หลังจากเหตุการณ์วันนั้นที่ทำให้เข้าใจความรู้สึกตัวเองชัดเจนขึ้น จันทร์เจ้าขาก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ ฟุ้งซ่านเอาแต่คิดถึงเรื่องเขาไม่เว้นวินาที
ไม่ได้เว่อร์เลยนะ ไม่เว้นวินาทีจริงๆ!
เสียการเสียงานเลยก็ว่าได้ เผลอเมื่อไรเป็นต้องนั่งเหม่ ไม่เว้นแม้แต่ตอนนี้ที่เพื่อนๆ ของเธอเรียกแล้วเธอยังไม่ได้ยิน
ปัง!
“ยัยเจ้าขา! เอาอีกแล้วนะ เหม่ออีกแล้ว!” แพรวาเจ้าเก่าเจ้าเดิมเรียกสติด้วยการจบโต๊ะดังปึง
อิงฟ้าที่นั่งอยู่ข้างๆ สะดุ้งโหยง รีบสะกิดบอกเพื่อนให้เบาๆ เสียงหน่อย โต๊ะอื่นในโรงอาหารหันมามองด้วยสายตาตำหนิกันหมดแล้ว
“เป็นอะไรของแกน่ะ พักนี้ดูสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวนะ” แต่ใครจะไปสน สิ่งที่แพรวาสนใจมีอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือผู้หญิงตรงหน้าต่างหาก
“ดู...ทำเป็นไม่ตอบ สีหน้าก็ไม่ดี ข้าวก็ไม่กิน เขี่ยไปเขี่ยมา ไม่สบายหรือเปล่าเนี่ย” เอื้อมมือมาจะเอาหลังมือมาอังหน้าผากของเพื่อนแล้ว แต่จันทร์เจ้าขาเอี้ยวตัวหลบเสียก่อน
“ไม่เป็นอะไรสักหน่อย”
“ไม่เป็นอะไรตรงไหน อย่ามาตอแหล ทำท่าเป็นหมาป่วยอย่างนี้ ถ้าไม่ป่วยก็โดนผู้ชายเทมาแน่นอน”
จันทร์เจ้าขาทำหน้ามุ่ย หยาบคายชะมัด ผู้ชายเทบ้าบออะไร อย่างเธอน่ะไม่มีทางให้ผู้ชายเทหรอกเพราะเธอ ไม่เคยสนผู้ชายพวกนั้น แต่ถ้าอินทัชเทล่ะก็...อันนี้เธอไม่แน่ใจเหมือนกัน
“พูดแรงเกินไปแล้วยัยแพร” อิงฟ้าปรามเพื่อนอีกครั้ง ไม่อยากให้ทั้งสองผิดใจกัน ดูสีหน้าของจันทร์เจ้าขาสิ ไม่สบอารมณ์ขนาดนี้ ถ้าทะเลาะกันขึ้นมา มีหวังเรื่องใหญ่
“ฉันแค่ถามตรงๆ แกไม่เห็นเพื่อนแกเหรอว่าพิลึกขนาดไหน ทำตัวแปลกๆ มาหลายวันแล้ว ที่ถามเพราะเป็นห่วงหรอก” แต่แพรวากลับเถียง
“ถามดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นจะต้องเหน็บแนมเลย” อิงฟ้าพยายามปรามอีกครั้ง สายตาเหลือบมองสีหน้าของจันทร์เจ้าขาไปด้วย เผื่อรายนั้นจะเม้งแตกขึ้นมา เธอจะได้ห้ามทัพได้ทัน แต่...
“ช่างมันเถอะอิง ยัยแพรก็พูดถูก ฉันเป็นอย่างนี้เพราะเรื่องผู้ชายจริงๆ แหละ”...จันทร์เจ้าขายอมรับไปดื้อๆ
“ตกลงจริงเหรอ!?” ที่พูดกระแหนะกระแหนไปเมื่อกี้ แพรวาไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง เธอรู้หรอกว่าจันทร์เจ้าขาไม่เคยสนใจผู้ชายที่เข้ามา ต่อให้สนใจ เธอก็ต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่นี่ไม่รู้อะไรสักอย่าง ทว่าจันทร์เจ้าขากลับยอมรับหน้าตาเฉย หมอนั่นเป็นใคร มาจากไหน เธออยากรู้นัก!
ไม่เว้นแม้แต่อิงฟ้าที่เบนความสนใจมามองดวงหน้าพริ้มเพราอย่างขอคำตอบ
“ใครเหรอเจ้าขา?” เป็นฝ่ายที่อดไม่ได้ที่จะอยากรู้เสียด้วย
จันทร์เจ้าขาถอนหายใจยาว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรเปิดเผยเลย
“เอ้ายัยคนนี้ ลีลาจริง ตกลงคนไหน พี่วิดวะหรือถาปัด เอาสักที”
คราวนี้อิงฟ้าไม่ปราม ดวงตาใต้เลนส์แว่นใสประกายวาวด้วยความอยากรู้
“ไม่ใช่อะ” ยอมพูดจนได้
คำตอบนั้นทำให้เพื่อนทั้งสองมองหน้ากัน
“ถ้าไม่ใช่สองคนนี้แล้วคนไหนยะ อย่าบอกนะว่าหนุ่มสินกำคนนั้น?”
จริงๆ แล้วสองคนที่แพรวาพูดเป็นตัวท็อปที่มาเทียวไล้เทียวขื่อจันทร์เจ้าขาบ่อยๆ ส่วนคนที่สามที่เอ่ยขึ้นมาเป็นรองอันดับสาม ไม่ใช่สองคนแรกก็ต้องคนนี้แหละ!
“ไม่ใช่อะ”
แล้วแพรวาก็ขมวดคิ้ว “อ้าว แล้วใครล่ะ”
“ก็...” ยังลังเลไม่แน่ใจว่าควรบอกไหม
ไม่ควร...ไม่ควรบอกอย่างแน่นอน! ขืนบอกไปว่า...อ๋อ ผู้ชายคนนั้นคืออินทัช อาของฉันเอง แบบนี้ได้เป็นเรื่องใหญ่แน่แม้ว่าอินทัชจะไม่ใช่อาแท้ๆ ก็เถอะ
“ถ้าไม่สะดวกใจจะบอกก็ไม่ต้องบอกก็ได้นะ” อิงฟ้าสังเกตเห็นถึงความอึดอัด อะไรที่ไม่สะดวกใจก็ไม่ควรไปเค้นถามและไม่ควรคาดคั้นให้อีกฝ่ายพูดออกมาแหละ
“แต่ยัยเจ้าขา...!”
“แพร...ไม่เอาน่า ไม่เห็นเหรอว่าเจ้าขาอึดอัด”
อิงฟ้ารีบปรามก่อนที่แพรวาจะพูดออก แพรวาสังเกตเห็นในตอนนี้
ก็จริง...คนตรงหน้าดูหนักใจไม่น้อย ไม่ว่าจะหนักใจเพราะใครและพวกเธอก็อยากรู้แค่ไหนก็ตาม ทว่าก็ต้องเคารพสิทธิ์ส่วนตัว ในเมื่อจันทร์เจ้าขาไม่อยากเล่าอะไรมากกว่านี้ ตอแยต่อไปคงไม่ดีนัก
“ปะ เข้าเรียนกัน” แพรวาเปลี่ยนเรื่องเพื่อลดความตึงเครียด
อิงฟ้าลุกขึ้น เตรียมจะเอาจานข้าวที่กินเรียบร้อยแล้วไปเก็บ แต่แล้วก็พากันชะงักเมื่อจู่ๆ เสียงของใครอีกคนที่นั่งประสานมืออยู่บนโต๊ะดังขึ้นแทรก
“คนที่ทำให้ฉันเป็นแบบนึ้คือ...” เงียบไปเล็กน้อย ดวงตามองหน้าเพื่อนทั้งสองที่จับจ้องกลับมาอยู่ พลันถอนหายใจออกมา “คุณอาอินทัชน่ะ”
เท่านั้นจานในมืออิงฟ้าก็หล่นร่วงดังเคร้งทันที แพรวารีบหันไปเอ็ดคนข้างกายที่ทำให้รอบข้างหันมาสนใจ ก่อนช่วยกันเก็บข้าวของแล้วทิ้งตัวลงนั่งอีกครั้ง