บทที่ 6 เป็นห่วงก็ไปหา

2682 Words
บทที่ 6 เป็นห่วงก็ไปหา อีกทางด้านหนึ่ง คำเล่าลือสะคราญโฉมแห่งดินแดนเทียนหยูกลายเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงหนาหู ฮูหยินมีรูปโฉมงดงามเหนือสามัญ ทั้งเรื่องวีรกรรมกล้าหาญอย่างขอมีทายาทกลับรอดมาได้อย่างหวุดหวิดไม่มีผู้ใดไม่รู้ สิบปากว่าท่านประมุขหลงรูปโฉมงดงามดั่งเทพธิดาของฮูหยิน แต่อีกส่วนหนึ่งกลับไม่เห็นด้วย โดยคาดเดาว่าท่านประมุขเพียงไม่ลงมือสังหารนางเป็นเพราะผลประโยชน์บางอย่าง หาไม่เช่นนั้นคงไม่ส่งนางไปเขตแดนเซียนหยวนทันทีที่นางทำเรื่องให้ท่านประมุขไม่พอใจ ความคิดเห็นแบ่งออกเป็นสองฝั่ง บทสนทนาลับหลังเหล่านั้นผ่านเข้าหูเว่ยอู่ฉางขณะที่ขายาวก้าวสู่หน้าประตูตำหนักประมุขมาร ชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ว่าเรื่องแท้จริงเป็นเช่นไร แต่ในความคิดของเขาสวี่ลี่เซียนไม่สมควรถูกลงโทษแต่อย่างใด“ข้าต้องการพบประมุขมารอวี้เหิง ให้ข้าเข้าไป” “ขออภัย แม้เป็นท่านแม่ทัพใหญ่สวรรค์ ไม่อาจเข้าพบหากท่านประมุขไม่อนุญาตขอรับ” “....” ร่างสูงโปร่งยืนนิ่งเบื้องหน้าประตูเหล็กบานใหญ่ รู้ดีว่าท่านประมุขไม่ชอบหน้าเขา แต่วันนี้เป็นวันที่สองแล้วที่เว่ยอู่ฉางขอเข้าพบประมุขมารอวี้เหิงแต่กลับถูกปฏิเสธ สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งแสดงออกแลน่าหวาดกลัวมากขึ้นทุกที เว่ยอู่ฉางเริ่มร้อนลนใจตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นสวี่ลี่เซียนถูกจับกุม ยิ่งเมื่อรู้ทีหลังว่าเขตแดนเซียนหยวนที่นางถูกส่งตัวไปเป็นสถานที่เช่นไร เขายิ่งร้อนใจ.. แต่โดนปฏิเสธถึงสามครั้งสามครา หากเป็นผู้ที่รู้ความเช่นแม่ทัพใหญ่เช่นเขาย่อมไม่เร้าหรือให้มากความ กระนั้นเว่ยอู่ฉางยังคงยืนอยู่ที่เดิมนานกว่าหนึ่งก้านธูป ท่าทีผู้เฝ้าประตูด้านหน้าทั้งสองยังไม่โอนอ่อนยอมให้เข้าไป สุดท้ายจึงตัดใจมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ “บอกแก่ท่านประมุขว่าข้าจะมาใหม่ในวันพรุ่งนี้” ทว่า.. ขณะที่ปลายเท้าย่ำลงบันไดไปยังเบื้องล่าง ความคิดหลากหลายรบกวนจิตใจสองวันมานี้ทำให้เว่ยอู่ฉางย้อนกลับไปยังหน้าประตูอีกครั้ง และครั้งนี้เขาไม่ได้ขอร้องเพื่อเข้าพบอีกแล้ว “ไม่น่าเชื่อว่าท่านประมุขจะไม่รู้ สวี่ลี่เซียนร่างกายนางได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถอดทนในแขตแดนเทียนหยวนของท่านได้ ท่านถึงได้ส่งนางไปรับโทษที่ไร้ความผิด มองอย่างไรก็เหมือนว่าท่านประมุขกระทำตามใจตนเอง จงใจรังแกผู้อ่อนแอกว่า” เว่ยอู่ฉางตั้งใจตะโกนเพียงพอให้คนด้านในได้ยิน และมันได้ผล ในเสี้ยวลมหายใจยามคำพูดสุดท้ายจบลง ไอมารดำสายหนึ่งมุ่งตรงมาจากทางตำหนักรวดเร็ว ทิศทางเจาะจงว่าเป็นผู้ที่ไม่ถูกรับเชิญหน้าประตู เว่ยอู่ฉางเร่งมือตั้งรับหยิบกระบี่คู่กายสกัดกั้น แม้ว่าสามารถกันไว้ได้แต่พลังรุนแรงอย่างมากไม่อาจต้านทานเอาไว้อยู่ ส่งผลให้ร่างเว่ยอู่ฉางกระเด็นถอยหลังไปถึงสิบก้าว เว่ยอู่ฉางกำมือของตัวเองได้อย่างยากลำบาก มือที่ถือดาบสั่นระริกอันเกิดจากความเจ็บปวด หากไม่ตัดสินใจปัดพลังนั่นออกไปข้อมือคงหักเป็นแน่ เขากระชับดาบในมืออีกครั้งพลางคิดในใจว่า ประมุขมารอวี้เหิงผู้นี้มีวรยุธร้ายกาจหาตัวจับยาก แม้แต่ตัวเขาผู้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่สวรรค์ยังต้านทานไว้ไม่อยู่ ถึงเคยปะมือกันในสงครามเมื่อนานมาแล้ว ผ่านมาเพียงร้อยปีคนผู้นี้แข็งแกร่งขึ้นภายในเวลาอันสั้นได้อย่างไรกัน ปีศาจชัด ๆ ! “ผู้ที่นำความรำคาญมาสู่ข้า มันผู้นั้นต้องตาย” “!” น้ำเสียงเยือกเย็นชวนให้ขนลุกมาพร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีดำสนิท ดวงหน้าหล่อเหลาราวเทพมารอยู่ในอารมณ์โกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาสีอำพันจ้องกดดันมาทางเว่ยอู่ฉางไม่ละสายตา ผู้ที่ถูกสายตาทรงอำนาจจ้องมองพลันร่างกายเย็นเฉียบ เขาไม่ทันรับรู้ถึงตัวตนของอวี้เหิงที่เข้ามาประชิดตัวด้วยซ้ำ กระนั้นเว่ยอู่ฉางกลับไม่แสดงสีหน้าใด ๆ พูดออกไปน้ำเสียงนิ่งเรียบ ด้วยตำแหน่งแม่ทัพใหญ่สวรรค์ต่อให้ความตายมาเยือนต่อหน้าจะไม่วิ่งหนีศัตรูเด็ดขาด “คำพูดของข้ารำคาญใจท่าน เป็นเพราะท่านประมุขรู้อยู่แก่ใจว่าลี่เซียนไม่มีความผิด” อวี้เหิงคิ้วกระตุกหลังได้ยินคำพูดและแววตาปราศจากความหวาดกลัวจากบุรุษตรงหน้า เขาสลายพลังสีดำบนอุ้งมือที่เรียกออกมาก่อนหน้านี้ลง แล้วจึงกล่าวว่า “มีความผิดหรือไม่ ข้าเป็นผู้ตัดสิน แม่ทัพใหญ่เว่ยไม่ใช่คาดเดาไม่ได้ เบื้องหลังการแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่ว่าส่งนางมาเป็นหลักประกันหรอกหรือ” “!!” เว่ยอู่ฉางกำหมัดแน่น น้ำท่วมปากพูดสิ่งใดไม่ออก ทุกอย่างที่อวี้เหิงพูดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น “แม้ว่าไห่หวงเทียนจวินของพวกเจ้าจงใจเล่นแง่กับข้า ไม่ส่งธิดาตนเองมา ข้ายังใจกว้างตอบรับคำขอพวกเจ้า ในเมื่อเลือกส่งสวี่ลี่เซียนให้แก่ข้า เท่ากับข้าเป็นเจ้าของนางแล้ว ความผิดที่นางได้ก่อข้าจะตัดสินเองว่ามันสมควรลงโทษเช่นไร หรือต่อให้ข้าลงมือสังหารนาง ก็หาใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาชี้แนะหรือยุ่งเกี่ยว” “...ถึงอย่างนั้น นางก็เป็นฮูหยินของท่าน!” ไม่รู้ว่าเพราะสิ่งที่อวี้เหิงพูดมาเป็นความจริงที่เว่ยอู่ฉางต้องการหลีกเลี่ยงมาตลอดหรือไม่ ความรู้สึกผิดถึงมีมากมายเพียงนี้ เว่ยอู่ฉางแววตาอ่อนลงหลายส่วน ความรู้สึกบางอย่างพัดผ่านมาก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่อาจรอดพ้นสายตาอวี้เหิงไปได้ กลิ่นอายความรู้สึกผิดและความกังวลใจของอารมณ์ยังคงแผ่ออกมาเจือจาง เป็นเช่นนั้นคิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย สำรวจฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียดถีถ้วน และทำให้ต้องนึกย้อนไปถึงวันก่อนงานอภิเษก เป็นเช่นนั้น จึงเค้นหัวเราะออกมา “หึ ความหวังดีบางครั้งก็กลับกลายเป็นความเข้าใจผิดได้ ยิ่งอีกฝ่ายมีความรู้สึกมากเท่าไหร่ ยิ่งส่งผลร้ายต่อนางมากขึ้นเท่านั้น เช่นนี้แล้วท่านจะรับผลที่ตามมาไหวหรือ” “...” สายตาอวี้เหิงราวกับคนรู้แจ้งทุกอย่าง ด้านเว่ยอู่ฉางทำได้เพียงใคร่ครวญคำพูดที่ไม่อาจเข้าใจได้ ซึ่งอวี้เหิงมองว่าธุระตรงนี้สิ้นสุดลงแล้วจึงเอ่ยปากออกมา “เจ้าจะได้พบหน้านาง หากข้าพอใจ” “ได้โปรด ท่านประมุขไตร่ตรองดูอีกสักครั้ง!” “ข้าอวี้เหิง พูดคำไหนคำนั้น” ที่เขาสั่งขังนางไม่ใช่เรื่องพอใจหรือไม่ แต่มีเรื่องอื่นที่ยังต้องตรวจสอบ แต่ให้นางได้สำนึกสักหน่อยคงดีกว่า ในเมื่อกล้าหยามเกียรติเขาถึงสองครั้งสองครา ไม่ตายด้วยมือเขาก็ดีเท่าใดแล้ว! “แต่ว่า!” “ท่านประมุขเจ้าคะ ได้ยินว่าท่านเรียกหาข้า” คำพูดของเว่ยอู่ฉางถูกขัดลงโดยเสียงหวานใสราวนกแก้วของสตรีนางหนึ่ง ไม่นานเจ้าของเสียงได้เดินเข้ามา เป็นสตรีร่างสูงโปร่งท่วงท่าการเดินสูงศักดิ์มั่นคง ใบหน้าเล็กหวานละมุนราวตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ไม่อาจพูดได้ว่างดงามโดดเด่น แต่กลับให้ความรู้สึกสบายตายามที่ได้มอง “ฮุ่ยซิ่วคารวะท่านประมุขมารอวี้เหิง และท่านผู้นั้น..” ดวงตากลมโตกระจ่างสดใสมองมาทางเว่ยอู่ฉาง รูปปากเล็กโรยด้วยรอยยิ้มส่งมาให้อย่างเป็นมิตร เว่ยอู่ฉางเพียงพยักหน้ารับให้ตามมารยาท สงสัยว่านางผู้นี่เป็นใคร ประมุขมารอวี้เหิงถึงปล่อยความโกรธลงทันทีที่นางปรากฏตัว “อืม ข้าสั่งเอาไว้ห้ามเจ้าห่างสายตา” อวี้เหิงไม่สนใจแนะนำเว่ยอู่ฉาง หันกลับไปพูดกับสตรีข้างกาย “ขะ..ขออภัยเจ้าค่ะ” ฮุ่ยซิ่วถูกตำหนิรีบก้มหน้าน้อมรับความผิด คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันด้วยความเครียด นางถูกขอร้องโดยแม่นางหลันหูหลีให้ไปหาสมุนไพรจากป่าทางทิศใต้โดยไม่มีใครยินยอมไปกับนางด้วย คราแรกนางคิดว่านั่นเป็นความคิดที่ดีไม่น้อย นางรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองสักเท่าไหร่หลังจากได้รู้ข่าวว่าท่านประมุขจะแต่งฮูหยินเข้าตำหนัก และเพราะนางไม่ชำนาญทางจึงพลัดหลงในป่าถึงสองวัน ยังดีที่ได้บุรุษผู้หนึ่งช่วยเอาไว้ และนางต้องไปพบเขาในไม่ช้าเพื่อตอบแทนตามที่บุรุษผู้นั้นเรียกร้องมา ซึ่งนางกลัวอยู่ว่าจะหลบพ้นสายตาผู้เป็นประมุขเช่นไร! ด้านเว่ยอู่ฉางถูกทำให้กลายเป็นธาตุอากาศไร้ตัวตน แม่ทัพใหญ่สวรรค์ถอนหายใจ แล้วจึงกล่าวย้ำกับอวี้เหิงอีกรอบด้วยสีหน้าจริงจัง “หากนางเป็นอะไรขึ้นมา ข้าขอสาบานว่าจะนำเลือดของท่านชำระแค้นแก่นางให้จงได้” ในสายตาเว่ยอู่ฉางไม่มีความหวั่นเกรงทำให้อวี้เหิงนับถือใจเขาไม่น้อย ก่อนเว่ยอู่ฉางจะขอตัวออกไป อวี้เหิงกระตุกยิ้มมุมปากตามหลัง คิดในใจว่าเด็กหนุ่มผู้นี้อายุไม่ถึงหมื่นปีกลับอาจหาญต่อกรกับเขาไม่เกรงกลัว แต่ต่อให้อายุมากกว่านี้อีกสักสิบเท่า ก็ไม่อาจสัมผัสเขาได้แม้แต่ปลายเส้นผม จวบจนแผ่นหลังกว้างของบุรุษสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดเดินจากไปจนลับสายตา อวี้เหิงจึงหันกลับมาสำรวจสตรีข้างกายอีกครั้งและบอกจุดประสงค์ของตัวเอง “เรียกเจ้ามาเพื่อยืนยันว่าเจ้าไม่เป็นอะไร” ฮุ่ยซิ่วที่ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาจ้องมองมาพลันรู้สึกร่างกายเริ่มเห่อร้อนจึงรีบหลบสายตา ราวกับมีผีเสื้อโบยบินอยู่เต็มท้อง อาการเหล่านี้เป็นอยู่บ่อยครั้งเมื่อได้พบท่านประมุขในช่วงเวลาที่ผ่านมา “ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความสะเพร่าของข้าเอง” หญิงสาวส่ายหน้าลอบอมยิ้มบางเบา และยังคงหลบสายตาอยู่เพราะเขินอาย อวี้เหิงใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ “กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว เจ้าไปได้ ข้ามีธุระต้องทำ” “!”ทว่าบทสนทนาในวันนี้กลับถูกตัดลงอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย ฮุ่ยซิ่วเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าอวี้เหิงเดินหายเข้าตำหนักไปเสียแล้ว หญิงสาวไหล่ห่อเหี่ยวพลางคอตก ใบหน้าก็มุ่ยลงฉายชัดว่าน้อยใจ อย่างน้อยต้องบังคับนางไปรินน้ำชาให้ หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้นางอยู่ในสายตาเหมือนทุกที แต่วันนี้กลับไม่ทำ หรือท่านประมุขหมดความสนใจในตัวนางไปเสียแล้ว.. เบื้องหน้าเส้นทางลาดยาวตรงเข้าสู่ตำหนัก ปรากฏร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีดำสนิทเดินเข้ามา ผู้เฝ้าประตูด้านหน้าก้มศีรษะลงทำความเคารพแก่ท่านประมุขมารอวี้เหิง ซึ่งอวี้เหิงไม่เพียงแต่ไม่สนใจกลับเดินผ่านเลยไปยังตำหนักคล้ายเร่งรีบ ทั้งคู่เหลือบสายตามองประสานกันด้วยความงุนงง เหตุใดท่านประมุขถึงกลับมาที่ตำหนัก หากเป็นปกติยามนี้ท่านประมุขควรอยู่ที่ป่าทึบด้านหลัง หรือไม่ก็วางข่ายกลกำจัดพวกอสูรเสียมากกว่า กระนั้นก็ไม่อาจออกความเห็นใดได้จึงหันกลับไปประจำหน้าที่ต่อ ด้านอวี้เหิงเมื่อเข้ามาถึงด้านในก็พบว่ามีใครอีกคนรอเขาอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว และเมื่อรู้ว่าเป็นผู้ใดอวี้เหิงก็ชักสีหน้ารำคาญใจขึ้นมาทันที “อะไรพาเจ้ามาถึงนี่เสี่ยวเหยียน” “ท่านประมุข!” บุรุษร่างสูงโปร่งสวมชุดฮั่นฝูสีเขียวอ่อนพร้อมพัดสีเดียวกับชุดในมือเร่งรีบเดินเข้ามา สภาพหัวฟูใต้ตาดำคล้ำของเสี่ยวเหยียนทำเอาความรำคาญใจของอวี้เหิงลดลงมาถึงเศษเสี้ยวหนึ่ง ขณะคนที่เดินตรงมาส่งสายตาคาดโทษมองมายังผู้เป็นประมุขตนแต่ไกล อวี้เหิงกรอกตารำคาญเล็กน้อยมองอีกคนที่สภาพไม่ต่างจากศพเดินได้ใกล้เข้ามา “มีอะไร” ได้ยินเสียงห้วนตอบกลับ หัวใจดวงน้อย ๆ ของเสี่ยวเหยียนก็หล่นวูบ “ท่านประมุข ท่านทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้นะขอรับ!” “ทำไม” เสี่ยวเหยียนถึงกับเข่าทรุดเมื่อได้ฟังคำตอบเอาแต่ใจ ซึ่งอวี้เหิงเพียงถอยหลังไปหนึ่งก้าวสีหน้าเยือกเย็นไม่ต่างจากเดิม เดิมทีเสี่ยวเหยียนตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา ต้องคอยนำเรื่องต่าง ๆ เรียบเรียงและแจ้งแก่ท่านประมุขเพื่อให้เขาตัดสินใจ แต่ทว่าผู้เป็นประมุขกลับหนีหายไปไม่บอกกล่าวหน้าที่เขาจึงหนักเป็นสองเท่า! เช่นนี้แล้วยังกล้าถามถึงเหตุผลอีก! “ข้าจะเป็นบ้าตายอยู่แล้วท่านประมุข ดูสภาพข้าสิขอรับ!” เสี่ยวเหยียนโอดครวญหน้าตาอิดโรยยิ่งใช้เบ้าตาลึกดำคล้ำถลึงมองมายิ่งไม่น่าดูสำหรับอวี้เหิงยิ่งนัก “ก็ยังไม่ตายนี่ ออกไปซะ” อวี้เหิงปัดรำคาญ ปลีกตัวผ่านร่างที่นอนกองบนพื้นไปอย่างไม่ใยดี ร่างบนพื้นฉายชัดว่าไม่พอใจ ใบหน้าบึ้งตึงแต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน “ท่านยกหน้าที่ให้ข้าเป็นที่รองมือรองเท้าจากทุกฝ่าย เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ถูกส่งมาที่ข้าเพียงผู้เดียว ข้าทั้งหมด!” “ข้าอดทนฟังเจ้าจนจบแล้ว พอใจหรือยัง” “ฮึก!” เสี่ยวเหยียนกลั้นน้ำตา ความใจดีที่พอมีเหลืออยู่ของไอบ้านี้คงมีแค่เรื่องที่เขาสามารถบ่นออกมาได้และไม่โดนสังหารตกตายเหมือนคนอื่น เพราะทั้งสองเป็นสหายกัน อย่างน้อยเสี่ยวเหยียนก็เป็นข้อยกเว้น “หากไม่มีเรื่องรายงานก็ออกไปซะ” อวี้เหิงปัดมือไล่ “!” เสี่ยวเหยียนลอบแยกเขี้ยวหลังใบพัด หันหลังยอมเดินออกจากห้องไป แต่ก่อนไปได้ลอบมองผู้เป็นประมุขบนเก้าอี้กำลังวาดมือบนอากาสเรียกภาพโปร่งใสหนึ่งออกมา ทิวทัศน์ขาวโพลนกับสภาพอากาศเลวร้าย เสี่ยวเหยียนก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือเขตแดนเซียนหยวน ก่อนเขาจะนึกขึ้นได้ว่าท่านประมุขส่งฮูหยินไปกักขังที่นั่นไว้ไม่ใช่หรือ.. เสี่ยวเหยียนถึงกับร้องอ๋อในใจ เริ่มยิ้มกรุ่มกริ่ม ที่แท้เป็นเพราะห่วงฮูหยินนี่เองถึงไม่ลุกจากตำหนักไปไหนเลยตลอดทั้งสองวัน "เป็นห่วงเพียงนี้ ส่งนางไปทำไมกันเล่าขอรับ"“ออกไป” เสียงเย็น ๆ ปะปนมาด้วยจิตสังหารทำเอาร่างเสี่ยวเหยียนสะดุ้งสุดตัว “ขอรับ ๆ!” แน่นอนว่าเสี่ยวเหยียนรีบตอบรับคำแม้หน้าจะยังบูดบึ้งแต่ก็ยอมแต่โดยดีหันหลังเดินออกไป ทว่าเขากลับรู้สึกเหมือนเขาลืมบางอย่าง แท้จริงแล้วเขามาที่ตำหนักท่านประมุขเพราะมีเรื่องอื่นต้องรายงานด้วย แต่ก็นึกอยู่นานก่อนจะตัดสินใจว่าช่างมันแล้วกัน ไม่น่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร งานยามนี้ก็ล้นมือนัก ‘เจ้านายบัดซบ!’ คิดได้ดังนั้นเสี่ยวเหยียนก็สบถด่าคนด้านในใจไปหนึ่งคำ ก่อนเร่งเดินหายไปอีกทาง โดยเจ้าตัวลืมไปเสียสนิทแล้วว่าฮูหยินได้ฝากคำขอร้องผ่านเขามา ว่าอย่างน้อยก็ส่งอาหารมาให้นางที ซึ่งผู้ที่มีอำนาจเข้าออกหรืออนุญาตให้ผู้อื่นเข้าไปได้มีเพียงท่านประมุขผู้เดียวเท่านั้น...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD