ตอนที่ 4 แวมไพร์มังสวิรัติ

1787 Words
“ข้าฉู่หลิง ข้าจำไม่ได้หรอกว่าเมื่อก่อนข้าอยู่ที่ไหน รู้เพียงข้าไม่มีญาติพี่น้องเดินทางเร่ร่อนไปเรื่อย ในกลุ่มพวกเจ้าหากไม่มีผู้ใดคัดค้านข้าก็เต็มใจจะไปอยู่ที่หอหงไถและจะช่วยพวกเจ้าทำงานหาอาหารอีกด้วย ตกลงหรือไม่” เห็นอีกฝ่ายมีชื่อซ้ำยังเริ่มจะพูดจารู้เรื่อง เด็กหลายคนสีหน้ายิ่งเบิกบานใจกว่าเดิม ในที่สุดหอหงไถก็จะมีพี่สาว ต่อไปก็จะมีบุรุษมาจับจ่ายใช้เงินที่หอ พวกเขาก็จะมีอาหารและรางวัลให้อิ่มท้องแล้วใช่หรือไม่! “ตกลงเจ้าค่ะพี่สาวหลิงหลิง” เจียวจูเขกศีรษะเด็กรุ่นน้องหลายคนเบาๆ ไม่ได้อธิบายว่าพี่สาวฉู่หลิงจะไม่ได้ทำงานอย่างที่พวกเขาเข้าใจ และนางก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเช่นกันเพราะน้อง ๆ ในหอหงไถหลายคนไม่ได้รู้จักคำว่าหญิงคณิกาด้วยซ้ำ พวกเขารู้เพียงว่าพี่สาวเหล่านั้นหาเงินเก่งและงดงาม “เช่นนั้นเราก็ไปที่หอหงไถกันได้แล้วสินะ” ฉู่หลิงรีบลุกขึ้นปัดฝุ่นดินออกจากเสื้อคลุมที่สวมอยู่เดินออกมาหาเด็กๆ “ยังไปเวลานี้ไม่ได้เจ้าค่ะ พวกเราต้องเก็บผักป่ากลับไปทำอาหารด้วย อีกอย่าง..เจียวจ้าน เจ้าวิ่งกลับไปที่หอหงไถสักรอบเถิด ค้นหาเสื้อผ้าที่พี่สาวหลิงหลิงใส่ได้มาสักชุดหนึ่ง” อยู่ในอุโมงค์มืดก็ยังพอทำเนา พอออกมายืนกลางแจ้ง ชุดสีขาวบางเบาของฉู่หลิงก็น่าขายหน้าอยู่ไม่น้อย แต่เด็กเหล่านี้อยู่กับนางคณิกาสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นจนชินตาจึงไม่รู้สึกอะไร เจียวจูพี่สาวใหญ่สุดในหอหงไถพยายามอย่างยิ่งที่จะสั่งสอนน้อง ๆ ในสิ่งที่ถูกที่ควร แต่นางก็ยังเป็นเพียงเด็กหญิงอายุ 12 ความรู้แค่หางอึ่ง ไหนจะต้องดูแลน้อง ๆ ฝูงใหญ่ หลายเรื่องจึงไม่ได้สั่งสอนเด็กๆ ได้ดีนัก เด็กสาวลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ความหวังว่าจะมีฉู่หลิงมาช่วยอีกแรงดูแล้วก็ยังมืดมน เพราะพี่สาวเองยังไม่รู้สึกเขินอายกับเสื้อผ้าบางเบาชิ้นนั้นเลยสักนิด ฉู่หลิงใช่ว่าจะไม่รู้ว่าเจียวจูคิดอะไร แต่หากเทียบกับยุคสมัยที่นางจากมาเสื้อคลุมตัวยาวชิ้นนี้ก็ไม่ได้สร้างความอับอายอะไรมากนักให้กับผู้สวมใส่ แต่เมื่อนึกถึงยุคสมัยและขนบธรรมเนียมหญิงสาวก็พร้อมจะปรับเปลี่ยน ไม่อย่างนั้นนางคงเอาตัวรอดได้ยากเช่นกัน “หลิ่วจี เจ้านั่งอยู่เป็นเพื่อนพี่หลิงหลิงของเจ้าก่อน พวกเราที่เหลือรีบไปหาผักป่ากันก่อนเร็วเข้า” เจียวจูออกคำสั่งกับเด็กที่เหลืออีกแปดคน ผ่านไปพักใหญ่ เจียวจ้านก็ยิ่งกระหืดกระหอบกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดสีน้ำเงินเทาดูหรูหรากรุยกรายชุดหนึ่ง “ชุดนี้เป็นของพี่สาวเจียวจิน นางยังไม่เคยสวมใส่เลยขอรับ ข้าเลือกมาให้พี่หลิงหลิงโดยเฉพาะเลยนะ” เจียวจ้านส่งชุดสีน้ำเงินรวมทั้งชุดตัวในและรองเท้าซึ่งเคยเป็นของเจียวจินให้ฉู่หลิง เจียวจ้านรู้จากคำหยอกล้อของพี่สาวหลายคนในหอหงไถว่าเจียวจินก็คือมารดาของตนและเจียวจู แต่เจียวจินกลับไม่ยอมให้พวกตนเรียกว่าท่านแม่ อนุญาตให้เรียกว่าพี่สาวเจียวจินเท่านั้น แม้มารดาจะไม่ยอมรับแต่ก็ยังดูแลเจียวจูและเจียวจ้านเป็นพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ๆ เขาจึงรู้จักสิ่งของส่วนตัวของเจียวจินทุกชิ้น ฉู่หลิงเดินกลับเข้าไปหลังเถาวัลย์เปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูแตกต่างจากชุดที่เด็กๆ สวมใส่อยู่ลิบลับ ดูแล้วเสื้อผ้าของนางคณิกาในหอหงไถที่มีสีสันฉูดฉาดพวกนางคงจะทิ้งเอาไว้ทั้งหมดแล้วจากไปด้วยเสื้อผ้าธรรมดาเพื่อชุบตัวเป็นหญิงชาวบ้านเสียมากกว่า “เสร็จแล้ว ข้างามหรือไม่” หญิงสาวเดินออมาหมุนกายรอบหนึ่งโบกมือให้เจียวจ้านและหลิ่วจีตามแบบฉบับนางงาม “งามเจ้าค่ะ ท่านต้องได้เป็นดาวประจำหอแน่ ๆ เลยพี่สาวหลิงๆ เมื่อก่อนพี่สาวเจียวจินก็เป็นดาว นางมีเงินมากเลยนะเจ้าคะ” หลิ่วจีตบมือรัวสีหน้าเบิกบาน แม้แต่น้ำเสียงที่เคยเป็นแมวป่วยก็กลับกลายเป็นแมวน้อยออดอ้อนซุกซนขึ้นมาทันที แม้จะรู้สึกกระอักกระอ่วนกับคำว่าดาวประจำหอของเด็กหญิงอยู่บ้างแต่หญิงสาวก็ไม่มีชุดอื่นให้เปลี่ยนแล้ว “จริงสิข้าถามอีกนิด ข้าได้ยินเพียงเจ้าเรียกชื่อกันแล้วพวกเจ้าใช้แซ่อะไรเล่า” หญิงสาวเข้าใจดีว่าเด็กๆ เกิดจากนางคณิกา แต่ก็คิดว่าอย่างน้อยแม่เล้าเจ้าของหอคงจะไม่ใจดำถึงขนาดไม่มอบแซ่ให้พวกเขากระมัง “พวกเราไม่มีแซ่นำหน้าชื่อหรอกขอรับ เรียกแค่ชื่อก็พอแล้ว” เจียวจ้านตอบสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่ตนไม่มีบิดามารดา อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยา ทำให้หัวใจของแวมไพร์สาวกระตุกวูบด้วยความรู้สึกเวทนาสงสารมาครู่หนึ่ง นางสะบัดหน้าไล่ความคิดอ่อนไหวของตนเองออกไปอย่างรวดเร็ว “ไปช่วยคนอื่น ๆ เก็บผักป่าก่อนก็แล้วกัน ข้าอยากกลับไปเห็นบ้านใหม่ของข้าเต็มทนแล้ว” เจียวจูยืนตาค้างน้ำตารื้นคิดถึงเจียวจินขึ้นมาครู่หนึ่งเมื่อเห็นฉู่หลิงสวมใส่ชุดของผู้เป็นมารดาตลอดกาลของนางเดินเข้ามาใกล้ ฉู่หลิงไม่ได้ล่วงรู้ถึงต้นสายปลายเหตุของการตกตะลึงของเด็กสาวแต่อย่างใด แต่เมื่อเห็นว่านางกลับมาทำสีหน้าเรียบเฉย ออกคำสั่งให้น้อง ๆ รวบรวมผักป่าและเห็ดมาใส่ที่ตะกร้าที่อยู่บนแผ่นหลังของตน นางก็พอจะดูออกว่าเจียวจูเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบกับน้อง ๆ สูงมาก “เก็บกันเสร็จแล้วหรือ ข้ากำลังจะมาช่วยอยู่เลย” “ยังหรอกเจ้าค่ะ ต้องให้ได้เท่านี้อีกสักตะกร้าหนึ่งถึงจะพอ” เจียวจูตอบ “พวกเจ้าเก็บผักป่ามากมายถึงเพียงนี้แล้วกินเข้าไปหมดหรือไร!” ฉู่หลิงมองตะกร้าสานที่เจียวจูแบกอยู่บนหลัง ขนาดของมันก็ไม่น้อย หากเทียบกับร่างกายที่ผ่ายผอมของเด็กทั้งสิบคนแล้วดูเหมือนมันจะไม่ค่อยสอดคล้องกันเท่าใดนัก “พี่สาวพวกเราไม่ได้มีกันแค่สิบคน อีกอย่างผักป่าเหล่านี้หากไม่รีบเก็บวันต่อไปก็อาจมีชาวบ้านมาเก็บไปก่อน หาได้มากเท่าใดเราก็จะมีกินหลายวันมากขึ้นเท่านั้นเจ้าค่ะ” “เข้าใจแล้ว เอาล่ะข้าจะช่วยเอง” ฉู่หลิงดึงสายสะพายคล้องตะกร้าออกจากหลังของเจียวจูมาแบกเอาไว้แทน ถึงนางจะไม่มีพละกำลังมากมาย แต่ก็ยังแข็งแรงกว่าเจียวจูมากนัก “พี่หลิงหลิง..” เด็กสาวใจอ่อนยวบ ต่อให้เป็นเจียวจินที่เคยเอาใจใส่นางและเจียวจ้านมากกว่าเด็กคนอื่น แต่ก็ไม่เคยเลยที่นางจะรับงานหนักไปทำแทนเช่นฉู่หลิง ทำให้เจียวจูถึงกับน้ำตาคลอ “เจ้าอย่ามัวพิรี้พิไร สิ่งที่ข้าต้องการก็มีเพียงให้พวกเจ้าเติบโตแข็งแรงสมบูรณ์เท่านั้นล่ะ ข้าไม่ได้เป็นคนใจดีหรอกนะ” หญิงสาวรีบตัดบท รู้สึกว่ายารักษาที่อยู่ในร่างกายตนช่างพิเศษนัก มันสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้แม้กระทั่งจิตใจ เมื่อครู่นางรู้สึกเห็นอกเห็นใจเด็กมนุษย์กลุ่มนี้ขึ้นมาเชียวนะ!! พอมีฉู่หลิงเข้ามาช่วยอีกแรง เด็กๆ ก็คล้ายว่าจะมีกำลังมากกว่าเดิม พวกเขาผลัดกันมาสอนฉู่หลิงให้รู้จักผักป่าที่สามารถเก็บไปกินได้หลายชนิด เพราะหญิงสาวไม่รู้จักพวกมันเลยแม้แต่น้อย มีผักบางอย่างที่นางเคยเห็น แต่ที่นี่เด็กๆ ก็เรียกเหมารวมผักทุกอย่างว่าเป็นผักป่าทั้งหมด เก็บผักป่าในพื้นที่ใกล้เคียงได้มากพอสมควร เจียวจูจึงยังคงเป็นผู้นำออกคำสั่งให้น้อง ๆ พากันเดินกลับหอหงไถได้ ท่ามกลางความดีใจของทุกคนที่วันนี้จะมีพี่สาวหลิงหลิงเข้ามานอนอยู่ในหอเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน เดินทางมาถึงลำธารเล็กๆ สายหนึ่งสุดเขตชายป่าซึ่งไม่ไกลมากนัก เจียวจ้านก็อาสามาช่วยพยุงร่างของฉู่หลิงเอาไว้โดยยื่นมือเล็กๆ ของเขาไปให้พี่สาวเกาะกุม “พี่หลิงหลิง ลำธารข้างหน้าไม่ลึกเท่าไร แต่หากท่านไม่อยากให้รองเท้าเปียก ท่านต้องก้าวเหยียบหินตามข้านะขอรับ” ฉู่หลิงเห็นเด็กชายอีกสองคนในกลุ่ม ก็ยื่นมือออกไปให้เด็กผู้หญิงอีกสองคนจับและพาพวกนางเดินข้ามลำธารบนก้อนหินไปล่วงหน้าเช่นกัน นางหันมามองมือที่ยื่นค้างเอาไว้ของเด็กชาย ความรู้สึกไม่คุ้นชินกับความอบอุ่นสายหนึ่งวาบผ่านเข้าสู่จิตใจหญิงสาว แต่นางก็เลือกไม่ยื่นมือออกไปหาเจียวจ้าน “เจ้าเดินนำไป ข้าจะเดินตามเองไม่ต้องช่วยข้า” หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็งทำให้เจียวจ้านหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย แต่ก็ยินยอมเป็นผู้นำทางที่ดีและยังคอยระวังไม่ให้พี่สาวคนงามต้องเกิดอันตรายอีกด้วย ฉู่หลิงก้าวขาเหยียบก้อนหินทีละก้อนเพื่อข้ามลำธาร นางมั่นใจในความสามารถด้านการทรงตัวของตนอยู่ไม่น้อย แต่ก่อนนางสามารถกระโดดข้ามกำแพงหรือต้นไม้ไปจับนกกินได้สบายๆ เลยด้วยซ้ำ “ที่นี่มีปลาตั้งมากมาย พวกเราหยุดจับปลากันก่อนดีหรือไม่” ฉู่หลิงมองไปรอบตัวเห็นมีฝูงปลาตัวเล็กตัวใหญ่แหวกว่ายอยู่ในลำธารไม่น้อยเลยทีเดียว หากเป็นในโลกก่อนนางคงจะคว้ามาฉีกเนื้อ แล้วปล่อยให้เลือดปลาไหลลงคอเป็นภาพที่งดงามเหลือเกินในความคิดหญิงสาว ที่สำคัญนางเป็นแวมไพร์นะ จะให้กินแต่ผักได้อย่างไรกัน มีอย่างที่ไหนแวมไพร์กินมังสวิรัติ!!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD