6

1519 Words
“เป็นอะไรครับนายหัว” “คุณแม่อาการทรุดน่ะ ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องให้ฉันพาอรุณจันทร์กลับไปให้ได้ ไม่งั้นก็หาเมียให้ได้ ท่านอยากอุ้มหลาน” “แบบนี้นายหัวจะทำยังไงครับ” “จะให้ไปหาผู้หญิงที่ไหนล่ะตอนนี้ ถ้าไม่ใช่อรุณจันทร์อย่างที่คุณแม่ต้องการ ก็ต้องซักกันจนถึงตับไตไส้พุง เอาใครมาแอบอ้างก็ความแตก ฉันไม่ชอบโกหกคุณแม่เสียด้วย” “เพื่อนๆ นายหัวก็เยอะแยะ” “คุณแม่ก็จับได้สิว่าฉันโกหก” “แต่อายุของนายหัวก็น่าจะมีครอบครัวได้แล้วนะครับ” “ฉันอาจจะไปหายัยคู่หมั้นนั่นอีกครั้ง” “เอา...งั้นเหรอครับ” โกไข่แทบสำลัก มองหน้าเจ้านายหนุ่มตาโตแทบถลน อยากจะถามว่าเสียสติใช่ไหมที่พูดออกมาเมื่อครู่ “บางทีพาเธอไปพบกับคุณแม่ พอท่านได้เห็นว่าเธอมีปฏิกิริยายังไง คุณแม่อาจจะเลิกบังคับให้ฉันแต่งงานกับหล่อนก็ได้” “แต่เธอจะยอมไปเหรอครับ” “ยอมสิ” นำทัพจิบเบียร์เย็นๆ อย่างใช้ความคิด “นายหัวจะทำยังไงครับ” “ไปสืบประวัติบ้านของอรุณจันทร์มาให้ละเอียดเลยนะ” “ทำไมต้องไปสืบครับ” “ก็อาจจะรู้ว่าเค้าเป็นยังไงกันบ้าง เราจะได้หาทางได้” “หาคนอื่นไม่ดีกว่าเหรอครับ” โกไข่เกลี่ยกล่อม ให้ตายดิ้นเถอะ เขาไม่สนับสนุนความคิดของผู้เป็นนายเลยจริงๆ “ถ้าหาคนอื่น คุณแม่ก็ไม่เลิกคิดมาก เพราะคุณพ่อเป็นคนหมั้นฉันกับอรุณจันทร์เอาไว้ ถ้าคุณแม่ได้เห็นว่าหล่อนไม่ดีและรังเกียจท่านด้วย ท่านคงจะถอดใจ เลิกบังคับฉันแต่งงานอีก” “อาจจะยิ่งบังคับนะครับ ไม่ให้แต่งงานกับคุณอรุณจันทร์ ก็แต่งกับคนอื่น” “ไม่หรอก ตอนนี้ฉันรู้ว่าคุณแม่หวังเรื่องอรุณจันทร์ ตั้งแต่ท่านประสบอุบัติเหตุ ท่านก็เก็บตัวมาตลอด” “ผมว่านายหัวก็น่าจะหาเมียได้แล้วนะครับ ผู้หญิงดีๆ มีเยอะแยะไป จะได้มาดูแลนายแม่ด้วย ท่านจะได้หายเหงา” “ก็อยากหาอยู่ แต่ผู้หญิงคนนั้นต้องรักแม่ของฉันด้วยนะ ไม่ใช่รักแค่เงินของฉัน” นำทัพพูดแล้วมองออกไปข้างนอกอย่างไร้จุดหมาย ไม่ใช่เขาไม่อยากแต่งงาน แต่เขาอยากแต่งงานกับผู้หญิงที่รักเขาและรักแม่ของเขาด้วย แม่ของเขาพิการ ตาบอดและขาเดินไม่ได้ ถึงจะมีพยาบาลพิเศษคอยดูแล แต่ถ้ามีสะใภ้ดี ได้อยู่ดูแลและพูดคุยกันให้หายเหงา คงจะดีกว่านี้ เขาคิดว่าคนในครอบครัวยังไงก็ต้องดีกว่าคนนอก ประไพเองถึงแม้จะขยันทำงานและเป็นคนดี เขาก็คิดว่าอีกฝ่ายเสมือนญาติ แต่นานไป ก็คงต้องออกไปจากครอบครัวของเขา คงไม่ได้อยู่ดูแลกันไปจนสิ้นลม แต่ถ้าลูกหลาน ยังไงก็ไม่ทิ้งญาติผู้ใหญ่ของตัวเองแน่นอน เขารักมารดามาก ก็อยากให้ภรรยาของเขารักท่านเหมือนที่เขารัก เขาต้องการภรรยาที่คอยดูแลจัดการในบ้าน เป็นแม่บ้านแม่เรือน ทำให้เขาชื่นอกชื่นใจทุกครั้งที่กลับจากที่ทำงาน ไม่ใช่ภรรยาที่ทำงานเก่งเหมือนสามี แต่งานบ้านไม่เอาถ่านอะไรสักอย่าง บางทีผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน รู้จักเอาใจปรนนิบัติสามีก็มีเสน่ห์อย่างหนึ่ง ซึ่งเขาชอบแบบนั้นมากกว่าผู้หญิงที่เก่งกล้าสามารถ หาเงินเก่ง แต่ขาดหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้ชายอย่างเขาต้องการ “อะไรกันคะคุณแม่ คุณแม่ทำแบบนี้ได้ยังไงกัน” อรุณจันทร์โวยวายใส่มารดา เมื่อท่านยอมยกเธอให้แต่งงานกับ นำทัพ เธอคิดว่าท่านต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ เลย “ก็เขาให้เงินแม่มาแล้ว” “เขาเสนอเงินให้แม่ แม่ก็ยกหนูให้เขาเหรอคะ ยี้...หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ขนาดนั้น หนูไม่แต่งกับเขาหรอกนะคะ” “แต่หนูก็ได้แต่งงานนะจันทร์เจ้า ดีกว่าไปเปลืองเนื้อเปลืองตัวกับคนอื่น ได้เงินมาก็ไม่ยั่งยืน” “มันให้แม่มาเท่าไหร่คะ คุณแม่ถึงได้มาพูดให้หนูแต่งงานกับมัน” “ปลดหนี้บ้านของเราได้เลยล่ะลูก” “แค่หนี้บ้าน แล้วเงินอย่างอื่นล่ะคะ” “หนี้บ้านเราก็เยอะนะจันทร์เจ้า” “ไม่รู้ล่ะค่ะ หนูจะไม่แต่งงานกับเขาเด็ดขาด” “แต่แม่รับเงินเขามาแล้ว รับปากกับเขาแล้วด้วย” “งั้นคุณแม่ก็แต่งงานกับมันเองสิคะ” “จันทร์เจ้า...พูดเป็นเล่นไปได้ แม่จะไปแต่งงานกับนำทัพได้ยังไง เขาจะแต่งกับลูก” “แต่หนูไม่แต่งค่ะ” อรุณจันทร์พูดใส่หน้ามารดา “จันทร์เจ้า กลับมาก่อนนะ จันทร์เจ้า” คุณนพมาศเรียกบุตรสาวเอาไว้ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเหลียวหลังกลับมา เธอถึงกับกุมขมับ เพราะนำทัพให้คนของเขาติดต่อมา และยินดีปลดหนี้บ้านให้ ขอเพียงให้ตกลงไปอยู่ด้วยกันที่ภูเก็ตอาทิตย์หน้า โดยไม่มีพิธีแต่งงานอะไร เหตุผลเพราะมารดากำลังป่วย ก็อยากพาภรรยากลับไปหามารดาเร็วๆ พิธีแต่งงานจะจัดขึ้นภายหลัง ซึ่งเธอก็ยอมตกลงแต่โดยดี เพราะเงินจำนวนมหาศาล แม้บุตรสาวจะไม่ยินยอม คุณนพมาศก็ตอบนำทัพไปแล้วว่าอรุณจันทร์ตกลง เมื่ออีกฝ่ายโทรมาถามไถ่ นางคิดว่านี่ถ้าอรุณจันทร์ไม่ไปกินข้าวกับนำทัพแต่แรก แล้วชายหนุ่มเสนอเงินให้ขนาดนี้ จะส่งรัตนปาตีไปแทน แต่นี่อีกฝ่ายเห็นหน้าอรุณจันทร์แล้ว ทำให้นางรู้สึกเป็นกังวลอยู่มาก นพมาศคิดว่าจะลองพูดเกลี่ยกล่อมบุตรสาวดูอีกครั้ง เพราะอีกตั้งหลายวัน บางทีบุตรสาวอาจจะยอมตกลงปลงใจก็ได้ หลังจากนั้นนพมาศก็เอาอกเอาใจบุตรสาวและพูดจาเกลี่ยกล่อมจนอรุณจันทร์ยอมรับปาก ท่านถึงได้ยิ้มออก “กระจอกจริงๆ ไม่รู้จักจัดงานให้มันหรูหรา หน้าตาไม่ดีจัดงานให้ดี คนนับหน้าถือตาก็พอให้อภัยได้ นี่รวบรัดเหมือนฉันหาผัวไม่ได้อย่างนั้นแหละ” อรุณจันทร์คุยกับรัตนปาตีในวันหนึ่ง หลังจากที่ให้อีกฝ่ายมาถูหลังให้ขณะอาบน้ำ “เห็นคุณท่านบอกว่าเขาต้องรีบกลับไปหาแม่ที่ป่วยนี่คะ” รัตนปาตีพูดตามที่ได้ยินมา “กระจอกน่ะสิ ไม่มีปัญญาจัดงานแต่งงาน แล้วแม่มันที่ป่วยใครจะดูแล อย่าบอกนะว่าให้ฉันไปดูแล เช็ดขี้เข็ดเยี่ยวให้ จ้างให้ก็ไม่เอาหรอกนะ” อรุณจันทร์ทำท่าขนลุกขนพอง แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารังเกียจ “แม่ของเขาป่วยเป็นอะไรเหรอคะ” รัตนปาตีเอ่ยถาม “เป็นง่อยน่ะสิ นั่งรถเข็น เห็นคุณแม่บอกว่าตาบอดด้วย โอ๊ย! ไม่ไหวจริงๆ” อรุณจันทร์ทำท่ารังเกียจ “เค้าน่าสงสารนะคะ” รัตนปาตีนึกถึงคนพิการก็ให้นึกเวทนา คงขัดใจเพราะอยากเดินเหินเหมือนคนอื่นได้ อยากมองเห็นโลกภายนอกได้เหมือนๆ กับคนอื่น แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับมืดบอด “จ้ะ แม่คนแสนดี แกอยากสงสารก็สงสารไปเถอะ” อรุณจันทร์เหยียดปาก “มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉันที่ต้องไปดูแลคนพิการตาบอด” “แต่ถ้าแต่งงานไป คุณจันทร์เจ้าเป็นสะใภ้ก็ต้องดูแลนะคะ” “พูดเรื่องนี้แล้วหงุดหงิด” “คุณจันทร์เจ้ารับปากคุณท่านไปแล้วนะคะ” “หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว พอสักทีเถอะ” “ค่ะ” รัตนปาตีรีบหยุดปาก เพราะรู้ดีว่าเวลาไหนควรหยุด เวลาไหนควรพูด หลังจากช่วยขัดตัวให้อรุณจันทร์ เธอก็ช่วยแต่งเนื้อแต่งตัวและบีบนวด อรุณจันทร์และมารดาของเธอมักเอ่ยชมเสมอว่ารัตนปาตีนวดดี นวดเก่ง ไม่ต้องไปสปาหรือไปหาหมอนวดข้างนอกเลย “ไอ้หมอนั่นให้เงินคุณแม่มาปลดหนี้บ้านด้วยนะ” อรุณจันทร์เล่าไปพร้อมๆ กับนอนคว่ำให้รัตนปาตีนวดให้ “เขาคงรวยมากนะคะ” “เงินไม่กี่สิบล้าน รวยจริงต้องร้อยล้านพันล้าน” คำพูดของอรุณจันทร์ทำให้รัตนปาตีอยากเถียงใจขาดดิ้น เพราะเธอ แค่มีเงินล้านเดียวก็ถือว่ารวยแล้วล่ะ ทำงานเก็บเงินมาทั้งชีวิตยังมีเงินแค่หยิบมือเดียวเอง “เขาก็ใจดีนะคะ ให้เงินมาใช้หนี้” “นี่...เลิกพูดเข้าข้างมันสักทีได้ไหม ฉันหงุดหงิดทุกทีเลย” “ค่ะ” อยากจะค้านว่าเพราะอรุณจันทร์นั่นแหละ คอยพูดเรื่องของคู่หมั้นให้ฟังอยู่ตลอด เธอก็เลยพูดโต้ตอบกลับไป แต่ถ้าไม่พูดเลย อรุณจันทร์ก็จะตวาดกลับมาว่า นังข้าวหอม!!! แกเป็นใบ้หรือไงห้ะ ซึ่งเธอโดนอยู่บ่อยๆ 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD