เอี๊ยด...
“ว้าย”
“บ้าชิบ”
เขาเบรกจนตัวโก่งจนรถเกือบชนคันข้างหน้าเนื่องจากว่ามัวแต่มองเธอแล้วทำอะไรไม่ถูกจนลืมเบรกจะไปจูบท้ายรถคันก่อนหน้า... เมื่อสถานการณ์ระหว่างเธอและเขามันดีจนคนตัวโตชักไม่คุ้นชิน และทำให้เขาชักวางตัวลำบาก.. ปากของเขาจึงนำพาเพื่อกลับเข้าสู่สถานการณ์เดิมเพื่อเรียกความสบายใจและเป็นตัวของตัวเองกลับคืนมา
“ขอโทษทีตกใจที่เห็นหน้าคุณเลยลืมเบรก... แต่งหน้าใหม่ก่อนเถอะ ก่อนที่ผมจะตกใจมากกว่านี้”
“อะไรนะคะ หน้าฉันเลอะเหรอ” มือบางกุมหน้าตัวเองทำหน้าเหรอๆ เมื่อเขาพยักหน้าเจ้าตัว รีบควานหากระจกจากกระเป๋าแล้วก็พบว่าตนเองมัวแต่รีบออกมาจนลืมว่าไม่ได้เอากระเป๋าใส่เครื่องสำอางใบเล็กมาเลย...
“ทำไงดีล่ะทีนี้”
“คุณมีกระจกไหมคะ...”
“น่าจะมีนะ ดูที่เก๊ะตรงหน้าคุณสิ ผมไม่แน่ใจ” เขาตอบเลี่ยงๆ เพราะไม่ได้สนใจมากเท่าไหร่ ของที่มีก็ใส่สุมๆ ไว้ แต่คิดว่าน่าจะมีเพราะคู่ควงคนล่าสุดที่เลิกไปนั้นมักจะวางกระจกที่เธอชอบใช้แต่งหน้าบนรถไว้ที่นั่น ตั้งแต่ตอนนั้นมาเขายังไม่ได้สะสางเอาอะไรออกจากรถ มันจึงน่าจะยังอยู่...
เมื่อรถติดไฟแดงเขาหันไปมองคนข้างๆ ที่เงียบไปไม่รู้ว่าพบกระจกหรือเปล่า... แต่เจ้าของรถก็ต้องกระอักกระอ่วนขึ้นมาเมื่อเห็นตติยาภาทำตาโตกับของที่เห็นในรถ... เขาว่าเขาค่อนข้างเป็นคนที่หน้าด้านเขายังอายกับสิ่งที่กองระเกะระกะอยู่ในนั้น...
บุหรี่มาโบโร่สีเขียวสี่ห้ากล่องวางอยู่ นั่นมันไม่เท่าไหร่ แต่กล่องถุงยางอนามัยที่บ่งบอกไซส์ใหญ่สุดเท่าที่มีวางขายจำนวนกล่องมากกว่าบุหรี่เท่าตัวหนึ่ง แถมกระจกอันโตที่วางอยู่สะท้อนกล่องถุงยางอนามัยทำให้ดูเหมือนว่ามันมีมากกว่าเดิมอีกเท่าตัวหนึ่งอีกต่างหากที่ทำให้ทั้งสองต่างพูดไม่ออกกับสิ่งที่เห็น
มือหนาล้วงไปดึงกระจกมาให้เธอ ก่อนจะตบฝาเก๊ะขึ้นปิด แล้วออกรถไปเมื่อพ้นไฟแดง...
รถทั้งคันเงียบพักหนึ่งเพราะต่างคนต่างไม่มีอะไรจะพูด...
“หน้าฉันไม่เห็นเลอะ” เธออ้อมแอ้มพูดขึ้นมา
“ของนั่น...” เขากับเธอพูดขึ้นมาพร้อมกัน... แล้วก็เงียบไป...
“คุณสูบบุหรี่มากขนาดนี้เลยเหรอ” เธออ้อมแอ้มถามอีกเรื่อง พยายามไม่โฟกัสไปที่ถุงยางอนามัยนั่นเลย...
“ก็นิดหน่อย”
“เป็นคนที่ดูแลคนอื่นแท้ๆ แต่ไม่เคยรักษาสุขภาพตัวเอง”
“เครียดน่ะ ติดมาตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว”
“รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดี รู้ทั้งรู้ว่าควรจะเลิกยังไง ทำไมยังไม่เลิก เมื่อวันก่อนฉันก็เห็นคุณแอบดูด มันเป็นภาพที่ไม่ดี ทำไมไม่เลิก ไม่กลัวคนอื่นมองไม่ดีหรือไง แต่จะว่าไปแล้วคนอื่นมองไม่ดีไม่เท่าไหร่ แต่ปอดคุณจะพังเองน่ะสิ” เธอบอกนิสัยของหมอที่คอยเตือนผู้คนให้ดูแลตัวเองอยู่เป็นนิจ เห็นคนที่รู้ดีเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพไม่ดูแลตัวเองเลยแล้วก็หมั่นไส้ แล้วอย่างนี้เขาจะดูแลคนอื่นได้อย่างไร
“ติดมาตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว เครียด เพื่อนผู้หญิงก็ดูดเหมือนกัน รู้ทั้งรู้ล่ะว่ามันไม่ดี แต่ทางออกมันอยู่ตรงนี้”
“อย่างอื่นมีให้ทำตั้งมากมายนี่คะ เลิกตอนนี้ยังทันนะคุณ”
“อืม จะพยายาม ช่วยหน่อยก็แล้วกันนะ”
“ก็ได้ค่ะ” เธอตอบอย่างยินดี อย่างน้อยก็ช่วยให้คนหนึ่งคนในโลกนี้สุขภาพดีขึ้น... และเพื่อตอบแทนที่ เขาให้กำลังใจเรื่องที่เธออกหักก็แล้วกัน...
“จริงๆ นะ” เขาย้ำ
“ก็จริงนะสิ” เธอบอกอย่างมั่นใจ มั่นใจจนไม่รู้เลยว่าคำพูดนี้มันจะทำให้เธอแทบอยากกัดลิ้นตัวเองตายทีหลังที่ไปตกลงว่าจะช่วยเขา “คุณเลิกให้มันได้จริงจังก็แล้วกัน”
“ผมว่าผมคงจะเลิกอย่างจริงจังแล้วล่ะ คนพูดตอบยิ้มๆ พร้อมกับหมุนพวงมาลัยเลี้ยวเข้าโรงพยาบาลที่เขาและเธอทำงานอยู่...
วันนี้ตติยาภารู้สึกว่าการที่เธอเดินทางมาทำงานที่โรงพยาบาลด้วยระยะเวลาที่ยาวนานกว่าทุกวัน อาจจะด้วยรถติดหรืออะไรก็ตามแต่ แต่เธอรู้สึกว่ามันไม่ได้แย่เหมือนเช่นทุกวันที่ต้องติดรถมากับเขา...
เธอลงจากรถเขาแล้วเอ่ยคำขอบคุณ ด้วยสายตาที่มองเขาดีกว่าที่เคย...
“สวัสดีจ๊ะตาล” ระหว่างที่ตติยาภาเดินไปที่ห้องพักของเด็กหญิงปุญญาพรเพื่อเยี่ยมไข้นั้นมีคนมาทักเธอ... วินาทีที่สบตาเจ้าของเสียงหวานบาดหูกับรอยยิ้มไม่จริงใจของคนทักนั้นเธออึ้ง แต่มันเป็นเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น เพราะเธอสามารถที่จะยิ้มให้พราวดาวได้เหมือนว่าไม่ได้มีความรู้สึกอะไรอยู่ในใจ...
“สวัสดีจ๊ะพราวดาว พักนี้เธอหน้าตาดูสดใสนะ”
“ฉันกำลังจะเป็นแม่คน... ไม่รู้ว่าพี่นัทบอกเธอไปหรือยัง ฉัน เอ่อ ขอโทษนะตาล...” คำพูดของหมอสาวนั้นเหมือนรู้สึกผิดแต่แววตากลับเยาะเย้ยสะใจ พราวดาวหัวเราะในใจเมื่อเห็นอาการเสียใจที่ปิดไม่มิดของตติยาภา แต่มันไม่ทำให้เธอสะใจเท่าที่ควร เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เสียใจมากเท่าที่ตนอยากให้เป็น...
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้ว่าอะไร เราคบกันมาไม่ได้มีอะไรเกินเลยกัน มีแต่ความรู้สึกดีๆ ต่อกันไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น พอบทจะเลิกกันแค่ลืมความรู้สึกดีๆ นั้นแล้วก็แยกกัน มันไม่ได้ยากอะไร...”
พราวดาวแทบเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน.... มีด้วยหรือสมัยนี้คนที่คบกันแล้วไม่มีอะไรกัน มิน่าเล่าตติยาภาถึงไม่ได้ฟูมฟายเท่าที่ควร
“แต่เธอคงเสียใจน่าดู ฉันรู้สึกผิดมากนะที่ทำให้เธอต้องเลิกกับคนรัก ถ้าฉันไม่ท้อง ฉันคงไม่ทำให้เธอลำบาก เธอคงเข้าใจฉันนะว่าลูกฉันขาดพ่อไม่ได้”
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ เธออย่าคิดมากเลยจะไม่ดีต่อลูกเธอนะ... ต่อจากนี้ไปฉันกับหมอนัทก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันไม่ได้เป็นแฟนกัน เธออย่าคิดมากอีกเลยจ้ะ เดี๋ยวจะมองหน้ากันไม่ติดเปล่าๆ ขอให้มีความสุขกับชีวิตครอบครัวนะ พี่นัทเป็นคนดีมาก เขาจะต้องดูแลเธอกับลูกเป็นอย่างดีแน่นอน ได้เขาไปแล้วเธอก็อย่าทิ้งเขาล่ะ”
ใบหน้าเจือเศร้าบอกราวกับว่านั่งอยู่ในใจพราวดาวจึงได้รู้ว่าพราวดาวจงใจสานสัมพันธ์กับอัศวธรเพียงเพื่อเอาชนะตติยาภาเท่านั้น หากตติยาภาไม่เสียใจเท่าที่ควรความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นได้
ตติยาภาขอตัวเดินจากไปโดยมีสายตาที่มองอย่างไม่เข้าใจของแพทย์หญิงพราวดาวเดินตามหลัง... แม้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เสียใจเท่าที่คิดแต่เธอก็คิดว่าการที่เธอทำให้อีกคนผิดหวังได้แล้วเธอก็เป็นสุขขึ้นมา...
เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกอยากแข่งขันกับเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเด็กคนนี้นักหนา เรียนมาด้วยกันตติยาภาก็เก่งกว่าเธอตลอด ทั้งที่พราวดาวร่ำรวยกว่าคอยซื้อขนมเลี้ยงเพื่อนอยู่เสมอ แต่เพื่อนก็ไม่รักเธอเท่าตติยาภา อาจารย์ก็เรียกใช้แต่ตติยาภา ตอนที่เรียนตติยาภาได้เกรดดีเป็นที่หนึ่งเสมอทั้งที่ไม่เคยเรียนพิเศษหรือกวดวิชาอะไร ผิดกับเธอที่ต้องเข้าเรียนเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อทำคะแนนให้เท่าเพื่อนได้
เหนือกว่านั้นเธอยังริษยาที่ตติยาภามีรุ่นพี่ที่เป็นหมอมาคอยดูแล เมื่อตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเธอเลือกหมอเพราะคิดว่าตติยาภาคงเลือกเช่นกัน... แต่กลับผิดคาดเมื่อตติยาภาสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก่อนเธอแต่เป็นการเรียนแพทย์ที่ต่างประเทศ แถมเจ้าตัวยังไม่ต้องมาใช้ทุนและได้เรียนต่อเลย การงานจึงก้าวหน้ามากกว่าพราวดาวที่ต้องทำงานใช้ทุนหาประสบการณ์อีกตั้งสามปีกว่าจะเรียนต่อเฉพาะทางได้
แต่ความริษยาของเธอก็ไม่ได้จบลง เมื่อเห็นว่าตติยาภาโดดเด่นมากเมื่อสมัยเรียน หญิงสาวทำกิจกรรมต่างๆ และได้รับโล่เกียรติคุณ เป็นตัวแทนนักศึกษาที่ได้เข้าประชุมระดับนานาชาติ ในขณะที่เธอเรียนหมอเกือบไม่จบต้องซ่อมอีกเป็นปี เมื่อยามที่มาทำงานพราวดาวก็เลือกที่จะมาทำที่เดียวกับตติยาภาเพื่อชิงความเด่นเป็นเลิศ เพียงเวลาไม่นานที่เข้ามาทำงานเธอสามารถแย่งชิงอัศวธรมาได้อย่างใจ...
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะไม่เสียใจอะไร... อยากรู้นักว่างานหมั้นฉันกับแฟนเก่าเธอ เธอจะกล้าไปหรือเปล่า...”
หมอสาวพูดตามหลังเพื่อนไป... อันที่จริงอัศวธรไม่ใช่เป้าหมายเธอเท่าไหร่ เธอชอบหมอสหภพลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลมากกว่า แต่เธอก็เข้าถึงเขาไม่ค่อยได้ ความริษยาของพราวดาวเริ่มตีขึ้นมาเป็นริ้วๆ เมื่อได้เห็นว่าตติยาภาได้เข้าไปอยู่ครอบครัวเดียวกันกับสหภพและทั้งสองก็มาทำงานด้วยกันเกือบทุกวัน เรื่องนั้นมันทำให้เธออยากทำให้ตติยาภารู้สึกแย่จนต้องลงทุนปล่อยตัวและวางแผนจับอัศวธรมา...
อย่างน้อย ตติยาภาคงเสียใจไปอีกนาน... และเธอก็ยืนอยู่ในตำแหน่งผู้ชนะ ที่จะเป็นหนามทิ่มใจตติยาภาไปอีกนานเหมือนที่ตติยาภาเป็นหนามทิ่มใจเธอตลอดมา...