ตอนที่ 2 อยากลงโลง

1702 Words
อีกด้านสองสหายต้นเรื่องก็ร้อนใจอยู่ไม่น้อย ชายขาเป๋ลุกขึ้นมายืนเคียงข้างกับสหายแขนเดียวของตน พลางส่งสายตามองกันไปมาคล้ายว่ากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง “เอาล่ะ ครั้งนี้ถือว่าเป็นคราวซวยของพวกเราสองคนก็แล้วกัน เนื้อจะเข้าปากเสืออยู่แล้วเชียว!! พวกเจ้ารีบไสหัวไปให้พ้นหน้าพวกเราเดี๋ยวนี้เลย” ชายแขนเดียวมองไปยังร่างงามด้วยความเสียดาย แต่ดูจากจำนวนคนแล้ว ให้ต่อสู้กันจริงๆ พวกเขาสองคนอาจจะสู้ไม่ไหว และหากเรื่องไปถึงเจ้าหน้าที่ทางการเมื่อใดพวกตนจะเดือดร้อนกว่าเก่า เขาย่อมไม่กล้าเสี่ยง “ปากเสือ? เหอะ!! ปากหมาสิไม่ว่า ดูตัวเองด้วยจ้า สภาพ!!” ฉู่หลิงสวนกลับอย่างอดไม่ได้ นางเคยแต่ข่มขู่ดูแคลนผู้อื่น ถูกเอาเปรียบอย่างไร้ทางสู้เช่นนี้รู้สึกอับอายจนอยากกลับโลงศพจะแย่แล้ว หลิ่วจีเด็กหญิงวัย 8 ขวบถึงกับต้องกระตุกข้อมือพี่สาวแปลกหน้าเอาไว้เป็นการห้ามปราม อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่สองคนเชียวนะ แล้วเจ้าหน้าที่ทางการน่ะ จะมาช่วยพวกเราจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ “ใครกันแน่ที่ต้องไปให้พ้น เจ้าสองคนจะลองดูไหมเล่าว่าพวกเราจะหาคนมาขับไล่พวกเจ้าออกจากป่านี้ไปได้หรือไม่” เจียวจูไม่ยอมแพ้ หากสองคนนี้ยังอยู่ต่อไปพวกนางคงจะมาหาเก็บของป่าไปกินได้ลำบากเป็นแน่ สองสหายผงะถอยหลังเสียอาการไปเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางไม่กลัวเกรงของเด็กหญิงตัวจ้อย และเริ่มรู้สึกว่านางคงจะมั่นใจไม่น้อยว่าจะจัดการกับพวกตนเองได้ “ฝากไว้ก่อนเถอะ!” พวกเขามองไปยังฉู่หลิงอีกครั้งด้วยความเสียดาย สะบัดใบหน้าโสมมเดินหลบเลี่ยงกลุ่มเด็กๆ ไปอีกทาง ตั้งใจว่าจะออกจากป่าแห่งนี้ไปให้เร็วที่สุดตนเป็นเพียงคนร่อนเร่ มีหรือจะกล้ายุ่งวุ่นวายกับเด็กจากหอหงไถที่มีเบื้องหลังเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ “ถุย!! ฝากแล้วมาเอาคืนด้วยเล่า!” ฉู่หลิงพ่นน้ำลายตามหลังคนโฉดชั่วทั้งสอง “พี่สาว” หลิ่วจีกระตุกแขนรั้งตัวนางเอาไว้อีกครั้ง น้ำตาที่คลอเต็มสองเบ้าตาใกล้จะหยดลงมารอมร่อ เสียงร้องขอเบาหวิวราวกับลูกแมวหมดแรง ทำให้ฉู่หลิงเลิกใช้สายตาอาฆาตแค้นมองไปที่มนุษย์สองคนนั้นแล้วหันมามองเด็กๆ ที่ยืนอยู่รอบตัวแทน “เจ้าใช้การได้เลยทีเดียว หากพบเจอกันเร็วกว่านี้ข้าจะให้เจ้าเป็นสมุนมือหนึ่งของข้า” หญิงสาวตบไหล่เจียวจูเบาๆ สองครั้ง เด็กมนุษย์ผู้นี้กล้าหาญ เสียดายเหลือเกินที่ตนกัดใครไม่ได้ในเวลานี้ “เอาล่ะ หากผู้พิทักษ์ตามมาก็บอกเขาได้เลยว่าข้าจะไปลงโลงแล้ว ถือว่าพวกเจ้ามีบุญคุณข้าจะเตือนสักหน่อย พวกเจ้ารีบกลับเข้าเขตไปเสียหากมีแวมไพร์ได้กลิ่นพวกเจ้าแล้วจะลำบาก” หญิงสาวกล่าวจบก็เดินอาดๆ แหวกเถาวัลย์ปากอุโมงค์เตรียมจะกลับไปนอนในโลงตามเดิม “เดี๋ยวนะ!! ข้าควรจะอยู่ในสถาบันวิจัยภายในเขตปลอดแวมไพร์ไม่ใช่หรือ แล้วที่นี่มันที่ไหนกัน" หญิงสาวหันกลับมาหากลุ่มเด็กมอมแมมทั้งสิบคนอีกครั้ง เพิ่งจะสังเกตว่าเสื้อผ้าหน้าผม เครื่องแต่งกายของคนชั่วสองคนเมื่อครู่กับเด็กเหล่านี้ก็แปลกประหลาดเหมือนกัน สถานที่ที่นางยืนอยู่นี่ก็แปลก ตกลงเรื่องราวมันยังไงกันแน่ “ทางเข้าเขตอยู่ตรงไหน หรือหอสังเกตการณ์หงไถอยู่ตรงไหน ข้าออกมาอยู่ในป่านี้ได้อย่างไรกัน พวกเจ้ารีบพาข้ากลับไปที่หอหงไถก่อน ข้าถูกฉีดยาแล้วพวกเจ้าไม่ต้องกลัว” หญิงสาวเดินกลับมาถามเจียวจูเด็กหญิงที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มและดูเหมือนจะเป็นผู้นำของเด็กๆ เพิกเฉยกับเรื่องเสื้อผ้าและทรงผมแปลกๆ ของเด็กมนุษย์กลุ่มนี้ไปชั่วคราว “เอ๋! ข้าเปิดฝาโลงออกมาเองไม่ใช่หรือ โลงก็อยู่ในห้องหินแห่งนั้น ช่วงเวลาไม่เกิน 5 นาทีเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครแบกโลงข้าออกมาไกลถึงนอกเขตนี่” นางมั่นใจว่าตนเองไม่ได้อยู่ภายในเขตปลอดแวมไพร์ที่ทันสมัยและสะอาดหมดจดอย่างแน่นอน โลกภายนอกแม้จะเหลือเพียงตึกสูงระฟ้าที่ถูกทิ้งร้างตั้งตระหง่านอยู่ทั่วเมือง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีพื้นที่ป่าหรือสวนสาธารณะ ต่างกับภายในเขตปลอดแวมไพร์ที่ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสังเคราะห์ทั้งหมด ดินที่เข้าปากนางไปขณะที่ดิ้นรนต่อสู้กับไอ้ตัวเหม็นสองคนนั้น บ่งบอกได้ชัดว่าเป็นดินจริงจากโลกภายนอก ไม่ใช่ดินสังเคราะห์ลอกเลียนแบบแต่อย่างใด หญิงสาวชักเท้ากลับไปทางปากอุโมงค์อีกครั้ง เตรียมจะไปดูโลงศพของตนให้เห็นกับตา “ที่แท้นางก็เป็นหญิงเสียสติ” เจียวจ้านทำสัญญาณให้สหายทุกคนล้อมวงเข้าหากัน กระซิบกระซาบกันเบาๆ “ข้าคิดว่านางเป็นคนหลงทางมาเสียอีก จะได้ชวนนางไปอยู่กับพวกเรา เสียดายจัง” หลิ่วจีเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวคนงามแล้วส่งเสียงแมวป่วยออกมาอีกครั้งด้วยความอาลัย นางปรารถนาให้มีสตรีสักคนเข้ามาอยู่ในหอหงไถ จะได้มาช่วยดูแลพวกตนเหมือนกลุ่มพี่สาวที่เคยอยู่ที่นั่น “นี่!! ข้าได้ยินที่พวกเจ้าคุยกันนะ ข้าไม่ได้บ้า” ฉู่หลิงหันมาตวาดลั่น กลุ่มเด็กสิบคนรีบกลับมายืนตรงด้วยท่าทางปกติ พยักหน้าหงึกหงักโดยพร้อมเพรียงกัน คนเขาบอกว่าตัวเองไม่บ้านั่นล่ะคือบ้า!! “ตกลงหอสังเกตการณ์หงไถที่พวกเจ้าอยู่นั่นอยู่ที่ไหนกัน พาข้าไปได้หรือไม่” “ได้เจ้าค่ะ” หลิ่วจีรีบตอบกลับเปลี่ยนสีหน้าเป็นสดใสขึ้นทันใด “รอข้าเดี๋ยว เดี๋ยวข้ากลับไปดูโลงข้าสักหน่อย” ฉู่หลิงขอตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้ง ว่านางได้ก้าวออกมาจากโลงศพของตนเองจริงหรือไม่ “พี่สาวช้าก่อน ข้างในนั้นมันมืด เดี๋ยวพวกเราจุดคบไฟให้ท่านถือติดมือไปด้วย” เจียวจ้านรีบตะโกนบอก ภายในใจก็เต้นกระหน่ำรุนแรง อย่าบอกนะว่าพี่สาวผู้นี้พักอาศัยอยู่ในโลงศพ!! แวมไพร์สาวหยุดคิดชั่วครู่ก่อนจะตอบตกลง หากเป็นตอนที่ตนเองยังมีพลังอันแข็งแกร่งในฐานะแวมไพร์ นางสามารถมองเห็นทุกสิ่งอย่างในความมืดได้อย่างชัดเจน แต่เวลานี้ไม่ใช่แล้ว หากอยากจะตรวจสอบให้ละเอียดสักหน่อย มีไฟไปด้วยก็คงจะดีไม่น้อย “ทำอะไรกันน่ะ ไม่มีใครพกไฟแชคมาสักคนเลยหรือไง” หญิงสาวเริ่มหงุดหงิดเมื่อเห็นเด็กชายตัวผอมกะหร่อง ใช้หินสองก้อนตีกันอยู่หลายที แต่ก็ยังไม่สามารถจุดไฟลงบนหญ้าแห้งให้ลุกติดขึ้นมาได้ “นี่เรียกว่าหินเหล็กไฟ เอามันมากระทบกันก็จะเกิดประกายไฟ ท่านรออีกเดี๋ยวเดียวเท่านั้นขอรับ” เด็กชายอธิบายตอบกลับด้วยความสุภาพ กว่าฉู่หลิงจะได้คบไฟที่เด็กๆ ฉีกชายเสื้อผ้าบนร่างกายมาพันเข้ากับปลายไม้แล้วจุดมันจากกองหญ้าแห้งที่เพิ่งก่อติด ก็กินเวลาไปอีกพักใหญ่ นางรับคบไฟแล้วกำชับให้เด็กๆ เข้าไปรอนางอยู่ที่ปากอุโมงค์ “พวกเจ้าเดินหลบเข้ามาซ่อนตัวด้านในก่อน ที่นี่ยังไม่ปลอดภัยเวลานี้ข้าเองก็ช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้ด้วยนะ” เด็กชายหญิงสิบคนซึ้งใจจนน้ำตาแทบจะร่วง นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีผู้ใดเคยคิดห่วงพวกเขาเช่นนี้ ทุกคนจึงเดิมตามฉู่หลิงไปอย่างว่าง่าย น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก หญิงสาวใช้มือผลักบานประตูหินทางเข้าถ้ำลับไปพร้อมกับคบไฟในมือ ทันทีที่นางเข้ามาประตูหินก็ปิดกลับไปดังเดิม ฉู่หลิงเลื่อนคบไฟไปสำรวจที่ฝาโลงเป็นอันดับแรก นางนอนเหงาๆ อยู่ในโลงก็เลยใช้เล็บตะกายฝาโลงศพซึ่งทำจากไม้ ตั้งใจจะส่งเสียงกวนประสาทหมอและผู้ดูแลจากสถาบันวิจัยให้รำคาญเล่น แต่นางลืมไปว่าตนเองไม่ได้มีเล็บแหลมคมยาวเฟื้อยอีกต่อไป นิ้วมืออ่อนนุ่มของตนจึงถูกเสี้ยนไม้ฝาโลงแทงสวนเข้าไปจนเลือดไหล “ใช่แล้ว ข้าก็อยู่ในโลงนี้มาตั้งแต่ต้น ยังมีรอยเลือดติดเศษไม้แตกที่ฝาโลงด้านในอยู่เลย” หญิงสาวรำพันออกมา ใช้นิ้วลูบคลำร่องรอยเลือดจางๆ ที่หลงเหลืออยู่ “เอ๋..” หญิงสาวสะดุดตาเข้ากับความเปลี่ยนแปลงบางอย่างบนฝาโลง ซึ่งก่อนหน้านี้นางนอนจ้องอยู่นานก็ไม่เห็น รูปทรงอักขระเวทที่แวมไพร์ทุกคนสามารถอ่านได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับข้อความชุดหนึ่งที่อ่านได้ใจความว่า โลงศพนี้เป็นโลงศพเก่าแก่ที่ตกทอดต่อกันมาจากแวมไพร์สายเลือดแท้เมื่อหลายร้อยปีก่อน เจ้าของโลงศพรุ่นหลังในยุคก่อนที่มนุษย์จะสร้างเขตปลอดแวมไพร์ขึ้นมา ได้สร้างอักขระเวทไว้ที่ฝาโลงใบนี้เพื่อเตรียมการไว้ภายหน้า หากในอนาคตแวมไพร์ถูกกำจัดและจวนเจียนจะสูญพันธุ์ ก็ให้ใช้เลือดของแวมไพร์สาวพรหมจารีหยดลงที่ฝาโลง อักขระเวทจะส่งโลงพร้อมกับคนในโลงไปยังที่ใดที่หนึ่ง เพื่อก่อกำเนิดสายพันธุ์แวมไพร์สืบต่อไปไม่ให้สูญหายไปจากโลก “อื้อฮือ ถึงกับสร้างโลงศพเทเลพอร์ต” ฉู่หลิงอึ้งงันตาค้างกับความสามารถอันล้ำลึกของแวมไพร์รุ่นพี่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD