ตอนที่ห้า หัวใจบาดเจ็บกับยาแก้หัวใจอักเสบ 1

1119 Words
“เมื่อเช้าตื่นมาแล้วทำไมไม่เห็น แอบออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่...” น้ำเสียงเข้มๆ บ่งบอกอารมณ์หงุดหงิดอย่างชัดเจนของสหภพเอ่ยกับคนที่นั่งทำตัวลีบอยู่เบาะข้างคนขับทำให้คนที่อยากจะหลบหลีกเขาแต่ต้องจำใจมาด้วยนั้นอึดอัดเพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว ตื่นมาตอนเช้าเธอตั้งใจว่าจะรีบไปทำงานโดยที่ไม่ต้องติดรถไปกับเขา ยอมแม้กระทั่งหิ้วท้องไม่ทานข้าวเช้าที่บ้านไปกินที่โรงพยาบาล แต่ก็ราวกับมีพรายกระซิบบอกชายหนุ่มเพราะเธอเปิดประตูห้องออกมาเตรียมชิ่งหนีก็เห็นเขานั่งหน้าตึงรออยู่หน้าห้องแถมสวมชุดทำงานรอเธอเรียบร้อย... สรุปสุดท้ายเธอก็ต้องออกมาทำงานพร้อมกับเขาและต้องมานั่งตัวลีบในรถทนอึดอัดกับความเงียบขรึมของเขามาตลอดทางจนเขาเอ่ยปากพูดออกมานี่แหล่ะ... “ฉันไม่ชินกับเตียงคุณ กลัวนอนไม่หลับเลยกลับมานอนที่ห้อง” “งั้นคืนนี้ผมจะไปนอนห้องคุณ หวังว่าคงไม่หาเรื่องหนีไปไหนอีกหรอกนะ” เธอจะอ้าปากปฏิเสธ แต่ต้องหุบปากฉับเมื่อหันไปเห็นสายตาดุของเขา... หญิงสาวค่อยหันกลับมาก้มหน้ามองมือตัวเอง... เพราะไม่มีอะไรจะพูด และก็ทำอะไรไม่ถูกด้วย... “วันอังคารหน้าจะไปงานหมั้นของหมอนัทกับหมอพราวดาวไหม” คำถามของเขาทำให้มือเรียวเล็กบีบกันแน่น... เธอเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้วถ้าเขาไม่ถามขึ้นมา... แต่พอนึกได้ขึ้นมามันก็ทำให้รู้สึกแย่เหลือเกิน “ไม่มีเหตุผลที่ฉันต้องไปหรอกค่ะ คุณคงได้การ์ดเหมือนกัน... ฉันฝากการ์ดไปด้วยได้ไหมคะ” “ไม่ได้ ยังไงคุณก็ต้องไป... เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่คุณต้องไปคือ คุณเป็นแฟนเก่าหมอนั่น” ตติยาภาเม้มปาก ไม่แปลกใจที่เขารู้ เพราะเรื่องราวความรักของเธอกับหมอนัทก็มีคนรู้ทั่วโรงพยาบาล นี่แหล่ะที่เธอไม่ต้องการไปงานหมั้นนั้น เธอไม่รู้ว่าจะตีหน้าอย่างไรในยามที่จะต้องไปงานหมั้นของคนรักตัวเอง “ฉันไม่จำเป็นต้องไปให้ใครสนใจหรอกค่ะ แค่นี้ความเป็นส่วนตัวของฉันก็ลดทอนลงมากแล้วตั้งแต่ทุกคนได้รับการ์ดเชิญไปงานหมั้น... มีใครหลายคนพยายามที่จะถามฉันแต่ฉันไม่ตอบจนทุกคนเกรงใจและเลิกถาม ฉันคิดว่าควรใช้การเงียบและตีตัวออกห่างจากเรื่องราวเหล่านั้นเพื่อสยบปัญหา คิดว่าเวลาคงจะทำให้ทุกคนลืม” เธอเปรยกับเขาเหมือนปรึกษา ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงกล้าเอ่ยเรื่องที่ไม่เคยคิดจะพูดกับใครกับเขาก็ไม่รู้ “คุณเสียใจหรือเปล่า” เขาถามขึ้นมาเฉยๆ “เสียใจสิ... แต่ฉันทำใจได้” “คุณจะกลับไปคืนดีกับหมอนัทไหมถ้าวันหนึ่งเขาเลิกกับพราวดาวแล้วกลับมาขอคืนดีกับคุณ” “ไม่ค่ะ” “ทำไม ไม่รักเขาแล้วเหรอ” “ชีวิตของคนเราต้องเดินไปข้างหน้า... คุณก็รู้เรื่องฉันกับเขาดีนี่คะ” เธอหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา... เธอรู้จักหมอนัทมานานและรู้ว่าหมอนัทสนิทกับสหภพด้วยเช่นกันเพียงแต่เธอไม่ได้สนิทกับสหภพเพราะเธอคบกับหมอนัทแต่ไม่ได้ค่อยได้สมาคมกับเพื่อนหมอของเขาเท่าไหร่... เพราะฉะนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับเธอและหมอนัทสหภพต้องรู้ดีทุกอย่าง และเธอเชื่อว่าสหภพรู้เรื่องทุกอย่างก่อนเธอเสียอีก แต่เขาคงไม่พูดเพราะรอให้ตัวต้นเหตุเข้ามาพูดเอง “แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าฉันต้องไปงานเขาล่ะคะ” “เพื่อตัวคุณเองไงล่ะ... ไปเพื่อบอกกับทุกคนว่าคุณอยู่ได้ ให้ทุกคนเข้าใจว่าคุณยินดีกับพวกเขาสองคนและรู้เรื่องมานานแล้ว อย่าไปทำเหมือนกับว่าเป็นคนอกหักและหนีหน้าผู้คนเพราะคุณยังอยู่ในสังคมนี้อยู่ คุณจะเป็นขี้ปากของผู้คนเสียเปล่าๆ เวลาเกิดปัญหาแล้วเราไม่ได้เป็นคนผิด แล้วเราจะก้มหน้ารับกรรมทำไม เชิดหน้ายิ้มให้ผู้คนอย่างผู้ชนะสิ” “แต่ฉันไม่รู้ว่าจะเชิดหน้าอย่างไร... ฉันไม่รู้ว่าจะทนยิ้มได้หรือเปล่า” เสียงเธอเครือขึ้นมา... น้ำตาหยดใสๆ คลอหน่วยตาเจียนจะหยด ภายใต้ความเย็นชา เธอก็มีความอ่อนแอซ่อนอยู่ เพราะเธอเองก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง... แต่เธอไม่กล้าแสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็นพร่ำเพรื่อเท่านั้นเอง... มือหนายื่นมากุมมืออุ่นๆ ของเธอ หญิงสาวไม่ได้ชักมือหนี กลับรู้สึกดีเมื่อได้รับแรงบีบจากมือเขา... ความรู้สึกอบอุ่นอย่างแสนประหลาดแทรกซึมความเจ็บร้าวหนักหน่วงในหัวใจ... เธอไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองหน้าเขา เพราะไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาแห่งความอ่อนแอ... แม้จะรู้ตัวว่าไม่ค่อยถูกกับเขานักแต่ยามที่พูดเรื่องราวที่เป็นเหตุเป็นผลด้วยกันแล้ว เขากลับเป็นที่ปรึกษาที่ดีและทำให้เธอไว้ใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ... ที่สำคัญมืออุ่นๆ ข้างเดียวที่ละจากพวงมาลัยมาจับมือเธอไว้อย่างเข้าใจทั้งที่ไม่ได้ร้องขอนั้นมีพลังอย่างมหาศาลกระตุ้นให้เธอรู้สึกดีขึ้น... นี่แหล่ะที่เขาว่ายามที่เสียใจหรือว่าอกหัก หัวใจจะเปิดรับใครเข้ามาง่ายดาย... เพราว่าเป็นช่วงที่กำลังอ่อนแอถึงขีดสุดและต้องการใครสักคน เพราะฉะนั้นใครมาทำดีด้วยเป็นต้องเผลอใจด้วยอีกครั้งอย่างที่ไม่เข็ดหลาบกับความรักครั้งก่อน แต่สำหรับเธอ เธอคงไม่เผลอใจให้เขาหรอก เพียงเค่ตอนนี้เธอนับเขาเป็นที่ควรจะรับฟังเรื่องของเธอเป็นคนแรก เพียงเท่านั้นเอง... “ไปกับผม ผมจะอยู่ข้างๆ คุณ บางครั้งอาจจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นก็ได้...” “ขอบคุณนะคะ ไว้ฉันจะลองคิดดู” หญิงสาวหันมายิ้มให้เขาทั้งที่น้ำตานองหน้า... ไม่รู้ว่าความโกรธที่เขามีเมื่อเช้ามันเปลี่ยนเป็นความใจดีและมีน้ำใจกับเธอขนาดนี้ได้อย่างไร... รอยยิ้มของเธอทำให้คนที่หันมามองพอดีนั้นถึงกับตาพร่า... ไม่มีสักครั้งหรอกที่จะได้รอยยิ้มจริงใจอย่างนี้จากเธอ มันทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกจน...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD