จากข้อความของเจ้าของโลงศพคนก่อนกล่าวไว้ เขาสร้างอักขระเคลื่อนย้ายเหล่านี้ไว้ที่ฝาโลงศพเก่าแก่ ในช่วงที่มนุษย์ใช้กระสุนเงินไล่ล่ากวาดล้างแวมไพร์และกำลังเริ่มโครงการสร้างเขตปลอดแวมไพร์ขึ้นมา
นางคาดว่ารุ่นพี่แวมไพร์ผู้นี้คงจะถูกมนุษย์กำจัดก่อนที่จะหาแวมไพร์สาวบริสุทธิ์มาทดลองใช้โลงศพเทเลพอร์ตนี้ จึงไม่เคยมีแวมไพร์คนไหนรับรู้ถึงช่องทางนำไปสู่แหล่งอาหารอันโอชะในสถานที่ใหม่ และหากเจ้าของโลงมีชีวิตอยู่เขาก็จะได้รู้ว่าการคาดเดาของเขานั้นกำลังจะเป็นจริงในรุ่นของนาง
มนุษย์สร้างอาณาเขตปลอดแวมไพร์ที่ปิดกั้นด้วยกระจกหนา มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและยังสามารถคิดค้นการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ให้เติบโตได้ในระยะเวลาอันสั้น พวกเขามีอาหาร มีเทคโนโลยี ใช้ชีวิตตัดขาดจากแวมไพร์โดยสิ้นเชิงอยู่ในเรือนกระจกขนาดมหึมา ในขณะที่ส่งผู้พิทักษ์ออกมากวาดล้างแวมไพร์ไปพร้อมๆ กัน
แวมไพร์รุ่นก่อนหน้านางยังพอค้นหามนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ในโลกภายนอกได้บ้าง อย่างเช่นตัวนางเองก็ถูกแวมไพร์กัดเมื่ออายุได้ 12 ปี เมื่อนางเติบโตขึ้นจำนวนมนุษย์ที่อยู่โลกภายนอกเขตก็ลดน้อยลงไปจนแทบไม่เหลือ มีเพียงสัตว์ที่ถูกแวมไพร์ปล่อยให้แพร่พันธุ์อยู่ภายนอกไว้ดื่มเลือดให้คลายความกระหายได้เท่านั้น
และในที่สุดก็มาถึงยุคที่มนุษย์คิดค้นวิธีการรักษาแวมไพร์ให้กลับเป็นคนปกติได้ขึ้นมาได้ และนางก็เป็นหนึ่งในแวมไพร์หลายร้อยคนที่ถูกนำตัวมาทดลองเป็นรุ่นแรก หากยารักษาประสบความสำเร็จ โลกมนุษย์ก็จะไม่เหลือแวมไพร์อีกเลยในไม่ช้า
“ฮ่าๆๆ เยี่ยมไปเลย ทีนี้ข้าก็จะเป็นแวมไพร์คนเดียวในสถานที่แห่งนี้ ข้าจะมีเลือดมนุษย์สดๆ ให้ดื่มกินทั้งวันทั้งคืนไม่หวาดไม่ไหว!” หญิงสาวแลบลิ้นเลียริมฝีปากอีกครั้ง แต่อันที่จริงนางก็ทำท่าไปอย่างนั้นล่ะ นางไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะมีความกระหายเลือดเลยสักนิด
“รออีกสามปี พอหมดฤทธิ์ยาข้าต้องรีบดื่มเลือดมนุษย์ก่อนจะครบกำหนด 6 เดือน ทีนี้ข้าก็จะกลับมามีพลังเหมือนเดิม!!"
ยาที่นางถูกฉีดเข้าไปในร่างกายยังยั้งความกระหายเลือด รวมทั้งระงับพลังทุกอย่างของแวมไพร์เอาไว้ได้เป็นเวลา 3 ปี และเมื่อครบกำหนด 3 ปี ภายใน 6 เดือนต่อจากนั้นหากแวมไพร์ไม่ได้ดื่มเลือดมนุษย์เลย ก็จะกลับกลายเป็นมนุษย์ได้โดยสมบูรณ์
ฉู่หลิงเพิ่งจะถูกฉีดยามาเมื่อเช้า แล้วก็ถูกจับใส่โลงจับยัดเข้าไปในห้องควบคุมพิเศษภายในสถาบันวิจัย ประตูห้องควบคุมจะถูกเปิดออกโดยตั้งเวลาเอาไว้ 3 ปี 6 เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้แวมไพร์หาทางหนีออกมาดื่มเลือดได้
แต่เป็นเพราะความซุกซนของนางทำให้เสี้ยนตำมือ เลือดแวมไพร์สาวพรหมจรรย์เปิดการทำงานของอักขระบนฝาโลงแล้วก็ส่งนางมาที่นี่นั่นเอง หญิงสาวสรุปเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว
หญิงสาวผลักประตูห้องหินออกมาหากลุ่มเด็กชายหญิงตัวกระเปี๊ยกอีกครั้งด้วยท่าทางเบิกบานใจสุดฤทธิ์
“ข้ารู้แล้วล่ะว่าข้ามาจากไหน ว่าแต่ที่นี่คือที่ไหนหรือ”
“เราอยู่ในป่านอกเมืองสือเจีย เพียงแค่ข้ามลำธารไปไม่ไกลก็ถึงบ้านของพวกเราที่เรียกว่าหอหงไถ พี่สาวอยากไปกับพวกเราหรือไม่ แล้วที่นี่เป็นบ้านของท่านเช่นนั้นหรือเจ้าคะ" เจียวจูกล่าวพลางมองไปที่ประตูหิน
เจียวจ้านไม่ได้มีมารยาทเท่ากับพี่สาวของตน เขาวิ่งไปที่ประตูหินที่พี่สาวคนสวยเดินออกมาเมื่อครู่อย่างอยากรู้อยากเห็น
“เอ๋ ทำไมเปิดไม่ได้เล่า?” เด็กชายใช้ทั้งมือทั้งเท้า ทั้งแผ่นหลังพยายามดันประตูหินที่เมื่อครู่พี่สาวผลักออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีแล้วก็ยังไม่สามารถทำให้ผนังหินอันแข็งแกร่งนี้ขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าลองไปช่วยเขาดูสิ” ฉู่หลิงก็ไม่เข้าใจเช่นกัน หากว่าตนยังมีพลังพิเศษของแวมไพร์อยู่ก็ไม่แปลก เพราะพละกำลังตนมีมากกว่ามนุษย์อยู่แล้ว แต่นางถูกระงับพลังด้วยฤทธิ์ยาอยู่เรี่ยวแรงก็เท่ากันกับมนุษย์ปกติ เหตุใดระหว่างนางกับเด็กชายจึงมีความสามารถในการเปิดประตูหินต่างกัน
เด็กชายในกลุ่มมีอยู่ 3 คน พวกเขามีอายุใกล้เคียงกับเจียวจ้าน อาสาไปช่วยสหายของตนทันที
“เปิดไม่ได้” เด็กชายสี่คนพยายามอยู่หลายครั้งจนใบหน้าแดงก่ำ ก็ยังเปิดไม่ได้
“ไม่ต้องลองแล้วล่ะ กลับมานี่เถิด” ฉู่หลิงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ นางเข้าใจว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับการปกป้องโลงศพโบราณโลงนั้น และน่ามีเพียงสายเลือดแวมไพร์ที่สามารถเข้าใกล้โลงศพได้นั่นเอง
“เล่าเรื่องเมืองสือเจียกับหอหงไถบ้านเจ้าให้ข้าฟังสักหน่อยสิ แล้วพวกเจ้าทั้งหมดนี่เป็นพี่น้องกันหรือไง พ่อแม่ก็ช่างขยันเหลือเกินเนาะ" หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น อย่างน้อยก็ควรจะรู้สถานการณ์ของสถานที่ที่นางจะกลายมาเป็นผู้ล่าอันดับหนึ่งในเวลาอีกไม่กี่ปี
“พวกเราไม่ได้เป็นพี่น้องกันทั้งหมด แต่ก็มีบางคนที่เป็นพี่น้องแท้ๆ กันอย่างข้าและน้องชายเจียวจ้าน” เจียวจูในฐานะพี่ใหญ่เริ่มอธิบายเรื่องราวในฝั่งของตนออกมาทีละน้อย
สถานที่แห่งนี้คือเมืองสือเจีย แคว้นต้าหยวน เป็นหนึ่งใน 17 แคว้นใหญ่บนแผ่นดิน ชายป่าแห่งนี้รวมทั้งหอหงไถอยู่นอกเขตกำแพงเมืองสือเจียบนอำเภอซิ่งอันซึ่งมีเขตแดนติดกับกำแพงเมืองจึงมีความเจริญพอสมควร
ที่แท้เด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้ลำพังในหอนางโลมหงไถ ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน
หอคณิกาหงไถถูกก่อตั้งจากการลงทุนร่วมกันของขุนนางหลายคน เมื่อสามปีก่อนขุนนางเหล่านั้นต่างก็ถูกจับกุมในคดียักยอกทรัพย์และคดีร้องเรียนอีกหลายคดีจนถูกยึดทรัพย์สินและถูกจองจำ หอหงไถซึ่งเป็นของส่วนรวมของขุนนางหลายคนจึงถูกยึดไปเป็นของทางการ
หอหงไถจำต้องปิดตัวลงไปเพราะทางการจะเลี้ยงดูหรือเปิดกิจการหาเงินเข้าหลวงก็ไม่เหมาะ แม่เล้าและนางโลมทุกคนได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ และเลือกทิ้งบุตรชายหญิงซึ่งไม่ได้ตั้งใจให้เกิดแต่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในหอหงไถในฐานะแรงงานได้เปล่าเอาไว้ ด้วยหวังจะออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่หรือทำงานหาเงินโดยไม่มีภาระติดตัว
ฉู่หลิงนั่งฟังเจียวจูเล่าเหตุการณ์ไปพลางก็เพ้อฝันไปพลาง เด็กพวกนี้เป็นกำพร้า!! นั่นหมายความว่าอะไรเล่า!! หมายความว่าพวกเขาไม่มีผู้ปกครองมาคอยดูแลชีวิตและความปลอดภัย อีกไม่นานนางก็เลือกจับกินพวกเขาได้สบายๆ เลยใช่หรือไม่!!
“พี่สาวท่านน้ำลายไหลแล้วขอรับ” เด็กชายตัวผอมแห้งคนหนึ่งเดินเข้ามาเช็ดน้ำลายที่มุมปากให้พี่สาวคนงาม
“พี่สาวมาอยู่กับพวกเราเถิดเจ้าค่ะ ท่านก็ไม่มีครอบครัวเหมือนพวกเราใช่หรือไม่” หลิ่วจีเด็กหญิงตัวน้อยไม่เคยเห็นสตรีคนใดงดงามเท่าพี่สาวเสียสติตรงหน้านี้มาก่อนเลย ยิ่งมองนางก็ยิ่งอยากอยู่ใกล้พี่สาวคนงามผู้นี้
เจียวจ้านส่งสัญญาณเรียกให้พี่น้องมาสุมหัวรวมตัวกันอีกรอบภายนอกอุโมงค์
“พวกเรา ถึงพี่สาวจะสติไม่ค่อยดีแต่นางงามมากนะ ปล่อยนางไปก็อาจถูกคนชั่วร้ายข่มเหงรังแกเอาอีก พวกเราช่วยกันเลี้ยงนางไว้ก่อนเถิด” ร่างผ่ายผอมหลายร่างจูงมือกันไปแอบกระซิบกระซาบเบาๆ แต่เสียงของพวกเขาก็ยังดังพอให้อีกฝ่ายได้ยินชัดเจน
‘เด็กมนุษย์บ้า!! ข้าก็แค่ไม่ได้เห็นอาหารโอชะเช่นพวกเจ้ามานานก็เท่านั้นเองย่ะ!' ฉู่หลิงบ่นอุบอิบอยู่ในใจ รีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำลายข้างมุมปาก
ก้อนเนื้อขาวๆ 10 ก้อนอยู่เบื้องหน้าแวมไพร์สาว แต่ตอนนี้เขี้ยวนางก็ไม่มี จะไปเจาะคอดูเลือดผู้ใดได้ คงต้องอดทนเลี้ยงดูเด็กมนุษย์ผอมแห้งพวกนี้ให้เติบโตอ้วนพีผลิตเลือดเนื้อเยอะไว้ให้นางดื่มกินในอนาคต ระหว่างรอให้ยาหมดฤทธิ์นางก็อาศัยอยู่ในหอหงไถร่วมกับเด็กๆ ไปก่อนก็แล้วกัน หญิงสาวคิดในใจ
ท่าทางล้วงมือคลำหาเขี้ยวในปากของฉู่หลิง รวมกับนางพยายามเช็ดน้ำลายข้างริมฝีปากแดงที่ไหลย้อยลงมาบนพื้น ครู่หนึ่งพี่สาวคนงามก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับมองพวกตนด้วยสายตาพิลึกพิลั่น ทำให้เด็กๆ ยิ่งเวทนาสงสารฉู่หลิงยิ่งกว่าเดิม