‘พนมไพร เอนจอย’ คือจุดหมายปลายทางที่นรากรบอก ทว่าย่านการค้าที่น้องชายบอกว่าเป็นที่ตั้งของร้านนั้นก็เป็นย่านคนรวยที่หล่อนไม่เคยเฉียดใกล้มาก่อน
เพราะสถานที่แห่งนี้แทบจะมีแต่ลูกค้าต่างชาติและไฮโซไฮซ้อเมืองเหนือมาใช้บริการ ไอ้บรรดาคนหากินรายวันอย่างหล่อน แม้แต่จะเป็นลูกจ้างก็ยังเป็นไม่ได้เลย เพราะอย่างน้อยภาษาก็ต้องคล่อง และยิ่งอยู่ในแวดวงคนรวยแบบนี้ หากจะเข้าทำงานก็คงจะต้องมีคนค้ำประกัน เพื่อให้เป็นการแน่ใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์ของเสียหายเกิดขึ้นแน่นอน
แล้วเด็กกำพร้าที่ต้องวิ่งรอกทำงาน ทั้งยังต้องส่งเสียตัวเองและน้องชายเรียนด้วย จะหาใครที่ไหนมาค้ำประกันให้ได้
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่หล่อนไม่เคยมาเฉียดใกล้ย่านนี้มาก่อน กลุ่มเป้าหมายค้าแรงงานของหล่อนจึงอยู่แถวๆ ร้านค้าในตลาดหรือตามแหล่งท่องเที่ยวที่คนทั่วไปจับต้องได้เท่านั้น
“พี่บัว ร้านอยู่ตรงไหนอะพี่ คนเต็มไปหมดเลย” เด็กเสิร์ฟร่วมก๊วนโต๊ะจีนหันมาถาม
นลินนิภากวาดสายตามองหาหน้าร้านที่ติดป้ายว่า ‘พนมไพร เอนจอย’ ซึ่งยังไม่เห็นร้านไหนเลยที่มีป้ายแบบนั้น
แต่แล้วความโกลาหลด้านหน้าที่มีทั้งตำรวจทั้งรถดับเพลิง ก็ทำให้หล่อนชี้ไปข้างหน้าทันที
“ตรงนั้น ขับเข้าไปเลย”
“คนเยอะนะพี่จะเข้าไปได้เหรอ ฉันว่ามีไฟไหม้ ดูสิมีดับเพลิงด้วย”
ก็น่าจะเป็นไฟไหม้อยู่หรอก เพราะเห็นมีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงหลายคนยืนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น และบางคนที่กำลังม้วนสายยางอยู่ก็พอให้รู้ว่าน่าจะดับไฟได้แล้ว แต่มันจะเกี่ยวกับที่นรากรบอกหรือเปล่าหล่อนต้องไปดูให้ได้
“งั้นจอดตรงนี้แหละ เดี๋ยวพี่เดินไปเอง”
ยังไม่ทันที่รถมอเตอร์ไซค์จะจอดสนิท นลินนิภาก็กระโดดลงจากรถไปแล้ว
“พี่บัวรอก่อน รอฉันด้วย”
เสียงตะโกนไล่หลังดังมา แต่นลินนิภาไม่ได้สนใจฟัง เพราะใจจดจ่อแต่เพียงร้านที่มีความโกลาหลอยู่ด้านหน้า
และป้ายหน้าร้านที่เขียนว่า ‘PhanomPhrai Enjoy’ ก็ทำให้นลินนิภาใจหายวาบ
“คุณครับเข้าไปไม่ได้นะครับ เจ้าหน้าที่กำลังทำงานอยู่”
ผู้ชายคนหนึ่งที่ออกมายืนขวางหน้าเอาไว้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้เขาจะอยู่ในชุดนอกเครื่องแบบก็ตาม
“น้องชายหนูอยู่ข้างในค่ะ หนูต้องเข้าไป”
หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเหมือนจะถามว่าจริงเหรอ ทำให้นลินนิภามีความรู้สึกเหมือนถูกบังคับข่มขืนจิตใจให้หล่อนต้องพูดบางคำออกไป ทั้งที่หล่อนไม่อยากพูดเลย แต่หล่อนไม่มีทางเลือก เพราะถ้าไม่พูดก็คงไม่ได้เจอหน้านรากรในค่ำคืนนี้แน่ๆ หรือไม่เรื่องราวก็อาจจะลุกลามใหญ่โตจนหล่อนควบคุมไม่ได้ เพราะแค่เจ้าหน้าที่ตำรวจมายืนขวางหน้า แล้วไหนจะเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมากมายหน้าร้าน ก็บอกได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน
“น้องชายหนูโทรหาหนู เขาบอกว่าเขา…”
“ให้เข้ามาได้เลยครับ พ่อเลี้ยงรออยู่”
เสียงจากคนด้านในที่ตะโกนออกมาทำให้นลินนิภาหันมองโดยเร็ว และก็เห็นเป็นชายรูปร่างสันทัด อายุราว 30 ปีกว่า ชายผู้มีใบหน้าและผิวพรรณบ่งบอกว่าเป็นหนุ่มเหนือ 100% กำลังเพ่งสายตามองมาที่หล่อน
“ตามมานี่”
เสียงที่พูดกับหล่อนคุ้นหู นลินนิภารีบเดินตามเข้าไปด้านใน และจากสภาพที่เห็น ร้านค้าสุดหรูนี้คงจะจำหน่ายของฝากสำหรับนักท่องเที่ยว เพราะดูจากหีบห่อบรรจุภัณฑ์ ขนาดว่าเปียกน้ำก็ยังมองรู้ว่ามีราคา แล้วทำไมนรากรมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วทำไมถึงได้กล้าทำ
สองเท้าก้าวตามแต่หัวใจสั่นไหวนักเมื่อนึกถึงน้ำเสียงตื่นตระหนกของน้องชาย
‘พี่บัว! ช่วยผมด้วย ผมถูกจับ ผมมาขโมยของเขา ผมถูกเขาจับได้ พี่บัวช่วยผมด้วย! พี่บัว! พี่บัวช่วยผมด้วย!’
นั่นคือประโยคแรกที่นรากรพูดกับหล่อน แล้วประโยคต่อมาก็คือคนที่บอกสถานที่ตั้ง ก็คงเป็นคนที่เดินนำหน้าหล่อนอยู่นี้ เพราะเสียงใช่
“พี่คะ น้องหนูมาขโมยของจริงๆ เหรอคะ”
“จริง แล้วไม่ใช่แค่ขโมยด้วย เห็นสภาพร้านไหมล่ะ เด็กเหลือขอพวกนี้ไม่น่าจะเลี้ยงไว้เลยนะ”
นลินนิภากำมือแน่น ‘เด็กเหลือขอ’ น้องชายของหล่อนจัดอยู่ในจำพวกเด็กเหล่านี้ด้วยเหรอ ทั้งที่หล่อนทำงานงกๆ แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน เพราะต้องการให้น้องได้เรียนในโรงเรียนดีๆ แล้วทำไมน้องชายของหล่อนจึงกลายเป็นเด็กเหลือขอไปได้
แต่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันก็ค้ำคอให้พูดอะไรต่อไม่ได้ จำต้องเดินตามเขาเข้าไปด้านใน
ทันทีที่เห็นสภาพน้องชาย นลินนิภาถึงกับร้องไห้โฮ เพราะนรากรที่ถูกมัดมือไพล่หลังนั่งอยู่กับพื้น อยู่ในสภาพมอมแมมเนื้อตัวเต็มไปด้วยเขม่าควันไฟ
“นรา!”
หล่อนถลาจะเข้าไปหาน้อง แต่ก็โดนกระชากข้อมือจากคนที่พาเข้ามาเสียก่อน
“นั่งลงตรงนี้”
เสียงเข้มทำให้หล่อนได้สติและก็เห็นว่าในห้องนี้ไม่ใช่มีแค่นรากร แต่มีชายฉกรรจ์อยู่มากมายเกือบ 10 คน เพียงแต่ว่าพวกเขายืนอยู่ในมุมต่างๆ ของห้องเท่านั้น หล่อนจึงไม่ได้สังเกต แต่คนที่อยู่ใกล้กับนรากรมากที่สุด กลับเป็นคนที่หล่อนต้องเขม่นตามอง
คนคุ้นหน้าเหมือนเคยเห็นเขามาก่อน ก่อนที่ดวงตากลมโตเบิกกว้างเพราะเขาเป็นผู้ชายคนนั้น
‘เพื่อนของพ่อเลี้ยงพงษ์นภดล’ คนที่หล่อนลงไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนตักของเขา
“โลกกลมดีนี่ ไม่คิดว่าจะมาเจอเธอที่นี่อีก”