ในวันรุ่งขึ้นครอบครัวของนางต้องกลับไปเมืองหลวง ตลอดการเดินทางเจียชีนอนอยู่บนรถม้าทั้งวัน เพราะนางรู้สึกอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก เมื่อกลับมาถึงจวนกว่านางจะหายดีก็ต้องใช้เวลาหลายวัน
เมื่อร่างกายของเจียชีเริ่มกลับมาปกติ แต่ช่วงเช้าของวันหนึ่งนางก็ได้ข่าวว่าท่านพ่อของนางล้มป่วย หญิงสาวไปเยี่ยมทันทีหลังจากได้รับแจ้งจากสาวใช้ หมอประจำจวนแจ้งว่าท่านพ่อของนางป่วยเพราะอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เพียงแค่ดื่มยาตามที่เขาสั่งแล้วพักผ่อนไม่กี่วันก็จะหายฃ
เมื่อเจียชีได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกโล่งใจ นางพูดกับท่านพ่อบอกให้รักษาสุขภาพด้วยความเป็นห่วงก่อนจะขอตัวกลับไปที่เรือน หญิงสาวใช้ชีวิตอย่างหวานชื่นกับเฉิงคุนราวกับคู่แต่งงานใหม่ ชีวิตของนางในเวลานี้ช่างมีความสุขยิ่งนัก
แต่เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ เมื่อฤดูร้อนสิ้นสุดลง และฤดูหนาวได้ย่างเข้ามาเยือน ปีนี้หนาวมากกว่าทุกปีหิมะจึงตกเร็วกว่าทุกครั้ง
นอกจากหิมะตกเร็วแล้ว ข่าวร้ายของเจียชีก็มาอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ตระกูลโจวมาแจ้งข่าวว่า ร่างกายคู่หมั้นของเจียชี ในเวลานี้ถือว่าไม่อาจฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติได้แล้ว และเขาเพียงแต่รอวันที่จะสิ้นใจเท่านั้นู ครอบครัวคู่หมั้นของเจียชีไม่อยากให้คุณหนูผู้สูงศักดิ์เช่นนาง เมื่อแต่งเข้าตระกูลของพวกเขาไปแล้วต้องกลายเป็นหม้าย ดังนั้นเพื่อความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสองครอบครัว หลังจากที่พวกเขาปรึกษาหารือกันอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดคุณหนูเจ็ดบุตรีของท่านโหวจะแต่งงานกับลูกชายคนรองของตระกูลโจวแทน
แม้ว่าเรื่องนี้จะฟังดูน่าอับอายอยู่บ้างที่ในตอนแรกหมั้นหมายกับพี่ชาย แล้วต้องเปลี่ยนมาแต่งกับน้องชายแทน แต่เรื่องนี้มันเป็นเหตุสุดวิสัย ผู้คนย่อมเข้าใจได้ และท่านโหวเองก็เห็นด้วยเพราะเขาก็ไม่อยากให้บุตรสาวแต่งงานไปกับบุรุษใกล้ตาย การเจรจาหมั้นหมายครั้งนี้จึงจบลงด้วยดี
กำหนดวันแต่งงานคือช่วงปลายฤดูหนาว เป็นเวลาอีกแค่ไม่ถึงสามเดือน ซึ่งสำหรับการแต่งงานของตระกูลใหญ่แล้วมันดูค่อนข้างเร่งรีบไปบ้าง แต่ตระกูลโจวเห็นว่าบุตรชายคนโตใกล้จะสิ้นใจพวกเขาจึงอยากเร่งงานมงคลให้เร็วขึ้นมา หวังว่ากลิ่นอายของงานมงคลจะยืดอายุบุตรชายคนโตออกไปได้นานขึ้นมาบ้าง
เมื่อบ่าวรับใช้นายจวนทราบข่าวว่าคุณหนูเจ็ดกำลังจะแต่งงาน ทุกคนในจวนต่างก็ดีใจสีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี ตรงกันข้ามกับในเรือนหลังของคุณหนูเจ็ด บรรยากาศภายในเรือนเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก
หิมะบางๆ อาจปกคลุมพื้นดิน เจียชีไม่อนุญาตให้คนในเรื่องของนางกวาดเอาหิมะออกและไม่อนุญาตให้ใครเหยียบบนหิมะที่ทับถมหนาเป็นชั้นๆ หญิงสาวนั่งเหม่อลอยอยู่ในศาลา บนตัวของนางมีผ้าห่มคลุมไว้อย่างแน่นหนาในมือถือเตาอุ่น แม้อากาศจะหนาวยิ่งนักแต่นางก็ยังคงออกมาชมทิวทัศน์ที่ด้านนอก
“เฉิงคุนยังไม่กลับมาหรือ?”
"ยังไม่กลับเจ้าค่ะ" องครักษ์เงาหญิงยืนรายงานอยู่ด้านหลัง
เจียชีโบกมือเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายถอยออกไป
นับตั้งแต่มีข่าวที่นางจะต้องแต่งงานในอีกสามเดือนข้างหน้า หญิงสาวก็ไม่ได้เจอเฉิงคุนมาเป็นเวลาสามวันแล้ว เขาไปที่ใดก็ไม่มีใครรู้
เสี่ยวเหมยนำเตาอุ่นมืออันใหม่มาเปลี่ยนแทนอันเก่าที่หมดความร้อนลงไป นางเอ่ยเตือนผู้เป็นนายเบาๆ "คุณหนูนั่งอยู่ตรงนี้มามากกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว...บ่าวกลัวว่าท่านจะไม่สบายกลับเข้าข้างในกันเถอะเจ้าค่ะ"
เจียชีเอนกายเอนนอนอยู่บนเก้าอี้ที่ปูด้วยหนังสุนัขจิ้งจอกสีขาว นางพูดอย่างเกียจคร้าน "อืม...ข้าจะเข้าไปแล้ว วันนี้ข้าอยากกินผัดเนื้อกับต้นหอม เจ้าไปบอกแม่ครัวให้ทำมาด้วย"
เสี่ยวเหมยแปลกใจเล็กน้อย โดยปกติคุณหนูชอบรับประทานแต่อาหารรสอ่อน้ แต่วันนี้เหตุใดจึงนึกอยากกินผัดเนื้อกับตนหอมขึ้นมา แต่เสี่ยวเหมยก็ไม่ได้แสดงท่าทีสงสัยอันใดออกไป นางก้มศีรษะลงและรับคำสั่ง "เจ้าค่ะ"
หลังจากนั้นไม่นาน หิมะก็ตกลงมาอีกครั้ง ลมเย็นๆ พัดเข้ามาในศาลา เจียชีกระพริบตาลงหลังจากถูกลมเย็นพัดใส่จนใบหน้าแดงก่ำ ขนตาของนางก็มีแต่หิมะสีขาวเกาะเต็มเป็นแพ
เจียชีคิดว่าตอนนี้นางควรจะทำตัวให้คุ้นเคย เพราะวันข้างหน้าชีวิตของตนเองก็จะหนาวเหน็บเช่นนี้ และต่อไปนางก็ไม่มีเฉิงคุนอยู่เคียงข้างอีก...