ชายหนุ่มดันตัวหญิงสาวออก พอได้เห็นรอยคราบน้ำตาของคนขี้แย เขาก็แทบจะหลุดขำออกมา ตอนนี้เขาแทบนึกถึงความก๋ากั่นถือดีของเธอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาไม่ออก
พอเห็นใบหน้าของเธอตอนนี้ชายหนุ่มก็ดุไม่ออก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาหงุดหงิดมากมาย
“พรุ่งนี้เช้าเราจะขึ้นฝั่งที่ฮาวาย” ชายหนุ่มบอกเธอเพียงแค่นั้นแล้วก็แกะมือบางออกจากรอบเอวของเขา และเดินเข้าไปอาบน้ำทันที
หญิงสาวมองตามแผ่นหลังเขาไป อย่างน้อยเธอก็ใจชื้นขึ้นมาบ้างเมื่อได้รู้ว่าเป้าหมายต่อไปของเขาอยู่ที่ไหน และเธอก็ไม่ได้ถูกทิ้งให้ลอยเคว้งอยู่กลางทะเลคนเดียวอีกต่อไป
เรือยอชต์ขยับเข้าใกล้ฝั่งทุกที คฤหาสน์หลังงามตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเลเป็นจุดโฟกัสสายตาของหญิงสาวในลำดับต่อมา เธอสังเกตเห็นว่าตรงหน้าคฤหาสน์มีท่าเทียบเรือที่ใหญ่ไม่แพ้ Millennium Love Cruise ที่เธอเพิ่งขึ้นตอนออกมาจากฝั่งที่แคลิฟอร์เนีย
ความงามของคฤหาสน์หลังงามตรงหน้าทำให้เธอเผลอหลุดปากร้องว้าวออกมาอย่างลืมตัว ถ้าจะมองดีๆ คฤหาสน์หลังนี้มีรูปทรงไม่แตกต่างจากคฤหาสน์ที่อยู่บนฝั่งแคลิฟอร์เนียมากนัก สิ่งที่แตกต่างคงจะเป็นสีของคฤหาสน์ ที่แคลิฟอร์เนียจะเป็นสีขาวสะอาดและมีรูปทรงทันสมัยมากกว่า
ส่วนที่ฮาวายจะเป็นสีฟ้าน้ำทะเล แม้จะมีรูปทรงใกล้เคียงกันแต่ดีไซน์ด้านนอกถูกตกแต่งแนวสไตล์บาหลี อาจเป็นเพราะฮาวายอยู่ค่อนไปทางเอเชีย และพลเมืองของแถบนี้เป็นชาวเอเชียเสียส่วนใหญ่ ทำให้คฤหาสน์หลังนี้ดูกลมกลืนกับสถาปัตยกรรมของฝั่งเอเชีย แต่ก็ไม่ทิ้งเค้าโครงเดิมที่คล้ายกันกับคฤหาสน์ในฝั่งแคลิฟอร์เนียเท่าใดนัก
“ว้าว...สวยจัง” หญิงสาวมองอย่างตื่นตะลึง
ขณะที่เธอกำลังชื่นชมความงามด้านนอกหน้าต่าง เสียงทรงพลังของชายหนุ่มเจ้าของเรือยอชต์ก็ดังแทรกขึ้นมาขัดจังหวะความสุขของเธอ ในจังหวะเดียวกับที่กัปตันเรือทอดสมอ เรือค่อยๆ เข้าจอดเทียบท่า
“ถึงที่พักของฉันละ ส่วนเธอก็กลับไปได้แล้ว หวังว่าเราจะไม่เจอกันอีก” ชายหนุ่มบอกกึ่งไล่ให้เธอกลับ หลังจากเครื่องยนต์หยุดสนิท พื้นที่ตรงนี้เป็นด้านหลังของคฤหาสน์หลังงามเมื่อครู่ ถัดไปอีกไม่ไกลเป็นลานจอดเครื่องบินส่วนตัวของเขา มีหลังคาโดมสูงป้องกันแสงแดดไว้อีกชั้น
เสียงของโดนัลด์ทำให้หญิงสาวตกใจ หันกลับมามองเจ้าของเสียงทันที ดวงตาคมกริบคู่นั้นทำให้หญิงสาวต้องรีบเบือนหน้าหลบ
เจ้าของเสียงยืนอยู่ในท่วงท่าสบายๆ สองมือของเขาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สายตาจ้องมองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเบาะนิ่ง
“ฉันจะไม่กลับจนกว่าจะตกลงกับคุณเรียบร้อย”
“ตกลงเรื่องอะไรไม่ทราบ” เขาถามกลับเสียงราบเรียบ
“เรื่องที่คุณไล่ฉันออก ฉันจะไม่ออกเด็ดขาด”
“ฉันบอกไปแล้วว่าคำสั่งของฉันคือเป็นประกาศิต หากเธอจะทำงานต่อก็ตามใจ แต่ฉันก็มีสิทธิ์จะไม่จ่ายเงินเดือนเธอเหมือนกัน” เขาบอกด้วยน้ำเสียงทรงพลังชัดเจน
“แต่คุณไล่ฉันออกโดยที่ยังไม่สอบถามหรือไต่สวนด้วยซ้ำ”
“หลักฐานชัดเจนขนาดนั้น” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“แต่ฉันไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวอ้างในข่าว”
“แล้วไง” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงรำคาญ ปกติเขาจะไม่ชอบต่อปากต่อคำกับพนักงานระดับล่างเท่าใดนัก หรือจะพูดว่าไม่เคยมีสักครั้งก็ได้
“ฉันมาที่นี่ก็เพราะอยากอธิบาย” หญิงสาวบอกเสียงอ่อนลง “ฉันคิดว่าฉันไม่ได้รับความเป็นธรรม”
“แล้วอะไรที่เรียกว่าความเป็นธรรมล่ะ เธอก็รู้กฎก่อนเข้าทำงานแล้วไม่ใช่เหรอ เธอมีหน้าที่ที่จะเข้าไปในตึกที่พักของนักกีฬาตั้งแต่เมื่อไรกัน” ชายหนุ่มถามกลับ มองหน้าหญิงสาวนิ่ง
“เอ่อ...” หญิงสาวอึกอัก
“เห็นไหม เธอก็ตอบคำถามฉันไม่ได้ เพราะฉะนั้นเธอก็กลับไปในที่ของเธอได้แล้วสาวน้อย” ชายหนุ่มบอกเสียงนิ่งก่อนจะหันหลังเดินออกไป หลังจากเรือหยุดสนิทและบันไดถูกเลื่อนลงพาดกับท่าเรือ
หญิงสาวรีบถลาตามชายหนุ่มออกไปติดๆ เธอจะไม่มีวันยอมแพ้เพราะคำพูดของเขาเป็นอันขาด
“มัม!” เสียงของคนตัวสูงร้องทักมารดาที่ยืนอ้าแขนรอรับเขาอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ที่ติดกับท่าเทียบเรือ ทำให้เท้าของหญิงสาวสะดุดกึกและหยุดการก้าวขาเอาไว้ที่ตรงนั้น
“บ้านของเขา” หญิงสาวรำพึงกับตัวเองเบาๆ
“กลับมาบ้านได้เสียทีนะเบบี้เลิฟของมัม” หญิงชราร้องทักลูกชายพร้อมกับโอบกอดอย่างสุดรัก
คนที่ยืนอยู่ด้านหลังอ้าปากหวอกับคำเรียกขานของหญิงชราผู้นั้น คำว่า ‘เบบี้เลิฟ’ ที่หลุดออกมาจากปากของนาง ช่างดูห่างไกลจากใบหน้าของคนที่ถูกเรียกนัก จนคนได้ยินแทบหลุดขำออกมา หากเธอไม่คิดว่าจะเสียมารยาท เธอคงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้ว
ที่จริงเรียกว่าปีศาจตาคมน่าจะเหมาะกว่า ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ดวงตาราวกับเพชฌฆาต มองมาสักทีขนลุก...สะเทือนไปทั่วทุกรูขุมขน
หลังจากหญิงชรากอดลูกชายจนเต็มรักและหายคิดถึงไปบ้างแล้ว ก็ผละมือเหี่ยวของนางออก ยกขึ้นประคองดวงหน้าลูกชายเอาไว้ด้วยสองมือ
“ทำงานหนักหรือไงเรา ดูซูบไปนะ” หญิงชราทักลูกชายก่อนที่สายตาของนางจะมองผ่านลูกชายมายังหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังและถามออกมาเบาๆ
“แล้วนั่นพาใครมาด้วยเหรอ หรือว่าคนที่ลูกบอกว่าจะพามาทำความรู้จักกับมัม” หญิงชราย่นคิ้วเพ่งมองหญิงสาวด้านหลังชายหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์ สายตาของนางฝ้าฟางลงไปมากเกินกว่าที่จะเห็นหน้าหญิงสาวได้ชัดเจน
ชายหนุ่มหันกลับมามองหญิงสาวตาดุๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอแอบตามลงมา เพราะสั่งกัปตันให้พาเธอกลับไปส่งที่มอนเตร์เรย์ตั้งแต่ที่อยู่บนเรือแล้ว
แต่พอเห็นมารดาทักเขาก็แก้เก้อ
“เปล่าครับมัม คนนี้เป็นพนักงานที่สโมสร เธอกำลังจะกลับพอดี”
ได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มแนะนำ หญิงสาวก็รีบสวมรอยเข้าเรื่องของตัวเอง วิ่งถลาเข้าไปหาสตรีสูงวัยอย่างนอบน้อม ส่งแววตาออดอ้อนให้นางเอ็นดู
“สวัสดีค่ะ พอดีว่าฉันทำงานยังไม่เสร็จ ต้องขอรบกวนอีกสักพักนะคะ”
หญิงชรายิ้มกว้าง เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ โดนัลด์ เลิฟ กล้าพามาที่ฮาวาย คงจะมีความสำคัญสักอย่าง ไม่อย่างนั้นลูกชายจอมเพลย์บอยของนางคงไม่พามาด้วยเป็นแน่ ถ้าจะอ้างเรื่องงานนางไม่มีวันเชื่อ โดนัลด์ เลิฟ มีระบบการจัดการทำงานอย่างดีเยี่ยม วันพักผ่อนของเขาจะไม่มีเรื่องงานมาปะปนเด็ดขาด
“ตามสบายจ้ะ” หญิงชราแอบเหล่หางตายิ้มให้ลูกชายอย่างมีลับลมคมใน ก่อนจะหันมายิ้มให้หญิงสาวอีกครั้ง
“หนูไม่ใช่คนยุโรป” หญิงชราถามหญิงสาวเสียงอ่อนโยน
“แม่ของหนูเป็นคนไทยค่ะ แต่แม่แต่งงานใหม่กับคนอเมริกัน ตอนนี้หนูเลยถือสัญชาติอเมริกันเต็มตัว” หญิงสาวตอบกลับไปอย่างนอบน้อม
หญิงชราส่งมือเหี่ยวย่นมาโอบไหล่หญิงสาว “เข้าบ้านกันเถอะ”