‘อาหารดีๆ ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเขากินแล้วคายทิ้งเสียหน่อย คนรวยน่ะ เขามางานสังสรรค์กัน อาหารก็เป็นหน้าเป็นตาของเจ้าภาพ แต่จะหาแขกที่มาตั้งหน้าตั้งตากินน่ะนะ แทบจะไม่มีเลย อย่างข้าวผัดปูเนี่ย บางทีมีคนตักไปแค่ช้อนเดียวเท่านั้นเอง หรือว่าปลาราดพริกเนี่ย ตักแค่ด้านเดียวอีกด้านหนึ่งไม่ได้พลิกเลย แล้วเราต้องทิ้งเหรอ ของดีๆ ทั้งนั้น และอีกอย่างหนึ่งนะ เกิดเป็นคน มันต้องขอบคุณข้าวปลาอาหาร ดูสิเนี่ย กว่าเขาจะปลูกข้าวขึ้นมาให้เรากินได้ กว่าจะเลี้ยงปลาให้โต กว่าจะไปจับกุ้งจับปลาหมึกต้องออกเรือไปรอนแรมกี่วันกัน ไหนจะพวกเครื่องปรุงทั้งหลายทั้งแหล่นี่อีกล่ะ พริก กระเทียม ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กว่าจะโตมาได้ มันต้องเผชิญแดด เผชิญลม เผชิญโรคระบาดขนาดไหน แล้วถ้าเราเป็นคนกินทิ้งกินขว้าง ก็เท่ากับว่าเราน่ะไม่รู้จักบุญคุณของแผ่นดินนะ ดังนั้นการกินอาหารที่แขกกินไม่หมด นอกจากเราจะได้กินของดีฟรีๆ แล้ว ก็ต้องถือว่าเรารู้จักบุญคุณ ผัก ปลา หมู กุ้ง หมึกเหล่านี้ด้วย เข้าใจไหม’
แม้คำพูดของเถ้าแก่โต๊ะจีนจะเป็นแค่คำปลอบใจให้ไม่อายเมื่อต้องกินของเหลือจากคนอื่น เพราะไอ้เรื่องตอบแทนบุญคุณแผ่นดินนั้น ไม่มีใครจับต้องได้เป็นรูปประธรรมหรอก แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นจริงและจับต้องได้ก็คือ การได้กินของดีฟรีๆ นั่นแหละ
แต่หล่อนก็ไม่เคยคิดอยากจะให้แขกกินน้อยๆ แล้วเหลือไว้ให้พวกหล่อนกินเยอะๆ นะ เพราะเถ้าแก่ก็สำทับท้ายว่า
‘การที่อาหารรสชาติดีและแขกกินได้เยอะ นั่นก็เป็นการการันตีอีกอย่างหนึ่งว่าโต๊ะจีนของเราทำดีกินอร่อย แบบนั้นเราถึงจะได้มีงานไม่ขาด’
หล่อนเห็นด้วยกับสิ่งที่เถ้าแก่พูดเพราะนั่นก็จะทำให้หล่อนมีงานตลอดเช่นกัน
เกือบตี 1 กว่าที่รถ 6 ล้อ จะแล่นออกจากปางไม้ นลินนิภาพยายามหลับบนรถให้มากที่สุด เพราะพรุ่งนี้หล่อนมีส่งงานอาจารย์แต่เช้า ถ้าตื่นไปไม่ทันจะยุ่ง ก่อนจะตื่นเมื่อรถจอดหน้าบ้านเถ้าแก่
เด็กโต๊ะจีนพากันลำเลียงของลงจากรถเข้าจัดเก็บในโกดัง ทุกอย่างทำว่องไวเพราะเป็นมืออาชีพกันอยู่แล้ว ก่อนจะพากันมารวมตัวอยู่หน้าร้าน เพื่อแยกย้ายกันกลับบ้านนอน
“เอ้าบัว! ป้าฝากฟรุตสลัดไปให้นรามันด้วย”
“ขอบคุณจ้ะป้า”
นลินนิภารับถุงใส่เต้าฮวยฟรุตสลัด ซึ่งเป็นของหวานของงานแต่งในวันนี้ ปกติแล้วของหวานจะไม่ค่อยเหลือ เพราะแขกก็มักจะกินเพื่อล้างปาก หรือถ้าเหลือก็น้อยนิดไม่พอจะแจกกันได้ครบคน
แต่ ‘นรากร’ น้องชายเพียงคนเดียวของหล่อน กลับได้กิน เพราะป้าแม่ครัวเอ็นดูใบหน้าหล่อเหลาแต่เด็กนั้นนัก ซึ่งป่านนี้นรากรคงจะนอนหลับปุ๋ย แต่คงคาดหวังว่าคืนนี้หล่อนจะเอาของกินอะไรอร่อยๆ ไปฝากบ้าง
“ความจริงพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ เอ็งน่าจะหัดให้นรามันออกมาช่วยทำงานบ้าง ดูไอ้พวกนั้นสิ ก็รุ่นราวคราวเดียวกับนราไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยก็ได้สี่ซ้าห้าร้อย จะได้เอาไว้ซื้อของที่มันอยากได้”
“อาทิตย์หน้าก็จะสอบเข้า ม.4 แล้วน่ะป้า หนูอยากให้น้องอ่านหนังสือสอบเยอะๆ ถ้าสอบเข้าที่นี่ได้ หนูก็จะได้เบาเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย”
“เออ! ก็แล้วแต่เอ็งล่ะ แต่มีกันแค่สองคนพี่น้อง ก็รู้จักสอนให้น้องมันลำบากบ้างนะ ไม่ใช่เอ็งคอยแต่หาให้มัน ประเดี๋ยวมันคิดว่าเอะอะพี่ก็หาได้ตลอด งานนี่ก็ไม่ได้มีตลอด หน้าฝนงานไม่ค่อยมี ตอนมีก็ออมไว้บ้าง ที่บอกน่ะเพราะข้าเป็นห่วง ไม่ใช่อะไรหรอก”
“หนูรู้จ้ะป้า ว่าป้าเป็นห่วงหนูกับน้อง หนูขอบคุณป้ามากเลยนะจ๊ะ หนูจะจำทุกอย่างที่ป้าสอนเอาไปสอนน้อง งั้นหนูกลับบ้านก่อนนะ”
“เอ้า! แล้วจะไปยังไง วันนี้อีหนิงมันลานี่”
‘หนิง’ ที่ป้าแม่ครัวพูดถึงคือเพื่อนร่วมเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับหล่อนและก็ชวนกันมาทำงานที่โต๊ะจีนแห่งนี้ แต่วันนี้หนิงมีธุระทำให้มาไม่ได้
“เดี๋ยวหนูเดินไปได้จ้ะ แค่นี้เอง”
“ไม่เอาๆ ให้ไอ้พวกนี้ไปส่ง” ป้าแม่ครัวมองไปยังเด็กโต๊ะจีนที่กำลังจะแยกย้ายกลับบ้าน พลางตะโกนเรียก
“เฮ้ย! พวกมึง ไปส่งพี่บัวกันหน่อย”
หนึ่งในเด็กหนุ่มที่คุ้นเคยกันดีกระโดดคร่อมมอเตอร์ไซค์คันเก่ง แต่ยังไม่ทันที่นลินนิภาจะได้ร่ำลาป้าแม่ครัวกลับบ้าน เสียงโทรศัพท์มือถือที่เรียกเข้าพร้อมโชว์ชื่อ...
“นราว่าไง ป่านนี้ทำไมยังไม่นอน นรา! เป็นอะไร!”
นลินนิภาหันมองป้าแม่ครัวหน้าตาตื่น
“ฮะ! อะไรนะ!”
กับข้าวในมือหล่นลงพื้น เหมือนจะหูอื้อและประสาทสัมผัสก็พลันจะมืดดับไปชั่ววินาที ก่อนที่หล่อนจะรู้สึกตัว
“รอพี่อยู่ที่นั่น เดี๋ยวพี่ไปหา รอพี่!”
“บัว! นรามันเป็นอะไร! บัว!”
“มันมีเรื่องป้า หนูต้องไปช่วยน้อง” หล่อนหันบอกป้าแม่ครัวก่อนจะกระโดดซ้อนมอเตอร์ไซค์เด็กโต๊ะจีนอย่างเร็วพร้อมบอกจุดหมาย