“ฉันอยากเห็นอิ๊งค์ได้เกียรตินิยม ทำได้ไหม”
ม่านพิรุณเบิกตากว้าง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีเงื่อนไขนี้ขึ้นมา แล้วต้องแลกกับอะไรหรือเปล่า เธอก็ไม่กล้าถามออกไป เพราะเท่าที่เขาช่วยเหลือมาตลอดกระทั่งวันนี้ก็มากพอที่จะบอกว่าเขาหวังดีกับเธอจริงๆ เมื่อคิดว่าเขามีความปรารถนาดี รอยยิ้มจึงเปิดกว้าง ดวงตาคู่หวานมองเขาเป็นประกาย
“อิ๊งค์ตั้งใจจะจบสามปีครึ่งค่ะ เลยไม่ได้เกียรตินิยม”
ตฤณจุดยิ้มขึ้นแว่บหนึ่งแต่ก็รีบปรับสีหน้าให้นิ่งดังเดิม “จบสามปีครึ่งงั้นเหรอ ถ้าทำได้ก็ดี กลัวแต่ว่าจะขี้คุย”
“อิ๊งค์ทำได้อยู่แล้วค่ะ พี่หมอตฤณคอยดูละกัน”
ตฤณระบายยิ้มขึ้นที่ใบหน้า พอใจในท่าทางการตอบของม่านพิรุณ จากนั้นจึงหันไปหาน้องสาว “แสนขอบใจมากที่มา เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน พี่ขอไปส่งอิ๊งค์กับคุณป้าผ่องก่อน”
“ค่ะ” แสนรักบอก แล้วเดินไปกระซิบข้างหูพี่ชาย “หลอกให้อิ๊งค์ตั้งใจเรียนเพราะจะได้ไม่ต้องไปคิดเรื่องแฟนใช่ไหมล่ะ แสนรู้ทันหรอกน่า”
ตฤณยังรักษาสีหน้าได้ราบเรียบเหมือนเดิม เขาไม่ตอบคำถามน้องสาว ซึ่งแสนรักเข้าใจถูกต้อง ถ้าหากม่านพิรุณจบภายในสามปีครึ่งได้จริง เขาเชื่ออย่างหนึ่งว่าเธอต้องเป็นเด็กขยัน ตั้งใจเรียน ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นที่ไม่สมควรคิดในตอนนี้
ที่เขาห่วงเพราะม่านพิรุณจดทะเบียนสมรสกับเขาแล้ว ตอนนี้เธอคือภรรยาของเขา แม้จะเป็นแค่เพียงนิตินัยก็ตาม นี่คือสิ่งที่เขาต้องการเพียงอย่างเดียวจากอีกฝ่าย
“มโนเก่งนะเรา”
“ฮั่นแน่ ปากแข็งไม่ยอมรับความจริง แต่ไม่เป็นไร แสนเชื่อว่าเข้าใจไม่ผิด พี่หมอตฤณเลี้ยงต้อย สาวๆ ที่โรงพยาบาลอกหักกันเป็นแถวแน่คราวนี้ แสนจะไปกระจายข่าวให้รู้กัน”
“เงียบไปเลย แล้วไม่ต้องบอกให้ใครรู้เข้าใจไหม อิ๊งค์ยังเด็กอยู่ พี่ไม่อยากให้ไขว้เขว”
“ค่า” แสนรักล้อเลียนแล้วได้รับสายตาหรี่แคบจากพี่ชายเป็นทำนองให้หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว “งั้นแสนกลับก่อน แต่อย่าลืมนะคะว่าจะเล่าเรื่องวันนี้ให้แสนฟังอย่างละเอียด นัดวันมาด้วยนะคะ”
“น่าจะไปทำอาชีพนักข่าวแทนเป็นเจ้าของธุรกิจเสริมความงามนะเรา”
แสนรักย่นจมูกใส่อย่างน่ารักแล้วเดินกลับไปที่รถ ระหว่างที่กลับมายังรถ และก้มหน้าหากุญแจในกระเป๋าเธอก็บังเอิญชนเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่ง ฝ่ายนั้นดูเร่งรีบจนไม่ทันเอ่ยคำขอโทษที่เดินมาชนเธอจนเกือบล้ม
“นี่คุณชนฉันจนเกือบล้มไม่คิดจะขอโทษสักคำเหรอ”
แสนรักเดินไปขวางหน้าชายหนุ่มคนนั้น ฝ่ายนั้นสวมแว่นตาดำจึงไม่เห็นสีหน้าของเขาชัดเจน รู้แต่ว่าหล่อมาก แต่หล่อแล้วทำนิสัยไม่ดีแบบนี้เธอก็ไม่ชอบหรอกนะ
“ขอโทษด้วยนะคะ พอดีว่ารีบน่ะค่ะ” เป็นหญิงสาวข้างกายเขาที่เอ่ยขอโทษแทน แสนรักเห็นว่าน้ำเสียงและแววตาดูจริงใจเลยยอมปล่อยไป แต่ก็ยังกอดอกมองคนทั้งสองที่รีบเร่งเดินเข้าไปยังด้านในสำนักงานเขต พลันได้ยินเสียงผู้หญิงพูดกับผู้ชายด้วยความร้อนใจ
“พี่ท็อปเร็วเข้าเถอะ วันนี้พี่จะได้หย่าให้จบๆ ไปเสียที”
“อ้อ ที่แท้มาหย่าเมียนี่เอง” แสนรักครางกับตัวเอง
เธอไม่อยากสนใจเรื่องในมุ้งของชาวบ้านอีก จึงหมุนตัวกลับขึ้นรถ แต่ก็อดบอกตัวเองไม่ได้ว่าความรักมีทั้งหวานและขม วันหนึ่งจูงมือกันจดทะเบียนสมรส วันหนึ่งก็แยกกันมาหย่า เธอไม่มีแฟน แต่มุ่งหน้าหาเงินไว้ใช้คนเดียวแบบนี้ก็ดีแล้ว
ฝ่ายตฤณเมื่อขึ้นมาบนรถก็เก็บเอกสารสำคัญการจดทะเบียนสมรสเข้าในลิ้นชักหน้ารถ ขณะที่คนนั่งข้างก็มองเอกสารที่บ่งบอกสถานะใหม่ของตัวเองกับเขาแล้วกลืนน้ำลายลงคอ เพราะมันก็ยังไม่คุ้นชิน
“ไปที่โรงพยาบาลเลยใช่ไหม” ตฤณเก็บเอกสารเสร็จแล้วจึงหันมาถาม หญิงสาวพยักหน้า ตฤณจึงขับรถพาม่านพิรุณและคุณผ่องพรรณไปยังจุดหมาย ระหว่างทางในรถ ทุกคนต่างนิ่งเงียบอยู่ในความคิดของตัวเองเหมือนคนเพิ่งผ่านความฝันมาตื่นหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมากระทั่งถึงโรงพยาบาลรัฐที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง
โรงพยาบาลที่สายพิรุณมารักษาตัว ม่านพิรุณเปิดประตูรถลงมา แล้วประคองยายให้เดินไปพร้อมกัน ตฤณมองคนทั้งสองแล้วเดินตามหลังไปเงียบๆ เขาเคยบอกให้คุณป้าผ่องพรรณพาสายพิรุณไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีลิท หากแต่อีกฝ่ายปฏิเสธกลับมาทันที เพราะไม่อยากรบกวน ด้วยรู้ดีว่าค่ารักษาพยาบาลนั้นแพงมาก ถ้าไปรักษาจริงก็คงหนีไม่พ้นต้องเป็นหนี้บุญคุณตฤณ
ฟากตฤณไม่อยากให้คุณผ่องพรรณลำบากใจจึงไม่เซ้าซี้อีก ตฤณนั้นรู้ว่าที่โรงพยาบาลรัฐแห่งนี้มีเครื่องมือพร้อมและมีอาจารย์แพทย์ที่เก่งกาจอยู่แล้วจึงไม่ค่อยห่วงมากนัก สิ่งที่ช่วยได้คือฝากฝังอาจารย์หมอที่รู้จักกันอย่างดีให้ช่วยดูแลเป็นพิเศษเท่านั้น เขาจึงวางใจปล่อยให้สองยายหลานพาสายพิรุณมารักษาที่นี่
“สวัสดีค่ะคุณพยาบาล” ม่านพิรุณยกมือไหว้ ทั้งเธอและยายสนิทสนมกับพยาบาลที่นี่ เพราะหกเดือนที่สายพิรุณมารักษาตัว เธอและยายผลัดกันมาเยี่ยมตลอดเวลาไม่ได้ขาด
“นึกว่าวันนี้น้องอิ๊งค์กับคุณยายไม่มาเสียอีก”
“พอดีไปทำธุระมาค่ะ” ม่านพิรุณตอบสั้นๆ ไม่เอ่ยอะไรให้เฉียดใกล้เหตุการณ์ที่เพิ่งไปทำมาที่สำนักงานเขต แล้วพายายกับตฤณเดินไปที่เตียงคนไข้
ภาพของสายพิรุณที่นอนหลับบนเตียง มีสายระโยงระยางเต็มไปหมดเป็นภาพที่สองยายหลานทำใจได้แล้ว เมื่อเข้ามาก็ตรงเข้าไปคุยกับคนป่วยด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งผู้เป็นที่รักจะฟื้นในสักวัน
“น้ำฝน อิ๊งค์มันแต่งงานแล้วนะ แต่งกับหมอตฤณ หมดห่วงไม่ต้องกลัวว่าไอ้วาทินมันจะมายุ่งวุ่นวายกับอิ๊งค์อีกแล้ว น้ำฝนได้ยินแล้วดีใจใช่ไหม แม่ก็ดีใจ รีบหายเร็วๆ นะลูก”
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาระหว่างที่ผ่องพรรณคุยกับลูกสาว ม่านพิรุณเองก็ปล่อยให้ยายพูดกับแม่ ส่วนเธอก็บีบนวดมือผอมซีดของแม่เบาๆ เพื่อกระตุ้นให้แม่รู้สึกตัวในเร็ววัน คุณหมอบอกว่าต้องขยันคุย ขยันนวด ไม่แน่ว่าวันหนึ่งคนไข้จะหายได้
ใช้เวลาราวสิบห้านาที คุณผ่องพรรณถึงนึกขึ้นได้ว่ามีใครอีกคนมาด้วย
“หมอตฤณ” คุณผ่องพรรณหันไปหา “ป้าขอบใจมาก วันนี้ถ้าหมอตฤณไม่ช่วยป้าก็ไม่รู้จะทำยังไง”
ตฤณยิ้มให้เล็กน้อย “ผมกับพี่น้ำฝนเป็นเพื่อนกัน ยังไงเมื่อพี่น้ำฝนมีเรื่องเดือดร้อน ผมก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วย”
คุณผ่องพรรณพยักหน้า อีกฝ่ายช่วยนางกับหลานไว้มากจริงๆ ตัวเองมีโชคดีอยู่บ้านที่ได้รู้จักเพื่อนบ้านดีๆ แบบครอบครัววิสุทธิรังสรรค์ ย้อนกลับไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นครอบครัวมารดาของตฤณไม่ได้รวยมากเช่นทุกวันนี้ เพียงเปิดร้านอาหารเล็กๆ อยู่ที่จังหวัดน่าน หากแต่มารดาของตฤณได้แต่งงานกับพ่อของตฤณซึ่งมีฐานะร่ำรวยจึงทำให้ครอบครัวสบายขึ้น และถึงแม้จะร่ำรวยขึ้นก็ไม่ทำตัวเย่อหยิ่ง ยังสนิทสนมกับครอบครัวนางเหมือนเดิม