ส่วนครอบครัวนางทำรีสอร์ตให้นักท่องเที่ยวพัก ไม่เรียกว่าเศรษฐีแต่ก็พอมีอันจะกิน ความสนิทสนมจากรุ่นแม่ของตฤณ กระทั่งมารุ่นลูก สายพิรุณก็ยังสนิทกับตฤณและแสนรัก ทำให้นางผ่านวิกฤตวันนี้ไปได้
ตฤณไม่อยากให้บรรยากาศอึมครึมอีก จึงตัดบท หากแต่การตัดบทนั้นทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายลงคอลำบาก
“ไปกินข้าวกันก่อนดีไหมครับ ตั้งแต่บ่ายมาทั้งคุณป้าผ่องและอิ๊งค์คงยังไม่ได้กินอะไรเลย”
คุณผ่องพรรณซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า เมื่อได้ยินคุณหมอหนุ่มพูดเรื่องนี้ขึ้นมา “ป้ารู้สึกเหนื่อย ยังไงหมอตฤณไปกินข้าวกับยายอิ๊งค์เถอะ ป้าจะเฝ้าน้ำฝนเอง”
“ยายจ๊ะ อิ๊งค์ยังไม่หิว” สาวน้อยบอกเลี่ยงๆ
“ไม่หิวได้ยังไง ตั้งแต่เช้าอิ๊งค์ก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย”
“แต่ว่ายายก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยนะจ๊ะ”
“งั้นอิ๊งค์ซื้อมาฝากยายดีไหม อิ๊งค์เลือกมาให้ยายเถอะ ยายกินได้หมด”
ม่านพิรุณกัดปากครุ่นคิด ลังเลอยู่นานจนคุณผ่องพรรณต้องเอ็ดเบาๆ “อย่าให้หมอตฤณต้องเสียเวลารอสิ หมอตฤณเสียงานเสียการมาช่วยอิ๊งค์กับยายทั้งวันแล้ว อย่าชักช้า อิ๊งค์ไปเถอะ”
เมื่อถูกยายไล่และเหตุผลก็มีน้ำหนักมากพอ ม่านพิรุณแม้จะไม่อยากไปกินข้าวกับตฤณตามลำพังก็ต้องพยักหน้ารับ หันไปมองคนตัวโตที่ยืนมองนิ่งๆ ไม่ได้เอ่ยปากต่อว่าหรือมีสีหน้ารำคาญใดๆ อย่างที่ยายพูด กระนั้นก็รู้สึกเกรงใจเขาขึ้นมา
“งั้นอิ๊งค์ไปกินข้าวกับพี่หมอตฤณนะจ๊ะยาย”
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ตฤณก็เดินนำม่านพิรุณออกมา ระหว่างทางมีสายตาลอบมองอย่างสงสัยจากนางพยาบาลที่ทำงานอยู่ในตึกนั้น เหล่าพยาบาลต่างคุ้นหน้าสาวน้อยคนสวยแต่ไม่เคยเห็นหน้าคนหล่อที่จู่ๆ ก็เดินเคียงมาด้วยกัน คาดว่าน่าจะเป็นแฟนเพราะสาวน้อยคนสวยเคยเล่าให้ฟังว่าเป็นลูกสาวคนเดียวไม่มีพี่ชายน้องชาย ซึ่งถ้าใช่แฟนก็ดูเหมาะสมกันมาก สวยหล่อเข้ากัน
กระทั่งตฤณเดินนำมาถึงรถยนต์ ม่านพิรุณเดินไปเปิดประตูฝั่งคนนั่งข้าง คาดไม่ถึงว่าระหว่างนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเร็วๆ มาหา ม่านพิรุณเห็นจากหางตาจึงหันไปมองพร้อมกับได้ยินเสียงคุ้นเคยดังเรียกชื่อของเธอ
“อิ๊งค์จริงๆ ด้วย ภีมก็มองอยู่ว่าใช่อิ๊งค์หรือเปล่า” ชายหนุ่มคนนั้นเดินมาถึงตัวหญิงสาวแล้ว ภีมเปิดยิ้ม สายตามองแต่สาวน้อยคนสวยด้วยความดีใจจนไม่สนใจคนตัวโตที่ยืนอยู่ข้างกัน “อิ๊งค์จะไปไหน”
ม่านพิรุณมองไปทางคนตัวโตที่ยืนมองอยู่ จึงชักสายตากลับมาทางเพื่อนสนิท “อิ๊งค์จะไปกินข้าว เออ ภีมนี่พี่หมอตฤณ”
ชายหนุ่มเมื่อถูกแนะนำจึงหันไปมองพร้อมยกมือไหว้ แม้จะสงสัยว่าคนตัวโตที่ดูหล่อเหลาตรงหน้าคือใคร แต่เพราะไม่มีโอกาสให้ถามจึงตามน้ำทักทายไปก่อน “สวัสดีครับ”
“พี่หมอตฤณคะ นี่ภีมเพื่อนร่วมเซคเดียวกับอิ๊งค์ค่ะ”
ตฤณยกมือขึ้นรับไหว้ พลางมองสำรวจคนตรงหน้า “จะคุยกับเพื่อนก่อนไหม” เขาหันไปถามม่านพิรุณ
ม่านพิรุณมองคนถามคำถามง่ายๆ ออกมา เขาไม่ได้แสดงท่าทางใดๆ ยิ่งทำให้เธอเกรงใจ ไม่อยากให้เขารอนาน เพราะเขาอาจมีธุระต้องไปทำ อย่างที่ยายบอกว่าเขาช่วยเหลือทั้งวันก็เสียเวลางานเขาไปมากแล้ว ส่วนภีมคงรู้เรื่องจากเพื่อนในกลุ่มที่เธอบอกว่าวันนี้จะขาดเรียนหนึ่งวันเพราะต้องมาทำธุระ ซึ่งธุระอะไรนั้นเธอไม่ได้บอกเพื่อนและคงไม่บอกด้วย
“ปกติอิ๊งค์ไม่เคยขาดเรียน ภีมเป็นห่วงโทร.หาตั้งหลายสายก็ไม่รับ เลยแวะมาดักรอที่โรงพยาบาล อิ๊งค์ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม”
“อิ๊งค์มาทำธุระ แต่เสร็จเรียบร้อยแล้วละ ภีมมีอะไรอีกไหม เดี๋ยวอิ๊งค์จะขอตัวก่อน”
ด้วยความดีใจที่ได้เห็นหน้าสาวที่แอบชอบจึงไม่ได้จับสังเกตน้ำเสียงร้อนรนแกมเกรงใจของเพื่อน เขาชอบเพื่อนสนิทคนนี้มาตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง แต่ไม่กล้าบอกความในใจเพราะม่านพิรุณมักจะชิงพูดคำว่าเป็นเพื่อนกันทุกครั้งที่เขาทำท่าจะเผยความในใจให้ฟัง
“ภีมจะไปเยี่ยมคุณแม่ของอิ๊งค์ แล้วนี่อิ๊งค์จะไปธุระเหรอ” ภีมถาม
“ใช่จ้ะ อิ๊งค์จะไปธุระ ขอโทษด้วยนะภีม ตอนนี้ก็เย็นแล้ว ถ้าภีมจะมาเยี่ยมแม่ ไว้ค่อยมาเยี่ยมใหม่วันหลังดีไหม” ม่านพิรุณตัดบท ขณะที่ภีมก็ไม่กล้าถามอะไรอีกเพราะคำพูดของม่านพิรุณบอกชัดแล้วว่าไม่สะดวกอยู่ต่อ น่าจะมีสาเหตุมาจากคนที่ยืนรอ เขาอยากจะถามเหลือเกินว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร แต่ก็ไม่กล้าถามออกไปตอนนี้
“งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะอิ๊งค์”
ม่านพิรุณพยักหน้าแล้วหันไปทางตฤณ จากนั้นเขาจึงเปิดประตูรถก้าวขึ้นไปนั่ง ม่านพิรุณเห็นดังนั้นก็รีบเปิดประตูตามขึ้นไป แล้วส่งยิ้มหวานให้เขาแทนคำขอโทษที่ให้รอนาน ทว่าตฤณกลับรู้สึกตาพร่า ใจสั่นไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะดึงสติแล้วถามขึ้น
“ไปกินอาหารจีนแถวสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรีดีไหม ร้านนี้อร่อย คุณป้าผ่องท่านชอบกินอาหารจีนจะได้ซื้อมาฝากด้วย”
พอได้ยินว่าเขาจะไปกินอาหารจีนเพราะจำได้ว่ายายของเธอชอบ ม่านพิรุณก็อดชื่นชมเขาในใจอีกคำรบหนึ่งไม่ได้ เขาใส่ใจครอบครัวของเธอมากจนทำให้เธอยิ่งรู้สึกประทับใจ
ม่านพิรุณพยักหน้าแทนคำตอบ เมื่อเลือกร้านอาหารที่อยากกินได้แล้วตฤณก็ขับรถพาไปโดยไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เมื่อเขาไม่ถามถึงเรื่องของภีม ม่านพิรุณจึงไม่คิดจะเล่า เขาคงรู้ว่าภีมคือเพื่อนของเธอ เพราะตอนที่พูดคุยกันนั้นเธอก็ยืนคุยอย่างเปิดเผยให้เขาได้ยินทุกอย่างอยู่แล้ว เธอชัดเจนให้เขาเห็นตั้งแต่วันนี้เพื่อที่อนาคตข้างหน้าจะได้ไม่มีปัญหาต่อเขาที่ช่วยเหลือจดทะเบียนสมรสกับเธอ
..........
คอนโดฯ ขนาดห้าชั้น ซุกซ่อนตัวอยู่ในซอยลึกย่านทรุดโทรมแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานครเพราะราคาค่าเช่าไม่แพง ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวที่วาทินเลือกมาเช่า วาทินพักที่นี่มาสี่ปีแล้ว มือหนาที่อวบอูมเพราะปล่อยตัวไม่ดูแลเหมือนวัยหนุ่มที่เคยเป็นถึงนายแบบนิตยสารกำลังรินเหล้าลงแก้วแล้วยกขึ้นดื่มพรวดเดียวด้วยความครึ้มอกครึ้มใจ เขาหยิบข้าวเกรียบในจานขึ้นกินเป็นกับแกล้ม โดยมีหญิงสาวข้างกายรินเหล้าเพิ่มให้ แต่ใบหน้าติดจะบึ้งตึงไม่พอใจ รอจนอีกฝ่ายยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มหมดแล้วจึงเอ่ยออกมา
“พี่ทิน พี่ยังดื่มเหล้าสบายใจอยู่ได้ ทำไมไม่รีบไปจัดการพาตัวลูกสาวพี่ไปส่งเสี่ยเทพซะที จะรอเวลาอะไรอยู่อีกก็ไม่รู้”
วาทินมองหญิงสาวที่เอ่ยเร่งรัดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย กนกพรคือสาวนั่งดริ๊งก์ที่อายุเลยวัยสามสิบมาไม่กี่ปี ด้วยทำงานมานานจนใบหน้าเริ่มแก่กว่าวัยจึงตกงานไปโดยปริยาย กนกพรจึงไปทำงานในกองถ่ายเป็นเอ็กซ์ตร้าจนได้เจอกับวาทินที่เป็นเอ็กซ์ตร้าเหมือนกันแล้วติดตามอีกฝ่ายมาอยู่ด้วยเพราะไม่มีทางไป
“อิ๊งค์มันหนีไม่พ้นอยู่แล้ว พี่บอกลูกไปแล้วว่าสามวันจะมาพาไป พรุ่งนี้ถึงจะครบกำหนด ทั้งคอนโดฯ ทั้งโรงพยาบาลที่แม่ของอิ๊งค์มันรักษาตัวอยู่ พี่ก็รู้หมด ยังไงก็ตามตัวอิ๊งค์เจอ ลูกพี่มันหนีพี่ไม่พ้นหรอก พรไม่ต้องเป็นห่วง” วาทินพูดพลางยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอย่างสบายใจ
“พี่ก็อย่าชะล่าใจไปล่ะ ยายอิ๊งค์ลูกพี่ดูมันไม่ใช่คนโง่”
“มันไม่ใช่คนโง่เหมือนพี่ไง นี่อย่าคิดมากน่าพร ยังไงอิ๊งค์มันก็ไม่กล้าเนรคุณพี่หรอก พี่เป็นพ่อมันนะ”
“ฮึ พ่อที่ไม่เคยเลี้ยง ชอบทำร้ายแม่ แถมยังเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้แม่มีสภาพนอนเป็นผักแบบนั้นเนี่ยนะ อิ๊งค์มันคงนับถือพี่เป็นพ่ออยู่หรอก มันน่าจะเกลียดพี่เข้าไส้มากกว่า ที่พูดเนี่ยฉันหวังดีเลยเตือนสติพี่หรอกนะ”
วาทินได้ยินก็ชักสีหน้า ใช้มือผลักเมียใหม่ล้มหงายหลังตึง อีกฝ่ายร้องโอ๊ยทำหน้าเบ้ใส่ทันที
วาทินพูดอย่างรำคาญ “หลอกด่ากูหรือไงเนี่ย คนอารมณ์ดีๆ เสียอารมณ์หมด ไปเลย ไปไกลๆ หน้ากูเลยอีพร” วาทินเติมสรรพนามใหม่พลางชี้มือไล่ กนกพรเจ็บตัวและรู้สึกโมโห เลยกระฟัดกระเฟียดกระทืบเท้าออกจากห้องไป
“ระวังเถอะ มัวแต่นอนรอให้ลูกพี่มันคิดหาทางหนีทีไล่ได้ พวกเสี่ยเทพจะลากตัวพี่ไปกระทืบก่อน เพราะลูกพี่มันไม่ยอมง่ายๆ หรอก”
“มึงยังจะแช่งกูอีก” วาทินคำรามอย่างเหลืออด แล้วลุกไปจะทำร้ายร่างกาย ที่กนกพรพูดออกมาก็เป็นสิ่งที่เขานึกกลัวอยู่เหมือนกัน แต่อีกฝ่ายรีบเปิดประตูหนี เป็นจังหวะเดียวกับมีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งยืนกอดอกรออยู่หน้าห้อง
กนกพรและวาทินต่างเบิกตาโต ตัวสั่นงันงก ทั้งสองก้าวถอยหลังกลับเข้าในห้องพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย เพราะคนตรงหน้าคือลูกน้องของเสี่ยทัดเทพ เจ้าหนี้ของวาทิน
วาทินก่นด่าเมียตัวเองที่ปากพระร่วง แถมยังเปิดประตูรับมัจจุราชเข้ามาอีก วาทินผลักกนกพรที่ยืนเบียดจนล้มหงายหลังแล้วเดินไปทักอย่างใจดีสู้เสือ
“ฉันบอกว่าพรุ่งนี้จะพาลูกไปหาเสี่ยไง แล้วพวกแกมาทำไมกัน”
ลูกน้องมือขวาของเสี่ยทัดเทพจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาอำมหิต ก่อนจะแสยะยิ้ม “ก็ไม่มีอะไร แค่แวะมาส่งข่าว เสี่ยเทพให้มาย้ำว่าต้องพาไปให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็ต้องใช้หนี้ที่ติดไว้ทั้งหมดในก้อนเดียว”
“ล้านห้าใครจะไปมีปัญญาใช้หมด”
“ไม่มีพรุ่งนี้ก็พาลูกสาวของแกไปหาเสี่ยให้ได้ เข้าใจไหม วันนี้เสี่ยให้มาย้ำ ถ้าพรุ่งนี้เสี่ยไม่เห็นหน้าลูกสาวคนสวยของแก แกได้เหลือแต่ชื่อแน่” พวกมันขู่ก่อนจะพากันเดินจากไป ทิ้งให้วาทินมองตามหลัง กำหมัดแน่น เขาจะไปหาเงินล้านห้ามาคืนได้ยังไง เงินจะกินไปวันๆ ยังหายาก ทางรอดมีแต่ต้องพาม่านพิรุณไปประเคนให้ทัดเทพเท่านั้นถึงจะไม่ต้องใช้หนี้
พรุ่งนี้เขาจะต้องรีบไปดักลูกสาวแต่เช้าที่มหาวิทยาลัย เรื่องที่กนกพรพูด เขาเองก็รู้ดี ม่านพิรุณดูเหมือนคนหัวอ่อนแต่ว่าฉลาดเฉลียวไม่น้อย แต่เขาเชื่อว่าลูกสาวต้องมาตามนัด หากไม่มาเขาก็จะตามรังควานให้มาให้ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะแกล้งป่วยให้ลูกรู้สึกผิด เขาต้องทำทุกวิถีทาง ไม่ยอมถูกกระทืบตายคาตีนพวกมัน