บทที่ 12 พระราชโองการฟ้าผ่า...

2249 Words
บทที่ 12 ราชโองการฟ้าผ่า รุ่งเช้า ณ วังหลวง ตำหนักใหญ่กว้างขวางประดับตกแต่งด้วยของล้ำค่าควรเมือง อันเป็นที่พำนักของโอรสสวรรค์ด้วยอาการล้มป่วยตั้งแต่เมื่อวานช่วงบ่าย ร่างหนาในชุดลำลองภายในห้องบรรทมมีหมอหลวงตรวจดูพระอาการอยู่ด้านข้างไม่ห่าง "เจิ้นมิได้เป็นอันใดมากนัก "ร่างหนาใบหน้าขาวซีดเอ่ยขึ้นอีกครั้ง "ฝ่าบาทต้องถนอมพระวรกายมากๆนะพะยะค่ะ" "เจิ้นรู้ตัวเจิ้นดี ฉินกงกงเจ้าเตรียมราชโองการให้ข้าสองฉบับ" "ฝ่าบาท...พะยะค่ะ"ทั้งที่หมอหลวงเอ่ยให้ถนอมพระวรกายแท้ๆ ยังทรงตรัสจะร่างพระราชโองการอีก "เพียงเขียนราชโองการสองฉบับไม่ทำให้เจิ้นล้มป่วยลงไปอีกกระมัง อีกอย่างหากมิได้ร่างราชโองการเสียแต่ตอนนี้เจิ้นคงมิอาจข่มตาหลับลงได้" "พะยะค่ะ"ฉินกงกงถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าตอนเป็นองค์ชายหรือฮองเต้แล้วยังคงดื้อดึงไม่เปลี่ยน... ไม่นานสิ่งที่ต้องการก็ปรากฎตรงหน้าตามรับสั่งไว้ โอรสสวรรค์นิ่งคิดก่อนจรดปลายพู่กันเขียนราชโองการ หากต้องเลือกขัดแย้งระหว่างจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์กระหายอำนาจกับแม่ทัพใหญ่ที่จงรักภักดี ย่อมต้องเลือกอย่างหลังเสียจะดีกว่า ___________________ จวนแม่ทัพตระกูลหวัง รถม้าตราราชวังจอดลงหน้าจวนแม่ทัพใหญ่ฉินกงกงลงจากรถม้าอย่างช้าๆ "คุณหนูเรียกหาข้าหรือขอรับ"เหว่ยกวงเดินเข้ามาในห้องผู้เป็นนาย "นี่ข้าให้ ปิดไว้เสียผู้อื่นจะได้ไม่ว่าเจ้าแปลกประหลาด"ชายหนุ่มก้มลงมองผ้าคาดตาที่ถูกยื่นมาโดยผู้เป็นนายเหมือนกับ... กับมารดาทำให้มิผิด... เรียบง่ายแต่ดูใส่ใจทุกฝีเข็ม "ขอบคุณขอรับคุณหนู"เหว่ยกวงเอ่ยขึ้นอย่างซาบซึ้ง "พรุ่งนี้ออกเดินทางแต่เช้า เตรียมตัวให้พร้อมขาดเหลือสิ่งใดให้บอกพ่อบ้านตู้ คำสั่งเดียวของข้าคือจงพาบิดาข้ากลับมาให้จงได้"ใบหน้างามสีหน้าจริงจังคาดหวังเต็มสิบส่วน "ขอรับ ไม่ว่าศึกนี้จะแพ้หรือชนะบ่าวจะพานายท่านกลับมาหาคุณหนุขอรับ"เหว่ยกวงรับคำอย่างหนักแน่นต่อตรงหน้าผู้มีพระคุณ "คุณหนูเจ้าค่ะ มีราชโองการมาที่จวนนายท่านให้มาเชิญคุณหนูไปรับราชโองการเจ้าค่ะ"ซินซูที่ไปเปลี่ยนกาน้ำชาที่โรงครัว เมื่อเดินผ่านเรือนใหญ่จึงรีบมาบอกเจ้านายอย่างรวดเร็ว "อืม...มาช่วยข้าแต่งตัวให้เรียบร้อยเสียก่อน"เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยสั่งสาวใช้อีกครั้ง โดยมิรู้ว่ามีพระราชโองการเรื่องใดอีก... เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องโถง "คุณหนูรองหวังเลี่ยงเฟิ่งรับราชโองการ คุณหนูรองหวังงดงามทั้งกริยามารยาทดั่งหยกล้ำค่าเหมาะสมกับรุ่ยอ๋อง เจิ้นในนามโอรสสวรรค์พระราชสมรสให้แก่คุณหนูหวังเป็นชายาเอกในรุ่ยอ๋องขอให้รักมั่นยืนยาวนับพันปี พระราชทานผ้าล้ำค่ายี่สิบหีบ เงินสิบหมื่นตำลึงและเครื่องประดับสิบหีบจบราชการ" "ข้าหวังเลี่ยงเฟิ่ง น้อมรับราชโองการขอฝ่าบาทมีพระชนมายุยืนยาวพันปีหมื่นปี"มือบางรับราชการเอาไว้มั่น ทางด้านแม่ทัพใหญ่หมิงเทียนพยักหน้าลงช้าๆอย่างพึงพอใจ ส่งสัญญานให้พ่อบ้านตู้นำเงินขวัญถุงยื่นให้ขันทีคนสนิทของฝ่าบาท มินึกว่าฝ่าบาทจะถึงขั้นร่างราชโองการเพื่อพิธีสมรสครั้งนี้ ออกศึกในครั้งนี้นับว่ามิต้องห่วงบุตรสาวอีกต่อไปแล้ว "ไม่รบกวนท่านแม่ทัพใหญ่และคุณหนูหวังแล้ว" ฉินกงกงขันทีคนสนิทของฮองเต้เอ่ยอย่างเกรงใจ เลี่ยงเฟิ่งมองดูม้วนราชโองการอย่างหนักอึ้งคงต้องแต่งเข้าตำหนักรุ่ยอ๋องจริงๆสินะ.... ____________________ จวนเสนาบดีอวิ๋น เรือนคุณหนูสามอวิ๋นลี่เหมย ร่างบางในชุดสีชมพูสลับขาวสวยหวานปักลวดลายเหมยฮวาเล็กๆรอบๆชายกระโปรงใบหน้าบูดบึ้งไม่น่ามองด้วยความไม่พอใจ เดินกระสับกระส่ายไปมาอยู่ในเรือนตนเองอย่างเอาแต่ใจ "ยังไม่มีสาส์นมาจากท่านอ๋องอีกหรือ"ร่างบางเอ่ยถามย้ำกับสาวใช้คนสนิทในรอบสิบครั้งของวันนี้แล้ว "บ่าวพยายามไปถามแล้ว ไม่มีเจ้าค่ะ"สาวใช้คนสนิทหลั่งเหงื่อเย็นด้วยความกดดันของผู้เป็นนาย "ไม่จริง!!! จะเป็นไปได้อย่างไรห้าวันแล้วนะที่ท่านอ๋องไม่ติดต่ออันใดกับข้าเลย"ร่างบางตวาดสาวใชัลั่น มันน่าโมโหนักทั้งที่รับปากหนักหนาว่าจะรับนางเป็นชายารองและยกฐานะให้เท่าเทียมชายาเอก หรือท่านอ๋องจะผิดคำพูดกับนางกัน... "อันใดกัน เหมยเอ๋อร์เสียงดังไม่ถึงด้านนอกแล้วนะ"ร่างงามของฮูหยินรองหลันฮวาเดินเข้ามาในเรือนบุตรสาวพร้อมเอ่ยถามอย่างใจเย็น "ท่านแม่ ท่านอ๋องไม่ติดต่อลูกเลยเจ้าค่ะ ทั้งที่ตลอดมามักแวะเวียนมาหาหรือไม่ก็เขียนสาส์นมาหา ลูก..ลูกกำลังกลัวว่า..."คุณหนูสามรีบเอ่ยฟ้องมารดาของตนทันทีอย่างร้อนใจ ลางสังหรณ์ของนางย้ำชัดถึงความไม่ปรกติ "อาจจะทรงติดภารกิจอยู่ก็เป็นได้" "จะจริงหรือท่านแม่..." "คุณหนูมีราชโองการมาที่จวนเจ้าค่ะ ให้ทุกคนรีบไปรับที่หน้าห้องโถงเจ้าค่ะ"สาวใช้จากเรือนใหญ่รีบมาตามผู้เป็นนาย ด้วยพระราชโองการมาถึงจวนนั้นรอช้าไม่ได้ "นั่นอย่างไร ต้องเป็นราชโองการบุตรสาวแม่เป็นแน่เราไปกันเถอะ"ฮูหยินรองเอ่ยขึ้นอย่างยินดี คาดว่าราชโองการยย่อมเป็นรุ่ยอ๋องทูลขอฝ่าบาทด้วยตนเองเป็นแน่ "ท่านแม่ก็..."ร่างบางยกยิ้มกว้างอย่างเขินอาย พลางลุกขึ้นรีบไปห้องโถงอย่างตื่นเต้น เมื่อคนตระกูลอวิ๋นทั้งหมดมารวมตัวหน้าห้องโถงแล้ว... "คุณหนูสามอวิ๋นลี่เหมยรับราชโองการรรรรร เจิ้นในนามโอรสสรรค์ ด้วยคุณหนูสามอวิ๋นลี่เหมยนั้นงดงาม เรียบร้อยอ่อนหวาน เหมาะสมคู่ควรให้แต่งเข้าเป็นอนุในตำหนักรุ่ยอ๋องในวันที่สิบ เดือนหกพระราชทานผ้าไหมอย่างดีห้าหีบ เงินหนึ่งหมื่นตำลึง พร้อมเครื่องประดับชั้นดีหนึ่งหีบ จบราชโองการรรรรร"เสียงแหบแห้งของขันทีผู้ช่วย ไม่ได้ทำให้เข่าที่หนักอึ้งของเสนาบดีอวิ๋นที่คุกเข่าลงสามารถลุกขึ้นได้ นี่มันเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน... เหมือนลากคนทั้งตระกูลอวิ๋นไปตบหน้ากลางตลาดให้คนทั่วแคว้นได้เห็น "หากไม่มีอะไรแล้ว เช่นนี้ขอตัวก่อน"เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ คุณหนูอวิ๋นเป็นลมหมดสติไปนานแล้วมิรู้ว่าเสนาบดีอวิ๋นไปทำสิ่งใดให้ฝ่าบาทไม่พอใจกันแน่ ถึงได้พระราชทานราชโองการบังคับฐานะเช่นนี้ "ไม่ส่งนะเว่ยกงกง" เสียงบุรุษผู้เป็นเสนาบดีใหญ่ของแคว้นเอ่ยพลางลุกขึ้นแล้วสะบัดชายเสื้อเข้าจวนทันทีอย่างไม่ให้เกียรติเว่ยกงกงแม้แต่น้อย ท่ามกลางบรรยากาศในจวนตระกูลอวิ๋นมืดครึ้มดั่งอมราหูเอาไว้... _____________________ ข่าวลือเรื่องราชโองการสองฉบับบที่ถูกส่งไปยังจวนขุนนางตระกูลหวังและตระกูลอวิ๋น สองขั้วอำนาจยิ่งใหญ่ในแคว้นหนึ่งบู๊หนึ่งบุ๋นเป็นที่เล่าลือกล่าวขานเป็นบทสนทนาออกรสกันบนโต๊ะน้ำชาโดยทั่วทุกที่ต่างถูกใส่สีตีไข่เพิ่มเติมไม่น้อย เรือนใหญ่ จวนตระกูลอวิ๋น "ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม ข้าอับอายยิ่งนักท่านพ่อต้องช่วยข้านะเจ้าค่ะ"คุณหนูสามโวยวายดังลั่นจวนด้วยความไม่พอใจ ข้าไม่อยากเป็นอนุตำแหน่งที่เหมาะสมกับข้าย่อมคือพระชายาเท่านั้น เพลี้ยง!!! เสียงแจกันที่ถูกเขวี้ยงลงพื้นทำให้ร่างบางของคุณหนูสามอวิ๋นลี่เหมยใบหน้าซีดลงดั่งไก่ต้ม "ท่านพ่อ..."ร่างบางสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัวด้วยแจกันผ่านเฉียดร่างตนเล็กน้อยเท่านั้น "แล้วเจ้าคิดว่าการมีราชโองการแต่งตั้งเจ้าเข้าไปเป็นอนุในตำหนักรุ่ยอ๋องนั่นมิเท่ากับการตบหน้าข้าหรือ?? เป็นเจ้าที่อับอายผู้เดียวหรือ??"เสนาบดีอวิ๋นผู้เป็นบิดาเอ่ยอย่างไม่พอใจเช่นกัน "ท่านพี่...ท่านต้องช่วยบุตรสาวเรานะเจ้าค่ะ"ฮูหยินรองหลันฮวาเอ่ยพร้อมน้ำตาคลอเบ้าสงสารบุตรสาวยิ่งนัก ไหนว่ารุ่ยอ๋องตกปากรับบุตรสาวของนางเป็นพระชายารองอย่างไรเล่า "ฮึ่ย...ป่านนี้ข่าวลือคงเหมือนไฟลามทุ่งแล้ว ค่อยคิดหาทางกู้คืนชื่อเสียงอีกที ออกไปให้หมดข้ากำลังหงุดหงิด"เสนาบดีหน้าดำคล้ำตึงเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรือนี่เป็นสัญญานเตือนจากฝ่าบาท... ตำหนักรุ่ยอ๋อง ร่างหนาในชุดผ้าเนื้อดีไร้ลวดลาย กลับมาจากการออกภารกิจลับนอกเมืองนั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรด "ท่านอ๋องพะยะค่ะ มีสาส์นจากคุณหนูอวิ๋นส่งถึงท่านอ๋อง"องครักษ์ของตำหนักยื่นกระดาษแผ่นบางที่ถูกพับพร้อมตราประทับที่รับรู้เป็นการเฉพาะซึ่งเป็นช่องทางการติดต่อตลอดมา มือหนารับสาส์นมาวางไว้บนโต๊ะอย่างสีหน้าเรียบเฉยมิได้ยินดียินร้าย เหมือนกำลังคิดบางสิ่งอยู่ องครักษ์อีกคนเข้ามากระซิบบางอย่างกับเจียงจูหัวหน้าองครักษ์ที่ตามไปอารักขารุ่ยอ๋องออกไปทำภารกิจลับนอกเมืองหลวงตั้งแต่เช้าจรดค่ำ "มีอะไร..."ร่างหนาเห็นท่าทีขององครักษ์คนสนิทด้วยหางตา "ท่านอ๋องคือว่า..." "อย่าได้มัวอ้ำอึ้ง" ร่างหนาเอ่ยเสียงเรียบรู้สึกหงุดหงิดใจโดยไร้สาเหตุ วันนี้ออกไปทำภารกิจลับนอกเมืองกลับมาดึกดื่นยิ่งนัก นางคงเข้านอนไปแล้ว... "ฝ่าบาททรงเขียนพระราชโองการสองฉบับไปยังตระกูลหวังแต่งตั้งคุณหนูรองหวังเป็นพระชายาเอกท่านอ๋องพะยะค่ะ"สิ้นเสียงของเจียงจูองครักษ์คนสนิทใบหน้าของรุ่ยอ๋องยกยิ้มเล็กน้อย เมื่อนึกได้ว่าจะช้าหรือเร็วอย่างไรนางต้องแต่งเข้าตำหนักนี่เป็นเรื่องที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ "อืม.." "พระราชโองการอีกฉบับส่งไปตระกูลอวิ๋น แต่งตั้งคุณหนูสามเป็นอนุในตำหนักท่านอ๋องพะยะค่ะ"ร่างหนาของผู้เป็นองครักษ์กลั้นใจตอบออกไป บนใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อไหลเต็มกรอบหน้า เรื่องนี้ย่อมเป็นฝ่าบาทคิดดัดหลังท่านอ๋องเป็นแน่... "นี่...เสด็จพ่อคิดจะ..."รุ่ยอ๋องแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้รีบเปิดอ่าจดหมายคุณหนูสามอวิ๋นลี่เหมยอย่างรวดเร็ว ใจความจดหมายล้วนเป็นคำตัดพ้อและน้อยใจพร่ำพรรณนายาวเหยียด ใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วเข้มอีกสองสามวันค่อยไปหาที่เรือนก็แล้วกันให้นางใจเย็นลงก่อน... รุ่งเช้า ขบวนทหารนับพันตามลำดับชั้นยศมารอรับท่านแม่ทัพใหญ่ตั้งแต่รุ่งสาง ร่างหนาวัยล่วงเลยในชุดเกราะเต็มยศที่แสนภาคภูมิ ทหารนับห้าหมื่นนายจัดขบวนอยู่นอกเมืองหลวงเพื่อออกเดินทางเพื่อทำศึกในครั้งนี้ มองหาร่างของบุตรสาวคนรองที่บัดนี้ต้องจากลาห่างไกล มีแต่เพียงความว่างเปล่า... มีเพียงบ่าวไพร่ที่มายืนรอส่งผู้เป็นนายหน้าจวนเท่านั้น ร่างหนาในวัยไม้ใกล้ฝั่งตวัดขาขึ้นม้าสีขาวล้ำค่าคู่บุญเดินทางไปยังหน้าประตูเมืองเพื่อถวายพระพรลาผู้เป็นเจ้าของแคว้นก่อนออกศึก ตลอดเส้นทางสองฝากฝั่งต่างมีชาวบ้านต่างโปรยดอกไม้สีเหลืองอวยพรเหล่าทหารกล้าที่ออกรบตามความเชื่อว่าให้ชนะศึกกลับมา ไม่นานขบวนก็เคลื่อนมาถึงหน้าพลับพลาชั่วคราวอันที่เป็นที่ประทับเจ้าของแคว้นและเชื้อพระวงศ์ "กระหม่อมทูลลาพะยะค่ะ"ร่างหนาของแม่ทัพใหญ่คุกเข่าลงต่อหน้าที่ประทับ และเหล่าทหารอย่างพร้อมเพรียง "การศึกครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก ขอให้ทหารทุกคนอดทนต่อสู้เพื่อพี่น้องพ่อแม่ที่ถูกพรากชีวิตไปและทุกคนที่ยังอยู่เพื่อแคว้น เจิ้นในนามโอรสสวรรค์ขอให้ศึกครั้งนี้เหล่าศัตรูต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด สู้ " "สู้ ๆ ๆ ๆ"เสียงทหารดังกึกก้องกังวานไปทั่วบริเวณเพื่อสร้างความหึกเหิมให้เหล่าทหารที่ต้องพัดพรากไปต่างถิ่นฐานเพื่อปกป้องดินแดน ปั้ง ปั้ง ปั้ง... เสียงกล่องใหญ่มงคลนำชัยถูกตีขึ้น บนกำแพงเมืองเรียกสายตาผู้ที่ได้ยินให้เหลียวมองดั่งต้องมนตร์... ปั้ง ปั้ง ปั้ง... ท่วงทำนองดุดันหึกเหิมโดยร่างสตรีในชุดแปลกตาสีแดงเพลิงคาดดำทะมัดทะแมงร้อนแรงและสง่างามผมเผ้ารวบตึงสวมกว๊านดั่งบุรุษ มือสองข้างพันผ้าพร้อมจับไม้กลองเอาไว้มั่น ร่ายรำสบัดกลองตามคำสอนผู้เป็นบิดา ปั้ง ปั้ง ปั้ง... "เฟิ่งเออร์ ลูกพ่อ..."ท่วงทำนองห้าวหาญดุดันอวยพรศึกให้บิดาได้รับชัยชนะกลับมาในภายภาคหน้าให้หวนกลับมาใหนเร็ววัน รับรู้ดีว่ามีเพียงทายาทตระกูลแม่ทัพทุกรุ่นเท่านั้นที่ได้ร่ำเรียน 'พ่อจะกลับมา พ่อสัญญา....' ปั้ง ปั้ง ปั้ง... 'ร้อนแรง งดงาม ดุดัน เป็นเอก'คือคำจำกัดความสตรีผู้ตีกลองมงคลนำชัยนำศึกครั้งนี้ ทุกสายตามองร่างบุตรีตระกูลแม่ทัพหวังแทบไม่กระพริบตารวมไปถึงรุ่ยอ๋องและองค์ชายรองหลงลู่หาน สายตาไปรวม ณ ที่จุดเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย... เมื่อเสียงกลองใหญ่จบลงเป็นสัญญาณออกเดินทางของกองทัพในครั้งนี้... _______________________
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD