ประตูห้องตรงข้ามที่ภายในยังมีแสงเทียนให้ความสว่างไสว เปิดออกมาพร้อมกับเจ้าของห้องในชุดนอนผ้าฝ้ายขายาว เปิดเผยแผงอกที่มีขนขึ้นรำไร
“ฉะ... ฉันอยากจะขอยืมเทียนสักเล่มสองเล่มค่ะ” หวังว่าเขาจะฟังภาษาไทยออก
“เทียนของผมมีอันเดียว” เขาตอบสั้นๆด้วยภาษาไทยแจ่มชัด พะแพงโล่งใจสุดๆที่เขาพูดภาษาไทยได้
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขามีเทียนเล่มเดียว ในเมื่อทั้งห้องสว่างไสวขนาดนั้น แต่เมื่อมองไปยังแท่งเทียนที่จุดอยู่ ก็พบว่ามันเป็นเทียนเล่มที่ใหญ่และยาวประมาณลำแขนของเธอ
คนที่ชะโงกหน้าเข้าไปดูยิ้มแหยๆ
“มีเล่มเดียวจริงๆด้วย”
“คุณกลัวผีเหรอ”
“เปล่าค่ะ ฉันกลัวความมืด”
“อ่อ ถ้าอย่างนั้น เข้ามาในห้องก่อนสิ ข้างนอกอากาศหนาว”
“ขอบคุณค่ะ”
พะแพงเดินเข้ามาในห้องของ พีท ซานดิเอโก้ ช้าๆ สายตาสำรวจไปทั่วและไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าคมสันหล่อเหลาแบบคนยุโรปของเจ้าของห้อง แล้วมานึกได้ว่าตอนนี้ เธอเริ่มรู้สึกกลัวสายตาร้อนแรงของเขาที่มองมามากกว่าความมืดเสียแล้วสิ
‘ก็แค่ตั้งใจจะมาขอยืมเทียน แต่ทำไมถึงหลวมตัวเดินเข้ามาในห้องของเขาได้อย่างง่ายดายนะ ชื่อของเขายังไม่รู้จักด้วยซ้ำ’
สงสัยเธอจะกลัวความมืดจนลืมคิดหน้าคิดหลังไปแล้ว ลืมคิดไปว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกับเธอด้วยซ้ำ แค่เพื่อนตรงข้ามห้อง แต่ดันกล้าเข้ามาอยู่ในห้องกับเขาสองต่อสองในยามวิกาลเช่นนี้
‘หล่อนต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ยัยแพงเอ๊ย ขอตัวกลับห้องเลยดีไหมเนี่ย แต่ว่า... ความมืดก็น่ากลัวน้อยเสียที่ไหน ฮืออออออ... จะเอายังไงดี’
“ได้ข่าวห้องข้างๆคุณไหม”
“ข่าวอะไรคะ”
“เพื่อนของคุณไม่ได้เล่าให้ฟังหรอกเหรอ ว่าห้อง 516 เคยมีสองผัวเมียทะเลาะกันจน...”
“พอๆ ค่ะไม่ต้องเล่า ขอร้องนะคะอย่าเรื่องพรรค์นั้นให้ฉันฟังเลย ฉัน... ฉันใจไม่กล้าพอจะฟังเรื่องที่มองไม่เห็นในตอนนี้ค่ะ”
พีทยิ้ม ท่าทางหล่อนคงจะกลัวจริงๆ กลัวถึงขนาดลืมกลัดกระดุมชุดนอนให้ครบทุกเม็ด คนที่ยังมีอารมณ์คั่งค้างตั้งแต่สองชั่วโมงกว่าๆที่แล้ว หลุบตามองเนินอกอวบที่โผล่พ้นสาบเสื้อรำไร ด้วยไฟราคะที่เริ่มจะคุโชนขึ้นมาอีกครั้งโดยที่หญิงสาวไม่ทันสังเกตเห็น เพราะมัวแต่มองไปยังเทียนเล่มใหญ่อย่างใช้ความคิด
ตอนนี้เธอไม่กล้าสบตาผู้ชายตรงหน้าจริงๆ ขอยืนรวบรวมความกล้าสักหน่อย แล้วรอให้ไฟมาเธอจะรีบออกไปจากห้องโดยเร็ว เพราะตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกแปลกๆ อยู่ๆใจก็เต้นแรงเมื่อสังเกตเห็นเงาใหญ่เคลื่อนเข้ามาใกล้ แล้วเจ้าของเงาก็มายืนประชิดตรงหน้า
“เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา เพื่อนผมไปนอนกับเพื่อนของคุณในห้องใช่ไหม”
“คะ...คุณถาม ว่าอะไรนะคะ”
“เมื่อชั่วโมงที่แล้ว เพื่อนผมไปนอนกับเพื่อนของคุณในห้องใช่ไหม”
พะแพงเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างลืมตัวเมื่อกำลังคิดว่าเขาถามแบบนั้นทำไม แล้วเขาพอรู้ใช่ไหม ว่าเสียงครวญครางนั่นดังมาจากห้องของเธอ ดีนะ ที่เขาไม่คิดว่าเธอพาผู้ชายมานอนด้วยแล้วทำเสียงดังรบกวนชาวบ้าน
“ใช่ค่ะ แล้วคุณเดาถูกได้ยังไงคะ หรือว่า...” เสียงตอบแผ่วเบา เมื่อใจเริ่มเต้นรัวมากขึ้น
“เมื่อสองชั่วโมงก่อน ไอ้บ้ามิกกี้ก็พาเพื่อนของคุณมานอนบนเตียงของผมเช่นกัน”
“จริงหรือนี่!” หญิงสาวเผลอพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาด้วยความคาดไม่ถึง
“มิกกี้มันโรคจิต มันชอบให้มีคนแอบฟัง แล้วคุณไปอยู่ตรงไหนตอนที่พวกเขา ‘เอากัน’”
‘ถามตรงจัง แล้วเธอควรจะตอบไปตรงๆไหม’
“ฉันหลบอยู่ใต้โต๊ะคอมฯค่ะ ที่ระเบียงยุงเยอะ หนาวด้วย ฉันก็เลย ต้องยอมขดตัวอยู่ใต้โต๊ะนั่น”
“แล้วคุณแอบมองพวกเขาไหม”
‘ถามทำไมเนี่ย’ พะแพงรีบหลบตาพราวระยับ ก่อนจะโกหกคำโตออกไปว่า
“เปล่าค่ะ”
“อืม แล้วคุณรู้สึกอะไรบ้างไหม”
“มะ...มะไม่ค่ะ ไม่รู้สึกอะไรเลย”
“จริงหรือ แต่ผมรู้สึกนะ รู้สึกมากๆด้วย” บอกพรางเชยคางเล็กขึ้นมาสบตา แล้วก้มต่ำลงมองริมฝีปากมันวาวของหญิงสาวนิ่ง
พะแพงใจเต้นแรงรัวราวกับตีกลองศึก มันระทึกสั่นไหวทั้งร่างกายและหัวใจอย่างไม่อาจควบคุม สองเท้าถอยห่างออกจนแผ่นหลังประชิดติดฝาผนัง
พีทมองใบหน้าอ่อนเยาว์ และปากน่าจูบนั้นด้วยความกระหายอยากระบายความปวดร้าวภายใต้อันเดอร์แวร์กับแมงเม่าที่บินเข้ามาในกองไฟราคะของเขาเต็มแก่
‘เธอไม่ควรเข้ามาในห้องของเขาในยามนี้เลยจริงๆ ผับผ่าสิ เพราะตอนนี้เขายิ่งกว่ากินยาปลุกกำหนัดเข้าไปเสียอีก’
“ขนาดไม่ได้มอง แค่ได้ยินพวกเขาเมคเลิฟกัน ผมแทบจะคลั่งด้วยความอัดอั้นปวดร้าวลึกมากๆเลย คุณรู้ไหม” บอกเสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยความรู้สึก
พะแพงไม่รู้ตัวเลยว่าถูกสองแขนใหญ่สวมกอดกระชั้นชิดตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะมัวแต่ยืนสบตาแปลความหมายของคำที่เขาพูดออกมาด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และนาทีนี้ที่ใบหน้าหล่อเหลากระชากใจนั้นก้มต่ำลงมา ทำให้เธอรู้สึกประหม่าอย่างที่สุด!