บทนำ
ขอเชิญเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีหมั้น
ระหว่าง
นายแพทย์อัศวธร เลิศมงคลกิจ และ แพทย์หญิงพราวดาว วันดารา
ข้อความในการ์ดสีชมพูหวานเปรียบดั่งมีดที่กรีดลงบนหัวใจของตติยาภาเมื่อได้อ่าน...
ชื่อของผู้ที่อยู่ในการ์ดสีชมพูนั้นเป็นคนใกล้ตัวเธอทั้งสองคน ฝ่ายชาย คือคนรักที่รักกันมานานหลายปี รักมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักเรียนในรั้วโรงเรียนมัธยมและเขาเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย ฝ่ายหญิงคือเพื่อนที่เรียนมาพร้อมๆ กัน
พูดไปมันก็เหมือนนิยาย สองคนที่ไม่มีทางจะมาเกี่ยวข้องกันได้มาหมั้นกัน ด้วยเหตุผลอะไรและตอนไหนเธอก็ไม่อาจจะทราบได้ เธอทราบแค่ว่าในตอนนี้ คนที่ถือการ์ดสีชมพูนั้นคือคนที่เธอรัก มันตอกย้ำให้ตติยาภารู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เกิดเพราะว่าเพื่อนที่แข่งขันกับเธอมาตลอดในทุกเรื่องทั้งๆ ที่เธอไม่อยากจะแข่งด้วยอย่างพราวดาวแกล้งเธอ...
“พี่ขอโทษ ที่เก็บไว้ไม่บอก มันเกิดปัญหาขึ้น แล้วพี่คิดว่าจะแก้ปัญหาได้ แต่ปัญหามันไม่จบเพราะพราวดาวท้อง... พี่ขอโทษจริงๆ ตาล” คำพูดที่บอกมาอย่างลำบากนั้นแทบไม่เข้าหูคนที่กำลังทำใจให้เข้มแข็งอย่างยิ่งยวด...
เหตุมันเกิดจากงานเลี้ยงรุ่นของนักเรียนแพทย์ที่เขาไปกับพราวดาว แล้วเกิดการพลั้งพลาดขึ้นมา... เขาไม่เคยบอกเธอเลย จะมาบอกก็ตอนที่พราวดาวท้องและต้องแต่งงานกันเพื่อรับผิดชอบ... เรื่องมันผ่านไปตั้งสองเดือนโดยที่ตติยาภาไม่รับรู้ความผิดปรกติอะไรและเป็นตัวอะไรที่ไม่รู้เรื่องมาตั้งนาน แล้วก็เหมือนคนรักของเธอเสยหมัดยกใหญ่เข้าปลายคางเมื่อเขาเอาการ์ดนี้มาให้แล้วไม่บอกไม่กล่าว
เหตุผลเดียวที่เขาทำเช่นนั้นคือทำใจที่จะบอกเธอไม่ได้ แต่สุดท้ายมันจำเป็นมากก็ต้องมาบอกอยู่ดี... เขาบอกก่อนที่งานจะเริ่มเพียงแค่ไม่กี่วัน...
“พี่บอกเราเองเพราะว่าพี่ไม่อยากให้เรารู้จากปากคนอื่น... พี่รับผิดชอบเขาเพราะพี่ทำผิดพลาด แต่พี่ยังรักตาลเสมอ รักไม่เคยเปลี่ยน... พี่มาบอกตรงนี้ไม่ได้หวังให้ตาลให้อภัยหรือว่ายังรู้สึกดีต่อกัน ตาลอาจจะเกลียดพี่ไปเลยก็ได้ พี่ไม่ว่า... แต่พี่แค่อยากขอโทษ ขอโทษที่ทรยศตาล”
หมอหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงลำบากใจ... ตติยาภายืนนิ่งเฉยจนเขาเดาอารมณ์เธอไม่ถูกว่าเธอจะดีใจหรือเสียใจหรือว่าช็อค เขามองร่างบอบบางที่เขารักและห่วงใยมาหลายปีด้วยความอาดูรอย่างสุดซึ้ง...
ความพลั้งพลาดนั้นหากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ทำให้มันเกิดขึ้น เพราะมันส่งผลให้เขาต้องพรากจากคนที่รัก และไม่อาจจะครอบครองได้อีกต่อไป...
“ตาล อย่าเงียบไปสิ ตาลจะโกรธ จะด่าทออะไรพี่ก็ได้”
“ก็ยังดีค่ะที่รู้สึกผิด แต่พี่นัทบอกตาลช้าไปหน่อยนะคะ” ตติยาภากัดฟันบอกเขา... “ขอให้มีความสุขมากๆ นะคะ ตาลขอโทษตรงนี้เลยแล้วกันเพราะว่าคงไปร่วมงานไม่ได้ ขออวยพรตรงนี้แล้วกันนะคะว่าขอให้โชคดี ถ้าพี่นัทรู้สึกผิดจริงๆ ตาลก็ขอให้พี่นัทไถ่โทษด้วยการที่ทำเหมือนว่าเราเป็นคนที่ไม่รู้จักกันอีกต่อไป... เพราะตาล อยากตัดพี่ออกไปจากชีวิตให้ได้... ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา และขอบคุณสำหรับวันนี้ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ”
ตติยาภาดึงการ์ดจากมือเขาแล้วเดินออกมา ใบหน้าสวยหวานเชิดระหงเรียบเฉยราวกับว่าไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งที่หัวใจเจ็บปวดเหลือจะกล่าว... เขากรีดหัวใจเธอซ้ำๆ จนไม่มีแผลเจ็บอะไร...
ตลอดเวลาที่คบกันมาเธอรู้ว่าเขาและเธอต่างรักกันมาก แต่มันจะมีความหมายอะไรล่ะ ในเมื่อความรักนั้นมันจบลงไปแล้ว...
คนรักเก่าเธอไม่ตามมาเพราะรู้จักนิสัยเธอดีว่า เธอไม่ใช่คนที่พูดมาก หากได้ตัดสินใจเรื่องอะไรไปแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนใจ การที่เขามาร้องขอให้กลับไปเป็นคนที่รู้จักหรือแม้แต่เป็นเพื่อนกัน มันไม่มีทางได้ผล...
น้ำตาของตติยาภาไหลลงมาเป็นทางเมื่อพ้นจากเขามาแล้ว เธอตั้งใจว่าจะไม่อ่อนแอ ไม่ร้องไห้ โดยเฉพาะในที่ทำงาน แต่แล้วเธอก็ไม่อาจห้ามได้...
ร่างบางหยุดยืนในมุมลับตาคน เพื่อปล่อยให้น้ำตาแห่งความอึดอัดสูญเสีย และเสียใจรินไหลออกมาให้พอ... สายตามองไปที่การ์ดที่เธอหยิบมาเก็บไว้กับตัวเพื่อตอกย้ำว่าจากนี้ไปเธอจะต้องเข้มแข็ง และลืมเรื่องทุกอย่างให้หมด... รักเขามามากมายแค่ไหนก็ต้อลืมให้หมด...
จะยากจะง่ายแค่ไหนก็ต้องทำให้ได้...
จงอกหักอย่างมีคุณค่า อย่าโง่ อย่าทำร้ายตัวเอง...
เธอบอกกับตัวเองว่าอย่างนั้น...
ความเข้มแข็งที่เธอมีมาแต่ไหนแต่ไรทำให้เธอรับกับความผิดหวังได้อย่างอัศจรรย์...
“อย่ามองกลับไปข้างหลังตาล...” เธอบอกกับตัวเองก่อนจะปาดน้ำตาทิ้ง... กลืนเก็บความร้าวรานอันมากมีเข้าในใจ ร่างบางในชุดเดรสงามคลุมทับด้วยเสื้อกาวน์สีขาวบริสุทธิ์ก้าวเดินออกมาจากมุมตึก แต่ด้วยความที่ไม่ทันได้มองทำให้เธอชนกับหมอหนุ่มที่ยืนสูบบุหรี่อยู่อีกด้านจนบุหรี่ในนิ้วมือเขากระเด็น
“อุ๊ย ขะ ขอโทษ...” คำขอโทษที่เธอตั้งใจจะเอื้อนเอ่ยอย่างเพราะพริ้งตามความเคยชินสะดุดไปเมื่อเห็นคนตรงหน้า... ดวงหน้าเธอเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยขึ้นมาทันตา...
“เป็นอะไร” เขาเอาเท้าเหยียบบุหรี่ดับไฟแล้วหันมามองใบหน้าแดงก่ำมีรอยน้ำตาของเธอ...
“ไม่เป็นอะไร หลีกทางหน่อยจะไป” เธอบอกเสียงห้วน ดวงตาเจือแววเศร้านั้นกร้าวด้วยแววเคืองขุ่นขึ้นมาเมื่อเห็นเขาเลียริมฝีปากตนเอง...
กริยาที่เขาทำเพียงแค่นั้นแทบจะเรียกเสียงกรี๊ดจากเธอได้...
“เป็นรุ่นน้องภาษาอะไร พูดกับหมอรุ่นพี่ไม่สุภาพเลย”
“นี่ไม่ใช่เวลางาน” เธอตอบเขาห้วนๆ
“เก่ง...” เขาบอกแค่นั้นแล้วก็หัวเราะก่อนจะเดินหนีไปก่อน เพื่อเปิดทางให้เธอได้เดินไปด้วยเช่นกัน...
ตติยาภามองเขาไปด้วยสายตาที่แช่งชักหักกระดูก เธอไม่ชอบใจผู้ชายที่ชื่อว่า นายแพทย์สหภพ วิชาเวชย์เจริญกิจคนนี้เลยจริงๆ
แต่เธอหนีเขาไม่พ้น เพราะมีเรื่องให้เกี่ยวข้องกันอีกหลายอย่าง เพราะนอกจากเขาจะเป็นคนที่ทำงานที่เดียวกันกับเธอแล้ว เขายังเป็นสมาชิกร่วมบ้านเธออีกด้วย
วันนี้มันเป็นวันที่แย่ของตติยาภาจริงๆ เจอเรื่องร้ายช็อคโลกแล้วยังต้องมาเจอคนที่เธอพยายามหลบหน้าตลอดอีกต่างหาก บ้าจริง