1
บทนำ
หญิงชราที่ดวงตามืดบอดทั้งสองข้างนั่งอยู่บนรถเข็นเพื่อรอบุตรชายคนเดียวกลับมา วันนี้นางคิดว่าจะต้องพูดเรื่องสำคัญกับบุตรชายให้ได้ หลังจากที่ผิดหวังมาหลายรอบ
นางมานั่งคิดๆ ดูแล้ว ตายไปจะมีหน้าไปบอกสามีได้อย่างไรกันว่าลูกชายคนเดียวยังไม่แต่งงานมีครอบครัว และมีทายาทสืบสกุล เพราะมัวแต่ทุกข์ใจ จมอยู่กับตัวเอง และอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น ทั้งขาพิการ ทั้งดวงตามืดบอด จึงไม่ได้สมาคมกับญาติสนิทมิตรสหายหรือใครๆ เลย ถึงเวลาแล้วกระมังที่จะต้องทำอะไรให้มีประโยชน์มากกว่านั่งนอนรอคอยความตายอยู่เช่นนี้
จรรยา ไตรจักรภพ หญิงวัยหกสิบเศษที่มีเค้าโครงหน้าของความสวยตามวัย ใครได้เห็นก็รู้ในทันทีว่าเมื่ออดีตนั้นงดงามเพียงใด ดวงตามืดบอดและขาพิการเดินไม่ได้ของท่านเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ ท่านไม่อยากเข้ารับการผ่าตัดหรือรักษาอะไรทั้งนั้น เพราะหวาดกลัวว่าหากผ่าตัดแล้วอาจจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป
ท่านไม่ได้รักตัวกลัวตาย ทั้งๆ ที่อยากตายตามสามีไปเมื่อหลายปีก่อน แต่เพราะยังมีห่วงเรื่องลูกชายคนเดียว แม้เขาจะอายุย่างเข้าสามสิบหกปีเข้าไปแล้ว แต่ในสายตาของท่าน เขาก็ยังเป็นเด็กอยู่เสมอ
“คุณแม่ยังไม่นอนอีกเหรอครับ” เสียงทุ้มอ่อนโยนของบุตรชายทำให้คุณจรรยาอมยิ้ม มือของท่านถูกกุมเอาไว้ด้วยอุ้งมือใหญ่ของลูกชายคนเดียว
“แม่รอใหญ่อยู่น่ะลูก” น้ำเสียงของท่านอ่อนโยนและรักใคร่
นำทัพ ไตรจักรภพ ชายหนุ่มวัยสามสิบหกปี เขาสืบทอดกิจการทุกอย่างในเครือไตรจักรภพ ทั้งโรงแรมและรีสอร์ท ฟาร์มมุกและกิจการอื่นๆ อีกมากมาย
นำทัพเป็นหนุ่มรูปงาม รูปร่างสูงสง่า เป็นผู้นำ ทั้งยังหล่อเหลา มีสาวน้อยสาวใหญ่มาติดพันมากมาย แต่เขาก็ยังครองความโสดอยู่มาได้จนถึงอายุสามสิบหกปี
ครอบครัวไตรจักรภพนั้นถือว่าร่ำรวยเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในจังหวัด เพราะความดีของนายหัวนิรุต บิดาของนำทัพซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ท่านเป็นคนใจดีมีเมตตา และชอบช่วยเหลือคนอื่น นั่นทำให้เขาเป็นที่รักของคนทั้งหลาย
“คุณแม่มีอะไรเหรอครับ” นำทัพเอ่ยถาม คิดว่ามารดานั่งรอเขาอยู่แบบนี้คงมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ เพราะปกติท่านจะเก็บตัว ไม่ค่อยออกมาพบเจอใคร
“แม่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับใหญ่”
“เรื่องอะไรครับ”
“ใหญ่ก็อายุอานามไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะลูก” ท่านเกริ่นนำ...นำทัพรู้ได้ในทันทีว่าท่านจะพูดเรื่องอะไร เพราะเขาบ่ายเบี่ยงเรื่องนี้มาตลอด อาจเพราะยังไม่อยากมีครอบครัว ที่สำคัญคือยังไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ทำให้เขารักได้สักคนเดียว การจะพาใครมาแอบอ้างว่าเป็นแฟน คนรักหรือเป็นเมีย เขาก็ไม่อยากทำเพราะกลัวปัญหาตามมาทีหลัง อีกทั้งกลัวมารดาจะจับได้
อีกเหตุผล เขาไม่อยากโกหกบุพการีที่เขาเคารพรัก...
“ผมรู้ว่าคุณแม่จะพูดเรื่องอะไร”
“ใหญ่ควรมีครอบครัวได้แล้ว มีลูกมีเต้าสืบสกุล”
“ผมยังไม่เจอใครที่รักเลยครับคุณแม่”
“ลูกมีคู่หมั้นอยู่แล้ว จำไม่ได้หรือไง” ท่านท้วงติง
“เราหมั้นกันนานแล้วนะครับ คุณพ่อก็พาพวกเราย้ายมาอยู่ภูเก็ตตั้งหลายสิบปี ทางโน้นก็ไม่ได้ติดต่อกับเรานานแล้ว ผมว่าพวกเค้าก็คงลืมไปแล้วล่ะครับ”
“เพราะพ่อของลูกไม่อยู่ เลยไม่ได้ติดต่อกับทางโน้น ทางโน้นก็เถอะ ลุงอรุณเสียก็ไม่ได้ติดต่อกับทางเรา”
นิรุตกับอรุณเป็นเพื่อนรักกัน ตกลงหมั้นหมายลูกๆ กันเอาไว้ ก่อนที่นิรุตจะย้ายมาอยู่ภูเก็ต เพราะภาระงานที่ยุ่งเหยิงและปัญหารอบด้านในช่วงนั้น พอทุกอย่างคลี่คลายก็เกิดประสบเคราะห์กรรมเสียชีวิต เลยเหลือแค่ภรรยาคือจรรยาซึ่งเป็นภรรยาของนิรุตกับนพมาศซึ่งเป็นภรรยาของอรุณ ซึ่งไม่ได้ติดต่อกันเลย เพราะคนที่สนิทกันจริงๆ คือสามีของพวกท่าน
“พวกเขาก็คงลืมเราไปแล้วล่ะครับ”
“แต่สัญญาหมั้นหมายยังอยู่นะลูก” จรรยารู้สึกว่าเหมือนมีอะไรติดค้างอยู่ในใจ
“แค่สัญญานี่ครับ ผมเองก็ไม่ได้รู้จักมักจี่สนิทสนมกับคู่หมั้นตัวเอง จะให้ไปแต่งงานกัน ผมคงทำไม่ได้หรอกครับ เดี๋ยวนี้มันหมดยุคคลุมถุงชนแล้วนะครับคุณแม่ แล้วที่บอกว่าจู่ๆ เดี๋ยวรักกันไปเอง อาจจะใช้ไม่ได้ผลก็ได้ หรือบางทีคู่หมั้นของผมอาจจะมีลูกมีสามีไปแล้วก็ได้ครับ เรากับเขาไม่ได้ติดต่อกันนานขนาดนี้”
ช่วงนั้นนิรุตประสบปัญหาเรื่องงาน อรุณเองก็กำลังบุกเบิกบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ต่างคนก็ต่างยุ่ง อยู่ห่างกันอีก เลยไม่ได้ติดต่อกันเลย จะมาติดต่อกันอีกทีก็เสียชีวิตกันไปแล้ว จรรยาเองก็ประสบอุบัติเหตุ ท่านเลยเก็บตัวไม่ค่อยสุงสิงกับโลกภายนอก พอมารู้ตัวอีกที ลูกชายคนเดียวก็อายุอานามล่วงเลยเข้าวัยสามสิบหกเรียบร้อยแล้ว แถมยังไม่มีครอบครัว ไม่มีทายาทสืบสกุล ท่านเลยเริ่มคิดเรื่องนี้ขึ้นมา ในช่วงหลังๆ จึงพูดเรื่องนี้บ่อยๆ เพื่อกระตุ้นให้นำทัพหาผู้หญิงดีๆ มาเป็นคู่ชีวิต ไม่ใช่เอาแต่ทำงานเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้
“ในเมื่อลูกยังไม่มีใคร ก็ลองติดต่อไปทางโน้นสิจ๊ะ ถ้าหนูจันทร์เจ้าแต่งงานแล้ว ก็จะได้รู้กัน แต่ถ้ายัง แม่ก็อยากให้ลูกทำตามเจตนารมณ์ของคุณพ่อ ท่านอยากให้ลูกแต่งงานกับลูกสาวของเพื่อนรักของท่าน”
“แต่ผม...” นำทัพอึดอัดใจยิ่งนักที่จะต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก สัญญาหมั้นหมายนั้น เขาก็ไม่เห็นความสำคัญนัก อาจเพราะไม่ได้ติดต่อคบหาสมาคมกันในฐานะคนที่เกี่ยวดองกันเลยนั่นเอง หากยังรู้จักมักจี๋ ติดต่อไปมาหาสู่กันอยู่บ้าง เขาก็คงคิดหนัก แต่นี่ต่างคนต่างไม่อยากติดต่อหรือทำความรู้จักกันเลย
“ไม่มีแต่ทั้งนั้น ลูกเองก็ยังไม่มีใคร ลองเปิดใจกับหนูจันทร์เจ้าดู เผื่อลูกอาจจะชอบหรือนึกรักเธอขึ้นมาก็ได้”
“แต่ถ้าเธอไม่ชอบผมล่ะครับ”
“อันนั้นก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้ใหญ่ต้องไปพบหนูจันทร์เจ้าก่อน ห้ามปฏิเสธอีกเด็ดขาด แม่น่ะเอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัว หลังจากประสบอุบัติเหตุ เลยพลาดอะไรไปหลายอย่าง ตอนนี้แม่ไม่ยอมให้ใหญ่โสดไปจนอายุสี่สิบห้าสิบหรอกนะ อย่างน้อยก็ต้องมีทายาทไว้สืบสกุล จะหญิงหรือชายก็ช่าง กิจการของเราตั้งมากมาย จะให้ใครมาสืบทอดล่ะ ถ้าแม่ตายไปจะไปบอกพ่อของลูกว่ายังไงกัน”
“คุณแม่อย่าพูดเรื่องความเป็นความตายอีกนะครับ ผมใจคอไม่ดี ผมมีคุณแม่อยู่แค่คนเดียวเท่านั้น”
“ความตายเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ แม่ปลงเสียแล้วล่ะลูก”
“ผมทราบครับ แต่ผมไม่อยากให้คุณแม่เป็นอะไร คุณแม่ต้องอยู่กับผมไปอีกนานๆ”
“งั้นก็รับปากแม่สิ ให้แม่ได้อุ้มหลานสักคนนะใหญ่นะ”
“ครับคุณแม่” นำทัพรับปาก เขาได้ยินมารดาพูดแบบนี้ก็ใจคอไม่ดี บางทีเขาอาจจะต้องคิดเรื่องมีครอบครัวจริงๆ แล้วนั่นเอง ทั้งๆ ที่เขาเองก็ยังไม่อยากลงหลักปักฐานกับใคร เพราะยังหาผู้หญิงที่จะมาเป็นแม่ของลูกไม่ได้
“ใหญ่ แม่รักใหญ่มากนะ แม่หวังดีกับใหญ่ แม่เองก็สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ใหญ่ทำเพื่อแม่ ขอให้ได้อุ้มหลานสักครั้งเถอะนะลูก แม่จะได้ตายตาหลับ”
“คุณแม่อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผมใจคอไม่ดีเลย” นำทัพรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินมารดาพูดเรื่องความตายซ้ำๆ และสีหน้าของท่านก็คาดหวังเหลือเกิน รอบนี้ท่านจริงจังจนเขารู้สึกได้ การจะปฏิเสธนั้นดูจะทำให้ท่านกระทบกระเทือนจิตใจ ในเมื่อท่านเอาความเป็นความตายมาพูดถึงขนาดนี้ เขาเองจะนิ่งดูดายก็คงไม่ใช่ ก็แค่ไปพบคู่หมั้นวัยเด็กของตัวเอง คงไม่เป็นไร จะยังไงก็ค่อยว่ากัน ถ้าเธอไม่โอเค เขาก็อาจจะหาผู้หญิงสักคนมาเป็นเมีย เพราะมารดาอยากมีทายาทสืบสกุล เอาเถอะ...เขาจะจัดให้สมใจท่าน