บทที่ 21 หวั่นไหว...
ร่างบางนั่งอยู่เรือนตนเองขบคิดเรื่องราวต่างๆเพื่อช่วยเหลือบิดาและหลีกเลี่ยงเส้นทางหายนะของคนเอง
นางใช้ชีวิตในศตวรรษที่22 ร่วมยี่สิบห้าปีไร้บิดามารดาชุบเลี้ยง ตั้งแต่เล็กอยู่ในมูลนิธิที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
ความคิดล่องลอยอยู่นานหรือที่ตามหามาตลอดหาใช่'คู่แท้'แต่เป็น'รักแท้'ใช่หรือไม่
มาวันนี้มีบิดาที่รักด้วยใจจริงไม่หวังสิ่งใดตอบแทนแล้วกลับต้องจากลามิรู้ว่าภายภาคหน้ายังจะได้พบเจอกันอีกหรือไม่
ยิ่งใจหาย...
สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมกับนางเอาเสียเลย
ความทรงจำเดิมวนเวียนแต่ภาพบิดาคอยสั่งสอนให้ก้าวเท้าตั้งแต่ยังเล็ก ข้าวคำแรกมีบิดาคอยป้อนให้ ร่ำเรียนอ่านเขียนอักษรมีบิดาช่วยฝึกฝน
"คุณหนูเจ้าค่ะ ชายผู้นั้นมาแล้วเจ้าค่ะ"ซินหมี่เข้ามาแจ้งผู้เป็นนายเสียก่อน
"อืม..ให้เข้ามาได้"
ร่างหนาในชุดบ่าวไพร่ใหม่ผมเผ้าถูกชะล้างรวบหวีตึงมัดไปด้านหลัง ร่างกายสูงโปร่งให้กลิ่นอายไม่ธรรมดาคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นนาย
"ข้าลืมถามเจ้ามีชื่อว่าอะไร"
"บ่าวชื่อ จางเหว่ยกวง..."สิ้นเสียงชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น
เลี่ยงเฟิ่งเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงมิใช่จางเหว่ยกวงที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังให้พระเอกหรือองค์ชายรองได้ขึ้นครองบัลลังก์ใช่หรือไม่
ในนิยายที่กำลังถ่ายทำเล่าว่าชายผู้นี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดา กลอุบายเป็นเลิศวรยุทธ์เป็นหนึ่งในใต้หล้า
ยิ่งมองใบหน้าหล่อเหลาดั่งเทพเซียนดวงตาข้างหนึ่งกลับทอประกายสีขาวสลับกับดวงตาอีกข้างที่ยังคงเป็นสีน้ำตาลดั่งคนทั่วไป
เป็นเขาจริงๆหรือ...
"ออกไปให้หมด ข้ามีบางอย่างอยากจะถามชายผู้นี้"
"คุณหนู...ไม่ได้นะเจ้าค่ะ"อิงอิงสาวใช้คนสนิทเอ่ยห้ามันทันที
"ไม่เป็นไร ออกไปก่อนปิดประตูให้มิดชิดถอยห่างจากเรือนข้าคนละสิบก้าว"เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยสั่งเสียงเข้ม
"เจ้าค่ะ"สาวใช้ทั้งสามรีบทำตามคำสั่งทันที
ไม่นานทุกอย่างกลับสงบเงียบลง
"เจ้าบอกว่ายินดีเป็นทาสติดตามข้าตลอดชีวิตใช่หรือไม่"เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยช้าๆโดยไม่รู้ตัวว่าแผ่บรรยยากาศทำให้คนทั่วไปอาจหายใจติดขัดได้
เหว่ยกวงเองก็รู้สึกได้เช่นกัน
"ใช่ขอรับ"
"หากข้าใช้เจ้าไปตายเล่า เจ้ายังจะทำตามที่ข้าสั่งอยู่หรือไม่"ครานี้เป็นคำถามที่แปลกประหลาดที่ชนชั้นทั่วไปมิอาจจะตอบได้ง่ายดายนัก
"บ่าวเชื่อว่าคุณหนูทำทุกอย่างมีเหตุผลรองรับเสมอ บ่าวยินดีทำตามคำสั่งไม่ว่าคุณหนูจะสั่งให้ไปตายหรือไม่ก็ตาม"เหว่ยกวงเอ่ยตอบอย่างจริงใจ ด้วยคิดตลอดทางจากสุสานมารดาถึงจวนตระกูลหวัง เป็นเด็กสาวตรงหน้าที่ยื่นมือช่วยเหลือมิคิดสิ่งใดตอบแทน หากต้องมีเจ้านายสักคนที่ใจกว้างดั่งแม่น้ำเช่นนี้ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟเขายินดีเช่นกัน
"บิดาข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ต้องออกไปรบอีกสองราตรีข้างหน้า คำสั่งเดียวที่ข้าให้เจ้าคือช่วยบิดาไปรบและพากลับมาโดยปลอดภัยไม่ว่าศึกนี้จะแพ้หรือชนะก็ตาม เจ้ายินดีทำตามคำสั่งหรือไม่"
"บ่าวยินดีรับคำสั่งขอรับ"แม้ยังตกตะลึงไม่หาย แต่ก็นับถือเจ้านายยิ่งนัก นางมิได้ออกคำสั่งไร้สาระเลื่อนลอยแม้แต่น้อย
คำสั่ง
"ดี เช่นนั้นตามข้ามาข้าจะพาไปหาท่านพ่อ"
"ขอรับ"
ไม่นานเลี่ยงเฟิ่งและเหว่ยกวงก็มาเดินมาถึงเรือนใหญ่...
"ไปแจ้งท่านพ่อทีว่าข้าขอเข้าพบ"
"เชิญ คุณหนูรองด้านในขอรับนายท่านบอกไว้หากคุณหนูมาหาให้เข้าได้เลยไม่ต้องแจ้งขอรับ"
อืม...ร่างบางเดินเข้าห้องทำงานของบิดา
"ลูกคาราวะท่านพ่อเจ้าค่ะ"
"เฟิ่งเอ๋อร์มาหรือ มาๆนั่งลงก่อน"ใบหน้าที่ตึงเครียดอยู่ก่อนแล้วค่อยๆผ่อนคลายลงหลายส่วนเมื่อเห็นบุตรสาวมาหา
"รบกวนท่านพ่อหรือไม่เจ้าค่ะ ลูกเพียงนำชายหนุ่มผู้นี้มาไว้อยู่ข้างกายท่านพ่อเจ้าค่ะ"สิ้นเสียงผู้เป็นบุตรสาวดวงตาที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน เบนสายตาไปร่างหนาที่อยู่เยื้องไปด้านหลังของบุตรสาว ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดบ่าวไพร่ของจวนมิอาจกลบกลิ่นอาย
ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดา
"เจ้าทำอะไรเป็นบ้าง..."คำถามปลายเปิดส่งตรง
"หากบิดาข้าไม่รับเจ้ารับใช้ข้างกาย เจ้าเองก็ไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับข้าเช่นกัน"เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยขึ้นอย่างกดดัน ด้วยรู้ว่าคนผู้นี้ความสามารถมากมายนัก
"ทำเป็นทุกอย่างขอรับ..."
"อ่านให้ข้าฟัง..."มือหนายื่นหนังสือที่ยังอ่านค้างอยู่เมื่อคืน ชายหนุ่มมิคอยท่าสูตรหายใจลึก พร้อมอ่านอย่างไหลลื่นไปครึ่งหน้า
กระดาษแผ่นใหญ่ว่างเปล่าถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมพู่กันและแท่นหมึก
"เขียนที่เจ้าอ่านมาให้ข้าดู..."
"ขอรับ..."มือหนาหยิบพู่กัน อีกข้างจับชายอาภรณ์แขนเอาไว้ตวัดปลายพู่กันหนักแน่นปลายหางพริ้วไหว
"เล่นหมากรุกเป็นหรือไม่..."
"เป็นขอรับ..."เหว่ยกวงเอ่ยตอบทั้งที่หลังนั้นหลั่งเหงื่อเย็น กระดานหมากรุกถูกยกขึ้นโต๊ะอีกครั้ง พร้อมเล่นฝ่ายดำและฝ่ายขาวรุกรับนานนับชั่วยามจึงรู้ผลพร้อมเสียงหัวเราะของผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ที่นานๆจะหัวเราะดังลั่นเช่นนี้ เรียกได้ว่าเจอคู่มือ
"ดีๆฮ่าๆๆๆ พ่อชอบเจ้าหนุ่มคนนี้นะ "มือหนาที่เหี่ยวย่นเช่นไม่ใกล้ฝั่งตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆอย่างชื่นชม อยากนักที่จะหาคนเล่นหมากรุกสูสีกับตนเช่นนี้
ว่ากันว่าหมากรุกก็มิต่างจากกลศึกมีรุกมีรับผลชี้ขาดเป็นตัวตัดสิน
หากย้อนกลับไปสักสามสิบปีก่อน อาจเป็นตนเองก็ได้ที่เป็นผู้แพ้
"ท่านพ่อ พาเหว่ยกวงไปด้วยนะเจ้าค่ะ"
"แต่ว่า..."
"บ่าวพอมีวรยุทธ์ติดตัว ยินดีติดตามนายท่านขอรับตามคำสั่งคุณหนูขอรับ"สิ้นเสียงยืนยันของเหว่ยกวง ร่างหนาวัยใกล้ฝั่งลูบเคราของตนเองอย่างชั่งใจ
"ได้...หากเจ้ารับกระบวนท่าข้าได้สิบท่า ข้าอนุญาติให้เจ้าติดตามไปได้ อย่าเสียใจทีหลังแล้วกัน"
"บ่าวขอล่วงเกิน นายท่านแล้ว"สิ้นเสียงชายหนุ่ม ใบหน้าของร่างหน้าไม้ใกล้ฝั่งเลิกคิ้วสูงขึ้นอย่างนึกเอ็นดู
ต้องสั่งสอนให้หลาบจำ...
_______________________
"บ่าวขอล่วงเกิน นายท่านแล้ว"สิ้นเสียงชายหนุ่ม ใบหน้าของร่างหนาไม้ใกล้ฝั่งเลิกคิ้วสูงขึ้นอย่างนึกเอ็นดู
ต้องสั่งสอนให้หลาบจำ...
ทางด้านเลี่ยงเฟิ่งเองมิเอ่ยห้ามบิดาเช่นกัน แม้ไม่รู้ว่า ณ ตอนนี้ฝีมือของเหว่ยกวงอยู่ในระดับใด
แต่เมื่อเห็นบิดาให้การยอมรับแล้วก็ต้องขอชมฝีมือสักหน่อยแล้วร่างบางปิดปากเงียบปล่อยให้ผู้เป็นบิดาได้เป็นผู้ชี้ขาด
นางเพียงมองอยู่ห่างๆ เพียงเท่านั้น...
ทั้งสามเดินออกจากเรือนใหญ่มุ่งหน้าสู่ลานประลองการต่อสู้ในจวนที่บิดามักมาฝึกการต่อสู้อยู่บ่อยครั้ง
แม้จะปลดประจำการแล้วก็ตาม...
"อย่าได้อ้อนวอนให้ข้าเบามือเล่า"ร่างหนาหมิงเทียนก้าวเท้านำขึ้นลานประลองเป็นคนแรก ตามติดด้วยเหว่ยกวงท่ามกลางสายตาบ่าวไพร่และทหารที่อยู่โดยรอบ เลี่ยงเฟิ่งเดินไปอีกด้านขอบสนามประลองเพื่อนั่งชมอยู่ห่างๆ
"บ่าวรับปากคุณหนูเอาไว้ ว่าจะติดตามนายท่านไปชายแดนให้ได้ เชิญนายท่านลงมือได้เต็มที่ขอรับ"เพียงสิบกระบวนท่าเท่านั้นร่างหนาสูดหายใจเข้าลึกๆ นึกถึงบทเรียนกระบวนท่านอาจารย์ที่สั่งสอนตลอดมา
ต้องทำอย่างที่พูดให้ได้ให้จงได้..
ร่างหนาตวัดปลายเท้าหนึ่งข้างไปด้านหลัง เคลื่อนมือตั้งท่าพร้อมตั้งรับการต่อสู้อย่างผ่าเผย
"ฮึ...อย่าได้ท่าดี ทีเหลวเสียก่อนเล่า"เจ้าเด็กนี้มีแววไม่ธรรมดาจริงๆหมิงเทียนรับรู้ถึงความไม่ธรรมดาตั้งแต่การเล่นหมากรุกแล้ว
เพียงแต่ว่าหากไปชายแดนด้วยอาจอยู่ไม่ถึงปีหน้าก็อาจไปได้
ร่างผู้เป็นแม่ทัพใหญ่รุกตวัดมือเขาจุดตายเมื่อสัญญาณการต่อสู้เริ่มต้นขึ้นด้วยพละกำลังที่ฝึกฝนอยู่เสมอ
ผ่านไปแล้วห้ากระบวนท่า
เหว่ยกงยังคงหลบหลีกปัดป้องได้อย่างคล่องแคล้ว จนทุกคนต่างประหลาดใจ แม้ว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะอายุกว่าหกสิบปีเป็นไม้ใใกล้ฝั่งก็แต่ฝีมือนั้นมิได้หย่อนยานเช่นอายุขัยที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่ากระบวนท่าใดกลับตั้งรับได้ดีจนครบสิบกระบวนท่าก็ยังไม่มีท่าทางเหนื่อยแม้แต่น้อย
"เฟิ่งเอ๋อร์ จงบอกพ่อมาว่าเจ้าได้เหว่ยกวงมาจากที่ใด"หมิงเทียนเอ่ยถามบุตรสาวด้วยความสนใจ
เจ้าหนุ่มนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ...
"ลูกเก็บได้ข้างทางเจ้าค่ะ"ใบหน้างามยกยิ้มกว้างเมื่อบิดาเปิดใจรับเหว่ยกวงให้ติดตาม นางก็เบาใจลงหลายส่วน
บิดาต้องได้กลับมาข้าเชื่อฝีมือเจ้าเหว่ยกวง...
_______________________________
ช่วงค่ำ
"คุณหนูพอกสมุนไพรครบครึ่งชั่วยามแล้ว บ่าวเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้คุณหนูอาบแล้วนะเจ้าค่ะ"อิงอิงสาวใช้คนสนิทเอ่ยขึ้นอย่างรู้งาน ด้วยในทุกๆวันคุณหนูมักบอกตัวอยู่เสมอ แบบเดิมซ้ำๆ
ผลลัพธ์นั้นก็น่าพึงพอใจไม่น้อยผิวพรรณของคุณหนูขาวผุดผ่องดั่งหิมะแรกของเหมันต์
"อืม ขอบใจมาก"
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเลี่ยงเฟิ่งรับสำหรับเย็นเป็นเพียงผักต้มและผลไม้เท่านั้น นางยังคงจำกัดอาหารของตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อมิให้ร่างกายกลับไปอวบอ้วนเช่นเดิมอีก
"เดี๋ยวเจ้าจุดเทียนเพียงสองเล่มเท่านั้น เตรียมเครื่องมือเย็บผ้าใหข้าพร้อมผ้าสีเข้ม ดำสนิทก็ได้"
"เจ้าค่ะ"
"พวกเจ้าไปพักเถอะ...หากว่ามีอะไรจะเรียก นางยังคงชินกับการนอนคนเดียวเสียมากกว่า
"เจ้าค่ะ"สาวใช้ทั้งสามจากไปแล้วพร้อมปิดประตูให้อย่างเงียบเชียบ
ตกดึก
ร่างอวบที่บางลงหลายส่วนยังคงนั่งเย็บผ้าคาดตาให้เหว่ยกวงอย่างตั้งใจ คนผู้นี้ดวงตาไม่เหมือนคนทั่วไปหากว่า คนทั่วไปพบเจอมักจะตีตนรังเกียจสิ่งที่ไม่เหมือนคนทั่วไปเสมอ
กึก!!!
เสียงบางอย่างกระทบกับไม้ทำให้เลี่ยงเฟิ่งเหลียวมองทันทีอย่างระวัง
"คือ...เปิ่นหวางเพียงมาบอกว่าต้นฉั่งฉิกที่ให้หาอาจล่าช้าสักหน่อย เพราะเป็นของหายาก"ร่างหนาออกจากเงามืด ไม่ว่าอย่างไรทุกครั้งที่เข้าใกล้นางมักพลั้งเผลอเตะโดนนี่นั่นทั้งที่วรยุทธ์ของเขานั้นหาใช่ธรรมดาสามัญไม่
หรืออาจเพราะเป็นบรรยากาศรอบตัวนางที่เขาก็ฉงนเช่นกัน
"เพคะ"ใบหน้างามมองบุรุษที่ชอบเข้ามาหาตนเองยามค่ำคืนตรงๆโดยไม่หลบหลีกเช่นกัน ดวงตาเรียวยาวหรี่ลงเอียงหน้าพร้อมกับคำถาม
แล้ว???
ดูเหมือนว่ารุ่ยอ๋องผู้นี้จะว่างงานไม่น้อยถึงกับมาแจ้งเรื่องนี้ด้วยตนเอง
"คือ..."ร่างหนายังคงอ้ำอึ้งมิรู้ตนเอง ว่าเหตุใดหลังจากกลับจากวังหลวงก็ตรงดิ่งมาที่เรือนนี้แทนที่จะกลับตำหนักของตนเอง
"หน้าผากท่านไปโดนอะไรมา"แม้จะมีเพียงแสงเทียนเมื่อมองดูให้ชัดแล้วแผลยังคงมีเลือดซึมอยู่
เขาบาดเจ็บ...
"บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น..."มือหนาลูบแผลบนหน้าผากเบาๆ ด้วยไม่ได้คิดใส่ใจ
"ใส่ยาเสียก่อน นั่งลงสิเพคะ"ร่างบางลุกขึ้นไปหยิบยาตลับทาแผลสดที่มีอยู่ในห้องเชิญว่าที่สามีในนามนั่งลงตามมารยาท
จะอย่างไรนางก็ต้องแต่งกับบุรุษตรงหน้าอยู่ดีทำดีไว้หน่อยไม่เสียหายอันใด มือบางหยิบผ้าเช็ดหน้าตนเองที่สะอาดอยู่ชุบน้ำสะอาดที่มักสั่งสาวใช้ตักไว้ให้เสมอเพื่อเช็ดหน้าหลังจากออกกำลักายในช่วงค่ำ บรรจงเช็ดเลือดรอบๆหน้าผากอย่างเบามือแล้วเดินไปหยิบตลับยาทาลงบนแผลบางๆอย่างตั้งใจ
ทางด้านรุ่ยอ๋องดั่งต้องมนตร์สะกด...
อยู่ในภวังค์ความคิดนางมีหลายมุมที่ทั้งอ่อนโยนและแข็งกร้าว กลิ่นหอมอ่อนๆเย้ายวนล่อลวงให้ลุ่มหลงยากที่ถอนตัว ใบหน้างามที่มีเค้าโครงชัดขึ้นดั่งรูปเทพธิดาสลักบนหินหยกเนื้อดีป็นความลงตัวที่ดั่งสวรรค์สร้างปั้นแต่ง
"เสร็จแล้วเพคะ.."เลี่ยงเฟิ่งเอ่ยขึ้นท่ามลางคววามเงียบ นางรู้ตัวดีว่าบุรุษตรงหน้ามองนางนานแล้ว
"อืม..ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดแล้วเดี๋ยวเปิ่นหวางจะหาซื้อมาคืนให้"ร่างหนาได้สติอีกครั้งพลาง พร้อมถือผ้าเช็ดหน้าแล้วจากไปดั่งรวดเร็วภูตผี
"คิดจะมาก็มา..คิดจะไปก็ไป...ขอบคุณสักคำก็ไม่มี"ใบหน้างามส่ายหน้าน้อยๆอย่างปลงๆ
______________________