บทที่ 7 กลั่นแกล้งนางสารพัด

2850 Words
บทที่ 7 กลั่นแกล้งนางสารพัด “อ่อยยย..” เสียงร้องโอดครวญใกล้สิ้นใจดังมาจากด้านในถ้ำ ร่างเล็กนอนแผ่หมดอาลัยตายอยากอยู่บนพื้น แม้ในนิยายได้บรรยายไว้ ว่าสถานที่แห่งนี้โหดร้ายแต่ไม่คาดคิดเมื่อได้ประสบด้วยตัวเองจริงแล้วจะโหดร้ายกว่าที่เคยอ่านไว้มาก แบบตะโกน!! นึกถึงวินาทีแรกที่ได้เหยียบย่างเข้ามายังพื้นที่แห่งนี้ หมอกลงหนาทึบถึงขนาดมองไม่เห็นทางในระยะสองหลาข้างหน้า ด้วยเขตแดนเซียนหยวนเหมือนดินแดนรกร้างกลางหุบเขาที่มีแต่พายุหิมะโหมกระหน่ำ แน่นอนว่าแค่ยืนอยู่หน้าค่ายกลขนแขนนางก็ลุกซู่ชูชันไปถึงศีรษะ! หากต้องเข้าไปอยู่ในนั้นนานเท่าไหร่ก็แล้วแต่ใจพ่อตัวร้ายอีกด้วย มีหวังนางได้ลงไปคุยกับรากมะม่วงก่อนกำหนดแน่ๆ ! “ไม่เอาอ่ะ!! มะ..ไม่เข้าไปได้หรือไม่” สวี่ลี่เซียนหันหลังกลับมาขอบตาร้อนผ่าว ใบหน้าเล็กฉายชัดว่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ และกำลังจะร้องไห้จริง ๆ นางพยายามกะพริบตาปริบ ๆ สูดลมหายใจลึก ๆ ไล่น้ำตาที่เริ่มระเรื่อออกมา ภาพฮูหยินยืนกำชายกระโปรงตัวเองเอาไว้แน่นพร้อมไหล่ที่กำลังสั่นระริกเพื่ออดกลั้นน้ำตา แล้วไหนจะดวงตากลมโตที่แวววาวราวกับลูกแมวน่าสงสารเพื่อพูดซ้ำประโยคเดิม ทำเอาจิตใจของผู้คุมทั้งหมดในที่นี้สับสนจนไปต่อไม่ถูก ได้แต่มองฮูหยินด้วยสายตาละห้อย และกล่าวสาปแช่งผู้เป็นประมุขตนเงียบ ๆ ในใจ ท่านประมุขเสียสติไปล้ว!! ลงมือกับสตรีบอบบางน่าสงสารเช่นฮูหยินได้อย่างไร คนใจดำ คนสารเลว!! แล้วยิ่งนางเอื้อมมือมาดึงชายแขนเสื้อพวกเขาพลางกระตุกน้อย ๆ เล่นเอาพวกเขาได้ยินเสียงหัวใจโดยศรปักดังฉึก! ฉึก! “บะ..บอกท่านประมุขให้แก่ข้าที ข้าทำผิดไปแล้ว ข้าสำนึกแล้ว เขาคิดจะส่งข้าเข้าไปในที่แห่งนั้นจริง ๆ หรือ พวกเจ้าคิดว่าข้าจะอยู่รอดได้เสียกี่วันเชียวเล่า..” ถ้อยคำตัดพ้อน่าสงสาร พวกเขาไม่อาจทนสายตาอ้อนวอนน่าเอ็นดูได้อีก ต้องรีบเบื้องหน้าหนีไม่มองไปทางสตรีตัวเล็ก ด้วยกลัวว่าจะใจอ่อนให้กับภาพลักษณ์น่าทะนุถนอมของนาง “ขออภัยขอรับฮูหยิน พวกข้าไม่สามารถขัดคำสั่งได้ แต่ท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย ฮูหยินเป็นเช่นนี้ท่านประมุขผู้โง่เขลาคงอดทนได้อีกไม่นานหรอก” “เป็นเช่นนี้” ศีรษะเล็กเอียงคอคิดตามด้วยความสงสัย เป็นเช่นนี้ เป็นแบบไหน! “เห็นแก่ฮูหยิน เมื่อเข้าไปแล้วให้ท่านเดินไปทางทิศเหนือ อย่าได้ไปทางทิศอื่น ตรงนั้นมีถ้ำพอให้คลายหนาวได้บ้าง” หนึ่งในผู้คุมเห็นใจนางยอมบอกทางแก่สวี่ลี่เซียนเพื่อหลบภัย เพราะระหว่างทางพาฮูหยินมารับโทษ พวกเขาสัมผัสพลังวิญญาณในตัวฮูหยินได้น้อยนัก นางอ่อนแอเกินกว่าจะเชื่อว่าคือผู้เดียวกับที่ถูกยกย่องว่าแข็งแกร่งไม่เป็นรองแม่ทัพใหญ่วรรค์ “..ในนั้นมีของกินไหม” สวี่ลี่เซียนปล่อยมือสีหน้าอย่างคนปลงตก อย่างน้อยมีของกินประทังชีวิตนางคงไม่อดตาย แต่ปฏิกิริยาของผู้คุมแสดงชัดว่างุนงง ทำเอาหญิงสาวหน้าซีดเผือดอยากวิ่งหนีไปเสียตอนนี้เลย! “ของกิน” “ใช่.. ไม่มีน้ำ ไม่มีข้าว คนเราก็ตายน่ะสิ” นี่พวกเขาไม่กินข้าวกันหรือไง?! สวี่ลี่เซียนคิด “ขออภัยที่พวกเรามีความรู้น้อยนิด เลยไม่รู้ว่าซ่างเซียนจากเทียนหยูเช่นท่านจำเป็นต้องทานด้วย” “นะ..แน่นอนสิ ข้าสนใจเรื่องกินเป็นงานอดิเรกหน่ะ หากไม่ได้กินแล้วก็อาจตายได้เลย” คนตัวเล็กกล่าวหน้าซื่อตาใส ถึงจะแอบกระตุกกระตักไปบ้าง พวกเขาก็ไม่ทันสงสัยกลับกันพวกเขามีอาการตกใจแทน “ขะ..ขนาดนั้นเชียวหรือขอรับ” “อื้อ แต่ว่าไม่เข้าไปอาจจะดีกว่ามาก ไม่ได้เหรอ” ศีรษะเล็กผงกหัวขึ้นลงพูดจานุ่มนวลเสียงเบา เลยยิ่งทำให้ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา พอพูดมาก็เหมือนกำลังออดอ้อนอยู่ในที ผู้คุมทั้งสี่ได้ยินเข้าก็พลันใจหลอมละลายไปตาม ๆ กัน แม้แท้จริงแล้วสวี่ลี่เซียนอยากตะโกนดัง ๆ ว่าใช่ !! ก็หวาดกลัวว่าพวกเขาจะไม่ช่วยเหลือนาง หากเป็นพวกเขาอาจอยู่ได้หากไม่ได้ทานอะไรเป็นปี ๆ เพียงใช้ตะบะบำเพ็ญเล็กน้อยก็ไรู้สึกหิว แต่ตอนนี้นางเหมือนยืนเปลือยอยู่กลางดงตีน ไม่มีตะบะบำเพ็ญเนื่องจากบาดเจ็บสาหัส ไม่มีวรยุทธ ไม่มีอะไรเลย หากพวกเขาอยากหักคอนาง แค่เพียงกระดิกนิ้วเดียวนางก็ตายได้เลย แง! เห็นสีหน้าและแววตาสิ้นหวังของฮูหยิน ผู้คุมทั้งสี่คนจึงตัดสินใจได้เดี๋ยวนั้นพยักหน้าอย่างพร้อมเพียงยินยอมแต่โดยดี “ขอรับฮูหยิน พวกข้าจะแจ้งแก่ท่านที่ปรึกษาไว้ให้” แต่สวี่ลี่เซียนอยากได้ยินคำว่า ไม่ต้องเข้าไป มากกว่า หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่นางก็ถอนหายใจ “ข..ขอบคุณมาก แต่ข้าไม่เข้า!”และออกตัววิ่งทันที! “ฮูหยิน!!” หลังจากนั้นนางจำได้ว่าวิ่งหนีพวกเขาออกมา ทว่านางออกเท้าวิ่งหนีไม่ทันไรก็ถูกใครบางคนหิ้วคอเสื้อขึ้นเหนือพื้น นางตกใจกรีดร้องเสียงดังลั่นยังดีที่เอื้อมมือคว้าคอเสื้อรั้งเอาไว้อีกแรง มันถึงไม่รัดคอหอยนางตาย! ขณะร่างเล็กห้อยต่องแต่งขว้างกลางอากาศถูกอีกคนจับพลิกกลับมาง่ายดายประหนึ่งว่านางเป็นของเล่น และสวี่ลี่เซียนก็ต้องพบกับคนที่ไม่อยากเจอที่สุด! ‘หึ จับเจ้าได้แล้ว’ นัยน์ตาสีอำพันน่าเกรงขามคู่นั้นจ้องกลับมาราวกับเยาะเย้ย และเขาเยาะเย้ยนางจริง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดถัดมาว่า “ขาสั้นเท่าหนึ่งช่วงแขนยังสิ้นคิดวิ่งหนีอีกหรือ” ‘!’ โหดร้ายที่สุด! ขาสั้นแล้วไงเตะหน้าเจ้าได้ก็แล้วกัน! แต่ก็เท่านั้น.. ด่าในใจแต่ไม่อาจทำอะไรได้ แง! ‘นำนางกลับไปที่เดิม หากนางหาทางหลุดมาได้อีกครั้งเดียวสังหารทิ้งได้เลยรวมถึงพวกเจ้าก็ด้วย สังหารตัวเองทิ้งสำนึกถึงความไร้สามารถของตัวเอง’ หลังจากนั้นนางก็ถูกโยนแหมะเข้ามาด้านในโดยไม่ทันได้ตอบกลับสักคำ! ซึ่งพื้นด้านในถมไปด้วยกองหิมะหนา ร่างเล็กที่ถูกโยนมาจึงถูกทำให้จมลงไปจนเกิดเป็นหลุม นางยังจดจำท่วงท่าที่เขาโยนนางลงมา แขนขากางอ้าออกฟุบลงไปกับกองหิมะ สลักท่ากบให้นางไว้ดูต่างหน้า หมดกันภาพลักษณ์สาวงาม ดีที่สวี่ลี่เซียนแต่เดิมงดงามมากอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องตกแต่งมากมาย มิเช่นนั้นนางคงได้เห็นทั้งแป้งฝุ่นเอย สีลิปเอย คิ้วเอย ประทับตราบนหิมะน่าอนาถยิ่งกว่าเก่า! “คนเฮงซวย ฮึกฮือออ”ถึงตอนนี้นางจะพยายามไม่กระดิกตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานให้ได้มากที่สุด แต่นางขอยอมใช้แรงในการอ้าปากด่าไอตัวร้ายบ้านั่นสักหน่อยเถอะ ไม่เช่นนั้นมีหวังนางได้สติแตกไปเสียก่อน! โครก.. ..นอกเหนือจากเสียงลมพายุคงมีแต่เสียงท้องร้องที่เป็นเพื่อนนาง มือเล็กกุมท้องตัวเองเอาไว้เพราะหิวจนไส้กิ่ว สวี่ลี่เซียนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ตั้งแต่ถูกขังเอาไว้ที่นี่นางยังไม่มีอะไรตกถึงท้องสักนิด หากกระหายน้ำก็ต้องอุ้มหิมะไว้ในมือจนกว่าจะละลายถึงได้ดื่มพอดับกระหายได้บ้าง สวี่ลี่เซียนเงยหน้ามองเพดานถ้ำ ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มแน่นเป็นเส้นตรง สูดลมหายใจเข้าออก ฟืด ฟาดอยู่นาน แต่ยิ่งนึกถึงอาหารในหัวเท่าไหร่ก็ยิ่งน้ำตาปริ่มเท่านั้น สุดท้ายน้ำตาจึงไหลแหมะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “โฮ! โคตรหิวเลยเว้ย!! ไอขยะเปียกนั่น ฮึก! จิตใจต่ำช้า หาความดีไม่พบ! รู้หรือไม่ว่าคนเราต้องกินอาหารให้ครบทั้งสามมื้อ ! และสารอาหารต้องครบทั้งห้าหมู่! จะขาดไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะน้ำแกงร้อน ๆ ไว้ซดระหว่างข้ากินของคาวหน่ะ สุดยอดที่สุดเลยรู้หรือไม่!!” เชิดขึ้นเงยหน้าด่าทอผลงานลายเส้นบนผนังถ้ำที่ตัวเองเป็นคนวาดไว้ ยกนิ้วน้อย ๆ ของนางชี้ไปทางภาพวาดอวี้เหิงบนผนัง หากเป็นอวี้เหิงตัวจริงเสียงจริงนางคงไม่กล้าพอจะชี้หน้าเขา ! ตอนนี้นางมีโอกาสแล้วก็ขอสักหน่อยเถอะ! “หล่อนักหรือ เหอะ! ใช่สิ๊ ก็หล่อไง!! บัดซบจริงทำไมต้องหล่อด้วย!! ฮึ่ย แม้ว่าข้าจะชอบผู้ชายหล่อ แต่ข้าก็ไม่ให้อภัยท่านหรอกนะ กักขังข้าให้อดข้าวอดน้ำแล้วคิดว่าข้าจะสำนึกรึไง ในหัวของข้ามีแต่ของกินและของกิน ไม่มีเวลาเว้นว่างให้นึกถึงควาผิดเลยด้วยซ้ำ! ท่านลงโทษข้าผิดวิธีแล้ว และหากข้าตายไปข้าจะขอกลายเป็นวิญญาณติดตามหลอกหลอนท่านทั้งเช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน ตอนเข้าส้วมก็จะไม่เว้น!” หญิงสาวหดนิ้วกลับ เดาะลิ้นชักสีหน้าใส่แบบนางมารร้ายตามละครหลังข่าว “อย่าหวังว่าท่านจะได้นอนเสวยสุขกับแม่นางเอกหรือบรรดาสตรีเรือนเล็กเรือนน้อยของท่านอย่างสบายใจ เพราะข้าจะขอแช่งให้โจ๊ยท่านใช้งานไม่ได้! โจ๊ยหด โจ๊ยไม่ตอบสนอง! ตลอดชีวิตเลย!” ตลอดชีวิตเลย!!.. ภาพโปร่งใสสะท้อนใบหน้าสตรีดวงหน้างดงามกำลังแยกเขี้ยวจนหน้ามุ่ย เสียงหวานสะท้อนถ้อยคำสุดท้ายก่อนเจ้าตัวจะทิ้งตัวลงนอนแผ่บนพื้นไปอีกรอบ การกระทำทั้งหมดของสวี่ลี่เซียนล้วนตกอยู่ในสายตาคู่คม อวี้เหิงกระตุกยิ้มเหี้ยมนิ้วลูบริมฝีปาก เป็นครั้งแรกที่ตัวเขาเป็นผู้ถูกสาปแช่งแต่ไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด โจ๊ยที่ว่าคืออะไร? แล้วภาพของเขาที่นางใช้ด่าทอบนผนังโดยนางเป็นผู้วาด ..ไอเส้นที่เหมือนเด็กเขี่ยเล่นยังจะสวยกว่านั่นน่ะหรือใบหน้าของเขา? ร้ายกว่านั้น ภาพลักษณ์เจียมตัวและรอยยิ้มดูไร้เดียงสาที่นางได้แสดงออกมาตลอดตั้งแต่ค่ำคืนก่อนงานแต่งเป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น ไม่รู้ว่ามันคือการเอาตัวรอดในแบบของคนจนตรอกหรือไม่ แต่มุมนี้ของนางก็ไม่ได้ดูขัดหูขัดตาเขาสักเท่าไหร่ จะตามหลอกหลอนเขางั้นหรือ หึ ก็ลองดูสิ.. ส่วนโจ๊ยนั่นไว้ค้นหาทีหลังก็ย่อมได้ ในเมื่อทั้งร่างกายนางรวมถึงดวงจิตเพียงหนึ่งเดียวนั้นเป็นของเขาทั้งหมด “หึ ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้าดีล่ะ” ทางด้านหนึ่งในเวลาเดียวกัน “ฮัดชิ้ว!” ใคร.. ใครมันนินทานาง! สวี่ลี่เซียนจามเสียงดังลั่นทำเอาผมสะบัดตามแรงเหวี่ยง ร่างเล็กสูดไล่น้ำมูกใสที่กำลังไหลเพราะอากาศหนาวขณะที่ไหล่สั่นระริกซุกตัวขนกลมอยู่ใต้ผ้าคลุมขนสัตว์ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พอให้ความอบอุ่นนางได้ในตอนนี้! และก่อนที่นางฉุกคิดในใจว่า นี่มันหนาวกว่าเมื่อสักครู่หรือไม่.. แถมได้ยินเสียงหัวเราะชวนขนหัวลุกดังแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง สวี่ลี่เซียนแคะขี้หูตัวเองดูอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ เสียงนั่นก็กลืนหายไปพร้อมกับพายุที่ดูท่าจะตกหนักมากยิ่งขึ้น อ้าก! นรกถามหานางอยู่หรืออย่างไร ตั้งแต่เหยียบเข้ามาในนิยายเรื่องนี้ ก็มีแต่เรื่องทำให้นางต้องไปเฝ้ายมบาลตั้งหลายครั้งหลายหน! สวี่ลี่เซียนหนาวจนฟันกระทบกันดังกึก ๆ นางนำมือถูกันไปมาให้เกิดความร้อนแล้วเอามากุมแก้มขณะมองไปยังลายเส้นเขี่ยที่ดูอย่างไรก็ดูไม่เหมือนคนบนผนัง นางพูดกัดฟันยกกำปั้นขึ้นมา “คะ..คอยดูเถอะ ค..ใครจะยอมตายซ้ำอีกรอบกันฮึ๊ อยากเห็นหน้าเขากระอักเลือดนักหากรู้ข้ายังอยู่รอดได้! หึ” ภาพที่ปรากฏ คือสตรีตัวเล็กขดกลมใต้ผ้ากำลังแยกเขี้ยวขู่อะไรบางอย่าง มันอาจจะดูน่ากลัวอยู่บ้างถ้าหากฟันบนล่างของนางไม่กระทบกันจนหน้าสั่นปานนั้น “แม่งเอ้ย.. หยุดปากสั่นเสียที!” “หึ” สวี่ลี่เซียนไม่อาจรู้ว่าได้ทำให้ใครบางคนผู้ได้ขึ้นชื่อว่าแค่ยิ้มก็ยังยากหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย อวี้เหิงลูบริมฝีปากล่าง มุมปากยกขึ้น ตั้งใจเฝ้าดูสตรีร่างล็กที่เขาสั่งขังไว้กำลังทะเลาะกับความว่างเปล่าในอากาศด้วยความแปลกใจ ภายนอกนางดูสงบเสงี่ยมเจียมตัว พอพูดก็ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา คาดไม่ถึงว่านอกเหนือจากเรื่องสาปแช่งเขาแล้ว นางจะเบาปัญญาจนน่าขันด้วย นิ้วหนาเคาะลงบนโต๊ะไม้เป็นจังหวะ มืออีกค้างถูไปมาระหว่างข้างขมับคล้ายกับใช้ความคิด อย่างไรก็ไม่สามารถปล่อยให้นางตายได้ แต่ทรมานสักหน่อยคงไม่เป็นอะไร นิ้วหยุดการเคาะลงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดสิ่งใดออก ก่อนอวี้เหิงเรียกใครบางคนแผ่วเบา “เสี่ยวเหยียน” “ขอรับ” ภายในเวลาไม่ถึงอึดใจ คนโดนเรียกได้ปรากฏตัวต่อหน้า หน้าตาบอกบุญไม่รับเท่าไหร่นัก อวี้เหิงไม่ได้ตะเบ็งเสียงเรียกเขา แต่เสี่ยวเหยียนดันหูดีโดยเฉพาะยามท่านประมุขเรียกหา เพราะเคยผ่านประสบการณ์ขนหัวลุกมาแล้วว่าหากเรียกแล้วไม่มาจะเป็นเช่นไร! เมื่อเห็นว่าอีกคนมา อวี้เหิงลุกขึ้นยืนขณะมองออกไปทางหน้าต่าง สายตาจรดไปยังหมอกถึบหนาที่อยู่ห่างไกล หากมองเพียงผิวเผินอาจไม่ทันสังเกต “เสี่ยวเหยียน..” อวี้เหิงลากเสียงยาว “เจ้าคิดว่าข้าควรทำเช่นไรกับสตรีที่ขอยอมกลายเป็นวิญญาณแล้วตามติดข้าเช้ากลางวันเย็นกระทั่งเข้าปลดทุกข์กัน” “...” ประเดี๋ยวก่อน..เขากำลังได้ยินเรื่องน่าตลกอันใดอยู่ เสี่ยวเหยียนถึงกับส่ายหน้าสะบัดศีรษะ ตีหน้าผากตัวเองหนึ่งตื่นลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพื่อถามย้ำว่าเขาไม่ได้ฟังผิดไป “สตรีผู้นั้นทำกรรมอะไรไว้ ถึงมีความคิอยากตามติดท่านเช่นนี้กัน เห้ย!!” จู่ ๆ กระบี่สีดำเล่มหนึ่งพุ่งผ่านศีรษะเขาไปอย่างฉิวเฉียด ดีที่เสี่ยวเหยียนก้มหลบได้ทัน เขากุมผมเอาไว้ราวกับหวงแหน เพราะเมื่อสักครู่ผมสีดำกระจุกหนึ่งล่วงโรยกระจายบนอากาศตกสู่พื้นรอบกายเสี่ยวเหยียน มันคงเป็นผมใครไปไม่ได้นอกจากตัวเขาเอง บัดซ๊บ!! ผมข้า!! เสี่ยวเหยียนร้องโอดครวญในใจ น้ำใสปริ่มขอบตาราวกับลูกหมา เปรียบเทียบแล้วตอนสวี่ลี่เซียนก็เหมือนกัน ท่าทางคล้ายกันแต่ความน่ามองต่างกันราวกับฟ้ากับเหว! มองบุรุษทำท่าทางคล้ายสตรีให้เห็นแล้วอยากจะฆ่าเสียจริง ไม่ต้องคิดให้มากความ อวี้เหิงก็เรียกกระบี่กลับมาในมือ “พักนี้ข้าคันไม้คันมืออยู่พอดี อยากลองตายดูบ้างหรือไม่” “ไม่ ไม่ขอรับ!” เสี่ยวเหยียนรีบเด้งตัวลุกขึ้นพรึบแทบจะทันที ค้อมกายต่ำประสานมือกุมหมัดด้วยสีหน้าซีดเผือด มีใครเขาขู่สหายกันด้วยคำว่าอยากลองตายดูไหมบ้าง! อวี้เหิงควงกระบี่ในมือเล่นทำเอาเสี่ยวเหยียนหวาดเสีย แต่ดูเหมือนอีกคนคล้ายไม่สนใจเท่าไหร่ ปักกระบี่ลงพื้นพิงตัวข้างหน้าต่างบานใหญ่ “ในเมื่อนางอยากเป็นวิญญาณตามติดข้านัก ข้าจะทำให้นางสมหวังดั่งที่ตั้งใจ” เสี่ยวเหยียนเงียบ “...” อยากจะทำอะไรก็เรื่องของท่านเถอะ แต่เรียกข้ามาทำไม! แล้วเรื่องที่เสี่ยวเหยียนสงสัยก็กระจ่างอีกทั้งยังหวั่นๆ เมื่ออวี้เหิงหยัดกายลุกขึ้นขมวดคิ้วครุ่นคิดสีหน้าจริงจัง “ส่วนเจ้า จงไปหามาว่า โจ๊ย สิ่งนั้นคืออะไร” “ขะ..ขอรับ” “โจ๊ย สิ่งที่สามารถยืดหดได้ และใช้งานกับบางสิ่ง” “...” สีหน้าจริงจังของท่านประมุข ทำให้เสี่ยวเหยียนไม่อาจปฏิเสธ ต้องเปิดตำหนักตำราค้นหาทั้งวันทั้งคือ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD