จันทร์เจ้าขาเห็นรถเก๋งคุ้นตาจอดอยู่ที่หน้าคณะก็แสร้งทำเป็นยืนนิ่ง เธอรู้ว่าอีกฝ่ายมาง้อ มันเป็นเช่นนี้เสมอเวลาเธออารมณ์ไม่ดีไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ทว่าทุกครั้งที่อินทัชมาง้อ ล้วนแล้วแต่เป็นไปในลักษณะผู้ใหญ่ง้อลูกหลานนั่นล่ะ ติดนิสัยมาจากการสปอยล์ลูกของบิดาเธอเอง เธอกล้าพูดได้เลย
“เห็นอาแล้วก็ขึ้นรถมาสิหนูขา มองอะไรอยู่หืม?”
อินทัชเปิดกระจกร้องบอก เขาทำเป็นนิ่งเพื่อรอดูว่าหญิงสาวจะทำอย่างไร หากแต่เมื่อเห็นเธอนิ่ง เขาก็มั่นใจแล้วล่ะว่าถูกงอนเข้าให้จริงๆ ด้วย
“มาสิคะ ยังจะมัวมองอยู่อีก”
ถูกเร่งมาอีกครั้ง จันทร์เจ้าขาก็เดินมาขึ้นรถจนได้ ปิดประตูรถดังปัง คาดเข็มขัดเรียบร้อย พลันทำหน้ามุ่ย
“ไม่ถามอาเหรอว่าทำไมถึงมารับ?” อินทัชเปิดเรื่อง แต่จะให้เข้าประเด็นเลยคงไม่ดีนัก ดูหน้าน่ารักๆ นั่นสิ ป่องเป็นเจ้าแก้มซาลาเปาเลย
“อยากให้หนูถามเหรอคะ” น้ำเสียงเย็นชาตอบกลับมาทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่หันไปมองหน้า
“ปกติแล้วต้องถามนี่ หรือไม่ก็...จะทำท่าดีใจเวลาเห็นอามารับ”
จันทร์เจ้าขาหันมามองรูปหน้าคมคายที่ประดับพรายด้วยรอยยิ้มในตอนนี้
เป็นอย่างนั้น ทุกครั้งที่เห็นอินทัชมารับที่มหาวิทยาลัย จันทร์เจ้าขาจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่าดีใจแค่ไหนที่เห็นเขา ก็เขาน่ะแทบไม่ว่างเลยนี่นา ถึงจะอยู่บ้านหลังเดียวกัน แต่บางทีเขาก็กลับดึกมาก เธอผล็อยหลับไปก่อนทุกที บางทีตื่นมา เขาก็ออกจากบ้านไปทำงานแล้ว เจอหน้ากันนับครั้งได้
“แล้วตอนนี้ไม่ดีใจเหรอ” ถามย้ำมาอีกครั้ง
จันทร์เจ้าขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นน้องหมาที่ถูกเจ้าของถามว่าทำไมไม่กระดิกหางตอนเห็นเขาอย่างไรไม่รู้
“ไม่รู้ค่ะ” จะให้ตอบว่าไม่ก็คงไม่ได้ จริงๆ แล้วดีใจนี่นา
“ไม่รู้หรือไม่อยากบอกกันแน่คะ” อินทัชเย้า
ดวงตากลมถลึงใส่เล็กน้อย เขารู้อยู่แล้วนี่นา จะมาถามทำไม
“โอเคๆ อาไม่เล่นละ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า” เห็นว่าถ้ายังเย้าไม่เลิก มีหวังได้ถูกงอนเพิ่มแน่ เปิดเรื่องเรียบร้อย เข้าประเด็นเลยแล้วกัน “หนูขางอนอะไรอาคะ”
ถามไปอย่างนี้ จันทร์เจ้าขาก็หัวเราะหึในใจ หากแต่สีหน้ากลับนิ่งเรียบ ตรงกันข้ามกับสิ่งที่อยู่ข้างในอย่างชัดเจน
“หนูไม่ได้งอนค่ะ” ปฏิเสธไปด้วย ต้องเล่นตัวหน่อย
“ไม่ได้งอนแน่เหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“แน่ใจนะ”
“แล้วทำไม คุณอาถึงคิดว่าหนูงอนล่ะคะ”
ถูกย้อนถาม อินทัชที่กำลังขับรถออกจากลานจอดรถหน้าตึกคณะก็ว่าขึ้น “ก็ตอนที่หนูขาเห็นหน้าอาหลังเลิกเรียน หนูขาทำหน้าบอกบุญไม่รับเลยนี่ อาก็ต้องรู้ตัวแหละว่าไปทำอะไรไม่ถูกใจหนูเข้าให้แล้ว”
คราวนี้จันทร์เจ้าขาอยากจะหัวเราะออกมาทันที
เห็นไหมว่าคุณอาเขาสนใจฉัน ไม่ใช่อาจารย์สักหน่อย!
บอกกับอาจารย์ผู้หญิงคนนั้นที่ไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แค่เธอรู้สึกเหมือนชนะเท่านั้นน่ะ
“ว่าไง ทำเฉยอีก ตกลงงอนอะไรอาหืม?” เห็นจันทร์เจ้าขายังนิ่ง ทำหน้าบูดเหมือนเดิมก็ถามซ้ำ
จันทร์เจ้าขาได้ที ทำปากยื่นแล้วว่าเร็วๆ “ไม่ได้งอนค่ะ”
“ไม่ได้งอนแต่ทำหน้าเหม็นบูดเชียว งอนอะไรก็บอกมาเถอะ อาจะได้รู้ตัว จะได้ขอโทษ”
จริงๆ การมาง้องอนใครมันไม่ใช่สไตล์ของอินทัชเท่าไร แม้แต่บรรดาแฟนเก่าที่เคยคบหา เขายังไม่เคยง้อเลย มีแค่จันทร์เจ้าขานี่ล่ะที่เอาอกเอาใจขนาดนี้ ก็...เอ็นดูน่ะ เห็นมาแต่อ้อนแต่ออก ทั้งผู้มีพระคุณของเขายังดูแลรักใคร่ปานไข่ในหิน เขาเลยอยากดูแลให้ดีที่สุดตาม พูดง่ายๆ ก็สปอยล์นั่นล่ะ
“บอกมาได้แล้วคนดี อาจะได้รู้ว่าควรง้อยังไง พาไปกินของอร่อยๆ ที่ไหน”
จบท้ายด้วยอย่างนี้ทุกที แต่เอาเถอะ จันทร์เจ้าขาก็ชอบให้เขาเอาใจแหละ ทว่า...จะให้บอกว่าที่ปั้นปึ่งใส่เป็นเพราะเธอหึงเขากับอาจารย์คนนั้นก็ไม่ได้ปะ?
ใช่ หึง...เธอยอมรับเลย หึงจนลมขึ้นหน้า แล้วไม่ใช่ครั้งแรกด้วย ทุกครั้งที่เห็นผู้หญิงอื่นเข้ามาตีสนิทกับเขา
“หนูไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แค่อารมณ์ไม่ค่อยดีน่ะ” เลี่ยงที่จะไม่บอกไปตามตรงดีกว่า ขืนอินทัชรู้ว่าเธอคิดอย่างไรกับเขา ความสัมพันธ์หลังจากนั้นอาจจะไม่ราบรื่นแน่
“อารมณ์ไม่ค่อยดีเรื่องอะไร” อินทัชยังเป็นอินทัช เขาชอบถามซอกแซก ต้องรู้ให้ได้
“ก็เรื่อง...ยัยแพรน่ะค่ะ”
“แพรเหรอ? ทำไมล่ะ” แน่นอนว่าชายหนุ่มรู้จักสองสาวเพื่อนสนิทของเธอดี
“มาเซ้าซี้ถามเรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะ หนูเลยหงุดหงิด”
“เรื่องไม่เป็นเรื่องที่ว่าคือ?” บอกแล้วว่าถามซอกแซก
ตอนแรกจันทร์เจ้าขาก็ไม่อยากบอกว่าเป็นเรื่องผู้ชาย แต่คิดดูอีกที...บอกดีกว่า เผื่อจะทำให้อินทัชหึงเธอบ้าง ไม่สิ...หวงสักหน่อยก็ยังดี
“มีพี่ปีสี่คณะอื่นมาตามจีบหนูน่ะค่ะ ยัยแพรก็เลยอยากรู้ว่าหนูกับพี่คนนั้นคืบหน้าไปไหนแล้วบ้าง” พูดไปเหล่มองไป
อินทัชเลิกคิ้วสูง “พี่ปีสี่คณะอื่น?”
“ช่าย...วิดวะ”
“แล้วหล่อไหม” แทนที่จะได้เห็นสีหน้าไม่พอใจ กลับได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายแทนเสียอย่างนั้น
ลองยั่วอีกหน่อยแล้วกัน
“หล่อค่ะ ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นเดือนคณะด้วย” อันนี้โกหก ความจริงไม่รู้เลยว่าพี่คนนั้นเป็นอย่างไร ไม่ได้สนใจเลยมากกว่า
“หืม...เสน่ห์แรงเหมือนกันนี่เรา”
รู้แล้วสินะว่าหนูเสน่ห์แรง...จันทร์เจ้าขากระหยิ่มยิ้ม
“แต่จะคบใครก็ดูดีๆ แล้วกัน ที่สำคัญ...ระวังรถไฟชนกันนะ”
อินทัชยังไม่รู้สึกรู้สาอีก ทำเอาหญิงสาวมุ่ยหน้าที่แผนไม่เป็นผล
“คุณอาไม่หวงหนูเหรอคะ” ถามไปตรงๆ น่าจะดีกว่า
“หวงสิ ถามแปลกๆ” อินทัชก็ตอบตามตรงเช่นกัน
“หวงแน่เหรอ”
“ทั้งหวงทั้งห่วงเลยล่ะ” ยังทำหน้าระรื่นอยู่ ไม่ทันสังเกตสีหน้าของคนข้างตัวสักนิด
“ถ้าหวงแล้วทำไมถึงไม่โมโหล่ะ”
“แล้วอาต้องโมโหเหรอที่หลานเสน่ห์แรงน่ะ มีคนมาจีบเยอะๆ ก็ดีออก หนูขาจะได้มีทางเลือกเยอะๆ มีสิทธิ์เลือกแล้วนี่”
จันทร์เจ้าขาไม่อยากพูดอะไรต่อแล้ว ไอ้ที่บอกว่าหวงน่ะ คงจะหวงในฐานะอาหลานสินะ
หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมอีก บอกเลยว่าเพิ่งมางอนจริงๆ จังๆ ตอนนี้แหละ แต่อินทัชไม่ได้สนใจอะไรแล้ว เขาคิดว่าต่อให้ง้อด้วยคำพูดไป หญิงสาวคงจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นอยู่ดี งั้นพาไปหาของอร่อยๆ กินเลยแล้วกัน
“เย็นนี้กินอาหารญี่ปุ่นกันเนอะ ของชอบหนูขานี่ ไปร้านประจำของเรากัน”
คำว่า ‘ของเรา’ ทำให้จันทร์เจ้าขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างจนปริปากเอ่ยตอบรับไปว่า ‘ค่ะ’ ก่อนทั้งคู่จะนั่งเงียบกันไปตลอดทาง มีเพียงเสียงเพลงเบาๆ เท่านั้นที่ดังอบอวลไม่ให้บรรยากาศรอบข้างเงียบจนเกินไป
น่าอึดอัดจริงๆ...
ไม่ใช่บรรยากาศในรถนะ เป็นความรู้สึกในใจของจันทร์เจ้าขาที่ตระหนักขึ้นมาได้ต่างหากว่าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป สักวันความรู้สึกที่มีต่ออินทัชคงถูกเก็บงำไว้ไม่ไหวและปะทุออกมาแน่ๆ
น่าอึดอัด...อึดอัดมากๆ
อยากเป็นเมียคุณอาเสียเดี๋ยวนี้เลย!
จันทร์เจ้าขาไม่ยอมรับว่าตัวเองแก่แดดหรอก อายุสิบเก้าของเธอในตอนนี้กับความอยากเป็นเมียของอินทัชนั้น ผนวกรวมกันไม่เรียกว่าแก่แดดแล้ว เรียกว่ารู้ความปรารถนาของตัวเองอย่างชัดเจนจะดีกว่า
ไม่เห็นจะแปลกเลยที่อยากจะเป็นคนที่อินทัชรักเพราะเธอรักอินทัช
ไม่ปฏิเสธตัวเองแล้วว่ามันแค่ความชอบ หลายครั้งที่สังเกตความรู้สึกตัวเองว่าเวลาเห็นเขาใกล้ชิดผู้หญิงอื่น หรือคิดว่าสักวันเขาจะต้องแต่งงานมีภรรยามีลูกที่ไม่ใช่เธอ มันปวดแปลบในใจขึ้นมา
ไม่ใช่ความชอบแล้วจริงๆ มันเป็นความรัก ไม่อย่างนั้นคงไม่หึง ไม่หวง ไม่คลั่งไคล้จนจะเป็นบ้าตายวันละหลายสิบรอบอย่างนี้หรอก!