร้าวยังมีตะไคร่น้ำเกาะแน่นจนแทบจินตนาการพื้นผิวเดิมไม่ออก ถูกแปรเปลี่ยนเป็นที่นอนกว้างให้ชายหญิงหลายคนในกลุ่มนอนเกลือกกลิ้งไปกับมัน เสียงร้องเพลงหรือบางจังหวะก็หัวเราะ ดังลอดสายลมมาเป็นระยะ ตามประสาคนที่อยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความสุข...จากสารบางอย่าง
"อ้าว อะไรกันพวกมึง ยังไม่ทันไรก็ตาฉ่ำกันแล้วเหรอวะ ไม่อยากลองของใหม่รึไง"
ประโยคที่พูดออกมาทีเล่นทีจริงแต่น้ำเสียงของคนเอ่ยช่างเหี้ยมเกรียมจนคนธรรมดาแบบพวกเราฟังแล้วอาจจะรู้สึกได้ว่าน่ากลัว หากแต่ว่าไม่ใช่กับกลุ่มคนในตึกร้างนั้น กับคนกลุ่มนั้นน้ำเสียงของผู้เป็นใหญ่ที่สุดมันคุ้นชินหูไปเสียแล้ว
เสียงของผู้มีอำนาจสูงสุดที่ดังแทรกเข้ามาในห้วงความฝัน ทำให้เหล่าวัยรุ่นที่ไม่ต่างอะไรกับ 'ทาสของเขา' หันมามองยังคนมาใหม่เป็นจุดเดียวโดยไม่ต้องนัดหมาย
"กูมีของล็อตใหม่มาฝาก รสใหม่แรงกว่าเดิม เดี๋ยวพวกมึงเอาไปแบ่งกันจะได้บรรยายให้ลูกค้าของกูฟังถูก ว่ามันดีแค่ไหน"
เข้ม หนุ่มวัยย่างเข้าสามสิบชูซองใสที่อัดแน่นไปด้วยเม็ดยากลมๆ สีสดให้ทาสของเขาดู เพียงแค่ได้มองหญิงชายที่อยู่ในสภาพไม่ต่างจากผีในร่างคนรีบลนลานคลานมาแทบเท้าเขาทันทีอย่างยอมศิโรราบแบบไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ มุมปากหนาก็ยกยิ้มอย่างลำพองใจ
"แล้วนี่ 'เมีย' กูไปไหนวะ" เข้มเอ่ยถามลิ่วล้อของตนถึงใครอีกคนที่เขายกตำแหน่งให้หมาดๆ
"อยู่ตรงนู้นพี่" ชายหนุ่มหน้าหล่อเหลาในระดับหนึ่ง หากแต่ดวงตากับเหี้ยมเกรียมยกยิ้มขึ้น แล้วเดินตรงไปหาอีกคนทันที
ควันสีเทาลอยฟุ้งจากริมฝีปากของชายคนหนึ่งที่แยกออกมานั่งอยู่คนเดียว แผ่นหลังของชายหนุ่มวัยเบญจเพสแตะพิงกับผนังของตึกร้างเพื่อทรงตัว ดวงตาคมเลื่อนลอยมองออกไปไกลไร้จุดหมาย พร้อมกับปากยังคงเป่าควันจากสารกระตุ้นออกมาอีกเป็นระยะ
"ไง คนดี ทำไมมานั่งคนเดียวละ" เสียงของคนมาใหม่ขับให้ชายหนุ่มหันมามองแล้วยกยิ้มออกมา
"มาแล้วเหรอครับ วันนี้ไปนานจังนะ"
"นานแต่ก็คุ้มนะ" ว่าแค่นั้นแล้วก็ชูซองใสอันเดิมให้ดูพร้อมรอยยิ้มกริ่มออกมา
มือเรียวรีบคว้ามันมาอย่างรวดเร็วและจัดการกับสารในนั้นอย่างไม่ต้องให้ใครร้องขอ
และเพียงเวลาแค่ไม่กี่นาทีหลังจากที่ได้รับสารกระตุ้นตัวใหม่เข้าร่างกายไป วงหน้าและดวงตาของเด็กหนุ่มวัยเบญจเพสนามว่า เจคอบ ก็เปลี่ยนไปจากเดิม ดวงตาเลือนลอยอยู่ในห้วงฝันบวกกับรอยยิ้มหวานกับจินตนาการในห้วงสำนึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง ขับให้เจคอบเริ่มหัวเราะออกมาอย่างลืมความทุกข์ที่มีก่อนหน้าหมดสิ้น
รอยยิ้มของเข้มผุดขึ้นมาอีกครั้งกับความพึงพอใจตรงหน้า
วงแขนกว้างคว้าเอาตัวของเด็กหนุ่มสติเลื่อนลอยข้างกายมาโอบรัดเอาไว้ แล้วพรมจูบไปยังเรือนผมดำขลับราวกับแสนรักเสียเต็มประดา
"เจครักพี่เข้มนะครับ" คำพูดของคนใต้ฤทธิ์ยานั้นสร้างรอยยิ้มสมใจของเข้มผุดออกมาอีกครา มือหนาวนลูบไปตามหัวไหล่ของอีกคนแล้วกระซิบถามเสียงแผ่ว
"ที่ว่ารักนี่ มากพอถึงขนาดตายแทนพี่ได้ไหมเอ่ย"
"ชีวิตเจคเป็นของพี่แล้วนี่ครับ ขอแค่พี่บอกมา เจคพร้อมจะทำให้ทุกอย่าง" หนุ่มวัยเบญจเพสว่าออกมาด้วยท่าทีและดวงตาแสนเหม่อราวกับไร้สติ
มือเล็กกว่าปัดป่ายกอดรัดไปยังแฟนหนุ่มของตนเหมือนเด็กต้องการความรักและอยากจะได้ใครสักคนไว้ยึดเหนี่ยว
"งั้นเหรอ พี่จะจำคำนี่ไว้นะ" คนเหี้ยมโหดพูดขึ้นพร้อมแสยะยิ้มร้ายกาจออกมา
เข้ม จัดได้ว่าเป็นบุคคลอันตรายคนหนึ่งเลยทีเดียว เขาไม่ใช่คนที่มีเมตตาต่อใครหน้าไหนและเต็มใจที่จะใช้ทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ชีวิตของชายวัยสามสิบปีขับเคลื่อนด้วยความโลภ อำนาจ และความปรารถนาที่จะควบคุม เขาจะไม่หยุดเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
คำว่าเห็นอกเห็นใจไม่เคยอยู่ในพจนานุกรมคำศัพท์ของเขา เข้มเต็มใจที่จะทำร้ายผู้อื่น แม้ว่านั่นจะทำให้ใครต่อใครเจ็บปวดทุกข์ทรมาน หรือกระทั่งตายตกต่อหน้าเขา เข้มก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรแม้เพียงนิด
"..."
เสียงแหลมชวนแสบแก้วหูจากล้อยางที่ถูกแตะเบรกอย่างกะทันหัน พ่วงมาด้วยเสียงหวอฉุกเฉินหวีดดังแหวกความเงียบท่ามกลางความมืด จากบรรยากาศยามค่ำคืนในตรอกซอยลึกแห่งหนึ่ง ก่อนที่ไม่นานชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบสีกากีราวห้าถึงหกคนก็พร้อมใจกันลงมาจากรถด้วยท่าทีระมัดระวัง ทุกนายเล็งปลายกระบอกปืนไปยังจุดหนึ่งพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย พร้อมด้วยรถพยาบาลที่วิ่งฉิวเข้ามาจอดในวินาทีไล่เลี่ยกัน
"ตะ ตรงนั้น ตรงนั้นค่ะคุณตำรวจ"
เสียงสั่นเครือของหญิงวัยกลางคนละล่ำละลักบอก มือสั่นเทาชี้ไปยังจุดที่ปลายกระบอกปืนเล็งสีหน้าเกร็งหวาดกลัวแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด จนพยาบาลต้องรีบเข้ามาดูแลก่อนที่เธอจะมีอาการตกใจไปมากกว่านี้
"ใจเย็นก่อนนะครับ คุณพยาบาลฝากหน่อย"
"คนเจ็บอยู่ตรงนั้น เอาไงดีครับสารวัตร เหมือนคนร้ายจะมีปืน"
ชายหนุ่มในชุดเสื้อกาวน์เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างอะไรกับกลุ่มคนก่อนหน้า
"อย่าขัดขืน! แล้ววางอาวุธลง!"
เสียงของคนที่อยู่ในยศใหญ่สุด ตะแบงเสียงร้องบอกออกไปยังร่างของใครคนหนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล
ทว่าฝ่ายนั้นเหมือนไม่ได้ยินคำสั่งในตอนแรกจนเขาต้องเอ่ยซ้ำด้วยน้ำเสียงที่หนักกว่าเดิม
"บอกให้วางอาวุธลง!" ร่างนั้นสะดุ้งออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ หันกลับมาโดยที่ในมือยังคงกำปืนสั้นไว้แน่น เพียงแค่เห็นใบหน้าของผู้ต้องสงสัยเสียงลมหายใจของคนหัวหน้าชุดก็พลันดังขึ้นทันที แต่ก็ยังร้องสั่งตามหน้าที่
"เจคอบ วางปืนลงแล้วมอบตัวเดี๋ยวนี้!"
คนถูกล้อมไม่ได้เอ่ยอะไรออกมานอกจากเม้มริมฝีปากแน่น แม้จะไม่อยากจำนน หากแต่เขาก็รู้ดีว่าตนคงไม่รอดแน่ สองมือจึงค่อยๆ ยกชูขึ้นเหนือหัวอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเห็นว่าคนในวงล้อมไร้การต่อต้าน สองชายในเครื่องแบบรีบตรงเข้าชาร์จตัวเขาไว้ทันที พยาบาลและหมอเมื่อเห็นว่าบุคคลอันตรายถูกคุมตัวแล้วจึงรุดไปยังคนเจ็บที่นอนจมกองเลือดอยู่ใกล้ ๆ
"เสียชีวิตแล้วครับ"
น้ำเสียงเศร้าๆ ร้องแจ้งแก่คนที่อยู่ในยศใหญ่ ทำเอาคนฟังถอนหายใจออกมาก่อนจะกลืนความลำบากใจที่เหมือนตีขึ้นมาลงคอแล้วเอ่ยออกคำสั่งเสียงเข้มทรงอำนาจ
"คุมตัวผู้ต้องหาไปโรงพัก!"
คนยศน้อยกว่าที่คุมตัวบุคคลอันตรายอยู่รับคำแล้วเร่งนำตัวเขาขึ้นรถออกไปทันที
"ทางนี้ฝากคุณหมอด้วยนะครับ"
เมื่อหมอหนุ่มพยักหน้ารับคำ เขาจึงล่าถอยออกมาเพื่อบึ่งรถตามขบวนก่อนหน้าไปอย่างไม่คิดจะรอช้า
ภายนอกอาคารที่ติดป้ายเด่นเป็นตระหง่านว่า 'สถานีตำรวจ' แลเห็นรถหรูคันหนึ่งแล่นเข้ามาด้วยความเร็วสูง ก่อนจะถูกจอดอย่างกะทันหันจนเกิดเสียงดังลั่น และเพียงเสี้ยววินาทีร่างสูงของคนขับจะพุ่งกระโจนออกมา ใบหน้าสไตล์ลูกครึ่งฉายแววเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ ขายาวก้าวฉับขึ้นบันไดที่มีเพียงไม่กี่ขั้นด้วยความร้อนใจ
"เจค เจคอบ นายอยู่ใน จ่าเพื่อนผมอยู่ไหน!"
"มาร์ติน! เบาเสียงลงหน่อย แกกำลังรบกวนคนอื่นอยู่นะ"
สารวัตรองอาจเอ่ยปรามคนมาใหม่ด้วยน้ำเสียงเข้ม เมื่อเห็นว่าผู้มีศักดิ์เป็นหลานชายกำลังส่งเสียงดังลั่นจนผู้ต้องขังหลังลูกกรงสีดำสนิทเริ่มส่งเสียงอย่างไม่พอใจ
"แล้วเจคอยู่ไหนล่ะครับ! ผมต้องการเจอเพื่อนเดี๋ยวนี้!"
คนในตำแหน่งใหญ่ถอนหายใจออกมาก่อนจะพยักพเยิดไปทางห้องติดลูกกรงที่อยู่ท้ายสุด ร่างสูงของหนุ่มลูกครึ่งถลาเข้าไปหาคนในนั้นทันทีด้วยความห่วงใย
"เจค เจคครับ ได้ยินรึเปล่า เฮ้! เจค!"
มาร์ตินพยายามร้องเรียกอีกคนผ่านลูกกรงเหล็กสีดำ ทว่าไร้เสียงตอบรับใดๆ กลับมาเพราะฝ่ายนั้นเอาแต่นั่งกอดเข่าโยกตัวไปมาราวกำลังอยู่คนเดียวบนโลก
"เกิดอะไรขึ้นครับ"
หนุ่มลูกครึ่งหันมาถามอย่างงุนงงเพราะเขายังไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก เพราะแค่ได้ยินจากอาว่าเพื่อนของเขาโดนจับกุม ความตระหนกและห่วงหาก็นำเขามาที่นี่ก่อนแล้ว
"ทางเราก็อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องมันเป็นยังไงแน่ เพราะเจคอบเองก็ยังไม่ยอมเปิดปากอะไรออกมาเลย"
"งั้นผมขอเข้าไปหาเขาได้มั้ยครับ"
"ไม่ได้! คดีร้ายแรงแบบนี้แกอย่ามายุ่งเลยมาร์ติน" คนเป็นอาเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่คนเพิ่งมาถึงกับยิ่งงุนงงหนักกว่าเก่า
"ร้ายแรง? เจคไม่ได้โดนคดียาเสพติดเหมือนทุกทีหรอกหรือครับ"
"ไม่ใช่! เจคอบตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่าคนตายต่างหาก"
คำพูดของคนเป็นอาราวสายฟ้ามาฟาดลงกลางความรู้สึก ดวงตาสีน้ำข้าวเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกกับประโยคนั้น ภายในใจของเขากระตุกอย่างแรงจนสองเข่าอ่อนยวบจนไม่อาจทรงตัวได้ ค่อยๆ ปล่อยกายลงทรุดนั่งกับพื้น น้ำเสียงแหบพร่าละล่ำถามออกไปผ่านริมฝีปากที่สั่นกระทบกัน กับเรื่องราวที่เพิ่งได้ยิน
"ฆ่าคนตาย! เป็นไปไม่ได้ผมไม่เชื่อหรอก อาโกหก อาเกลียดเจคเลยยัดข้อหาให้ใช่ไหม! ทำไมทุกคนถึงต้องใจร้ายกับเจคตลอด แค่นี้ชีวิตเขายังไม่เลวร้ายพอหรือไง จะย่ำยีชีวิตเขาไปถึงไหนกัน"
คนตัวใหญ่ตะเบ็งเสียงออกมาอย่างสุดกลั้น น้ำตาเม็ดโตคลอเอ่อออกมาเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจคอบต้องเจอมาตลอดหนึ่งปีโดยที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ไม่สิต้องเรียกว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับความช่วยเหลืออะไรเลยต่างหาก
"มาร์ติน! มีเหตุผลหน่อยสิ ถ้าเราไม่มีหลักฐาน จะกล้ากล่าวหารึไง"
"หลักฐานอะไร! อาช่วยเล่าสิ่งที่ผมควรรู้ทีสิ ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่"
สารวัตรองอาจถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกหนักอก แต่ก็ยอมเปิดปากเล่าในสิ่งที่หลานชายควรรู้ให้ฟัง
"มีคนแจ้งความว่ามีเหตุยิงกันในซอยเก้าเราเลยไปตรวจสอบ แล้วก็เจอผู้หญิงคนหนึ่งโดนยิงจนแน่นิ่งจมกองเลือด โดยที่มี...เจคอบยืนถือปืนอยู่ข้างๆ"
"นี่อากำลังจะบอกว่า..."
"ใช่! ตามหลักฐานและพยานที่เห็นเหตุการณ์ บ่งชี้ว่าผู้ตายถูกเจคอบยิง เขาเลยตกเป็นผู้ต้องสงสัยในข้อหาฆ่าคนตาย"
"ไม่จริง! เจคจะฆ่าเธอทำไม! ผมไม่เชื่อหรอก"
"มาร์ติน! แกต้องใจเย็นกว่านี้นะ เราพูดไปตามหลักฐานและพยาน ที่เหลือต้องรอให้เจคอบยอมปริปากออกมาเองเท่านั้น"
"แต่ผมเชื่อว่าเจคไม่มีทางทำแบบนั้นแน่! ทั้งหมดนี่มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิด"
หนุ่มลูกครึ่งร่ำร้องออกมา ทว่าแรงเสียงกลับเบาหวิวราวบ่นบ้ากับตัวเอง ในขณะที่องอาจกลับยิ้มเยาะออกมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายดูหมิ่น
"แกเอาอะไรมามั่นใจขนาดนั้น! แกก็รู้นี่ว่าประวัติหมอนั่นมันโชกโชนขนาดไหน เรื่องนี้มันก็ไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมายนะ"
"แต่ผมไม่เชื่อ ถึงคนอื่นจะมองว่าเขาเลวร้ายยังไง แต่เจคก็ยังเป็น...เพื่อนของผมอยู่ดี"
ท้ายประโยคนั้นมาร์ตินต้องรวบรวมกำลังอยู่มากพอดูกว่าจะฝืนเปล่งคำนั่นออกไปได้ คำว่าเพื่อนที่เขาสถาปนาขึ้นมาเองเพื่อรั้งอีกคนเอาไว้ แม้ว่าฝ่ายนั้นจะไม่ยินดีกับมันก็ตาม
"แกจะคิดยังไงก็ช่างเถอะ ให้หลักฐานมันพูดความจริงออกมาก็พอ"
มาร์ตินที่ได้ยินแบบนั้นยิ่งสลดลงเพราะทำอะไรไม่ได้เลย ร่างสูงใหญ่ก้าวไปนั่งกับเพื่อนหนุ่มผ่านลูกเหล็กกั้น
แววตาสงสารระคนหนักใจทอดมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งหันหลังใบหน้าซุกอยู่ที่หัวเข่า โดยที่เขาคงไม่รู้สักนิดเลยว่า คนที่ได้ยินบทสนทนาทุกอย่างตั้งแต่ต้น กำลังปลดปล่อยหยดน้ำตาออกมาอยู่เงียบๆ กับความเจ็บปวดในใจ