เสียงใสพร้อมกับดวงตาใสแจ๋วนั้นลืมขึ้น ร่างเล็กนั้นค่อย ๆ พลิกตัว ก่อนจะส่งเสียงถามอย่างงัวเงียเล็กน้อย
"อายิหวาขา อายิหวาโกรธใครกันคะ"
ปานยิหวาสบตากับบิดา ก่อนจะโน้มตัวหลานสาวเข้ามากอด "อายิหวาขอโทษ เสียงอาคงดังไป เลยทำให้หนูปลาตกใจตื่น"
เด็กน้อยขยับตัวออกจากวงแขนคุณอา ก่อนจะเหลียวหา
น้องเน่า
ที่นอนคว่ำหน้าอยู่ใกล้ ๆ แล้วคว้าเข้ามากอดทันที "น้องเน่าตกใจมั้ยจ๊ะ" เสียงใสถามตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวหนึ่ง
"น้องเน่าไม่ตกใจเหรอจ๊ะ" ถามเองตอบเองจนเรียกรอยยิ้มกระจ่างขึ้นมาบนใบหน้างามได้บ้าง
"เดี๋ยวอายิหวาพาไปล้างหน้าล้างตา แล้วไปหาย่าในครัวกัน ย่าทำขนมไว้ให้หนูปลาด้วยนะลูก"
"ตกลงค่า" เสียงใสเอ่ยตกลง อารมณ์แจ่มใสเพราะได้นอนกลางวันอย่างเพียงพอ จากนั้นผู้เป็นอาจึงอุ้มหลานรักไปล้างหน้าล้างตา ท่ามกลางความใจหายของผู้เป็นปู่ที่มองตาม เพราะลางสังหณ์ใจบอกว่า หลานสาวคนเดียวอาจจะได้ไปอยู่ไกลหูไกลตาในเร็ววันนี้
สิ่งที่บิดาหล่อนได้คาดคะเนไว้ไม่มีผิดเลยสักนิด หลังจากวันนั้นอีกไม่กี่วันต่อมา...
ขณะที่ปานยิหวากลับจากสวน หล่อนอาบน้ำผัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ โดยเลือกผ้าซิ่นยาวกรอมเท้า กับเสื้อผ้าฝ้ายแขนสั้นสีขาวเข้ารูปเล็กน้อยมาสวมใส่ ครั้นเรียบร้อยแล้วจึงเดินลงจากบ้านมาหามารดาที่นั่งทำงานอยู่บนแคร่ไม้ขนาดใหญ่ แคร่ไม้เอนกประสงค์ ที่มีไว้ให้มารดาหล่อนทำงานทุกอย่างที่นั่น ภายใต้ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ปานยิหวาเดินมาใกล้ สายตามองไปยังรังถึงขนาดใหญ่บนเตาถ่านที่กำลังส่งไอน้ำพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ วันนี้ท่านคงทำขนมใส่ไส้ เพราะเมื่อวานหัวค่ำมีคนมาสั่งให้ท่านทำอยู่ และใกล้ ๆ กันนั้นก็มีชามใบใหญ่ที่มารดาหล่อนได้ผสมไส้ ไว้รอแล้ว คงเป็นอีกชุดใหม่ที่ท่านกำลังจะห่อและนำไปนึ่งต่อ
มารดาของหล่อนก็เป็นเช่นนี้ ท่านไม่เคยปล่อยเวลาว่างไปเปล่าประโยชน์เลย มักจะทำงานบ้านหรืองานฝีมือต่าง ๆ เสมอ แถมท่านยังขึ้นชื่อลือชาในเรื่องฝีมือในการทำกับข้าวมาก ๆ ท่านทำได้ทั้งของคาวและของหวาน วันหนึ่ง ๆ จึงมีแม่ค้าพ่อค้าจากตลาดมาจ้างให้มารดาหล่อนทำ ครั้นทำเสร็จก็จะมารับแล้วนำไปขายที่ตลาดต่ออีกที
"ทำเยอะขนาดนี้เชียวหรือคะแม่" หล่อนถามขณะนั่งลงกับแคร่ขนาดใหญ่ใกล้กับผู้เป็นมารดา
"ก็แม่ค้าที่ตลาดน่ะ เขาขอให้แม่ทำเพิ่ม ครั้งที่แล้วทำไปขาย ขายเท่าไหร่ก็ไม่พอ"
"ก็แม่ทำกับข้าวอร่อยนี่คะ ใคร ๆ ก็รู้ ถ้าถามว่าเป็นขนมหรือกับข้าวของแม่อ่อนหรือ ก็จะพากันแย่งซื้อไปจนหมด" หล่อนยื่นหน้าไปกระเซ้ามารดา ก่อนจะเอื้อมมือหยิบใบตองกองหนึ่งที่มารดาหล่อนตัดเป็นขนาดเท่า ๆ กันมาไว้ตรงหน้า และมืออีกข้างก็หยิบเอาผ้าขาวสะอาดผืนหนึ่งขึ้น เพื่อเช็ดทำความสะอาดใบตองอีกที
แล้วจู่ ๆ บทสนทนาระหว่างหล่อนและมารดาก็เปลี่ยนไปทันที "ว่าแต่... ลูกรู้จักเขามั้ย คุณช้างอะไรนี่"
หญิงสาวเงยหน้าจากใบตองในมือ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ "ไม่เคยเห็นหน้า และไม่รู้จักเลยค่ะแม่ หวาลองถามเพื่อนฝูงที่อยู่ทางโน้นบอกว่า คุณช้างอะไรนี่ไปร่ำเรียนเมืองนอกมาตั้งแต่เด็ก คุณพ่อเขาส่งไปค่ะ"
"เก่งจริง เรียนไกลบ้านอยู่ห่างพ่อแม่ตั้งแต่เด็กถึงต่างประเทศ ทีเด็กแถวนี้ พ่อแม่ส่งไปเรียนโรงเรียนประจำใกล้แค่ในเมืองแค่นี้เองก็ร้องไห้ขี้มูกโป่ง ร่ำ ๆ แต่จะกลับบ้านท่าเดียว"
หญิงสาวย่นจมูกให้มารดาทันที เพราะรู้ว่า
เด็กแถวนี้
ที่มารดาค่อนแคะก็คือตัวหล่อนเอง
"โธ่! ก็ตอนนั้นมันน่าเบื่อนี่คะ ในโรงเรียนมีแต่เด็กผู้หญิงน่าเบื่อจะตาย จะสนุกอยู่อย่างเดียวก็คือตอนได้เรียนหนังสือนี่แหละค่ะ อ้อ ได้เล่นกีฬาด้วยค่ะ นอกนั้นสำหรับหวาถือว่าน่าเบื่อไปเสียหมด เพราะผู้หญิงเวลาอยู่รวมกันเยอะ ๆ ถ้าไม่สุมหัวนินทาคนอื่น ก็เที่ยวอิจฉาริษยาคนนั้นคนนี้ไม่หยุด เพื่อนผู้หญิงนี่หวาว่าน่ารำคาญมาก หวาถึงมีเพื่อนน้อยยังไงล่ะคะ"
มารดาเงยหน้าขึ้นมาชามใบใหญ่ พลางส่ายหน้าน้อย ๆ และ...ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ตั้งแต่เด็ก ปานยิหวามีเพื่อนในละแวกนี้น้อยมากจนแทบนับคนได้ อาจจะเป็นเพราะบุคลิกพิเศษของเจ้าตัว ที่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ไม่ชอบคนหมู่มาก อีกทั้งความคิดความอ่านก็เป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน เลยทำให้มีเพื่อนน้อย ยามกลับจากโรงเรียนประจำทีก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่แต่ในบ้าน แถมยังชอบหอบหิ้วหนังสือตั้งมากมายจากห้องสมุดของโรงเรียนมาอ่านด้วยอีกต่างหาก จึงไม่มีเวลาไปสุงสิงเล่นหัวกับใคร
คนเป็นมารดาจึงเข้าใจนิสัยบุตรสาวมาตั้งแต่เด็ก เลยปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ด้วยเห็นว่าเป็นนิสัยที่ไม่มีพิษมีภัยกับใคร อีกอย่างเพื่อนปานยิหวาที่ตนเห็นเจ้าตัวพามาบ้าน ก็ตอนที่โตแล้วเท่านั้น เพราะปานยิหวาให้เหตุผลว่า
'ก็เพื่อนหวาคนนี้ นิสัยใจคอเหมือนหวา พูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา ใจคอก็กว้างขวางดี และที่สำคัญไม่ชอบนินทาว่าร้ายใครให้หวาร้อนใจด้วย หวาเลยคุยได้อย่างสนิทใจยังไงล่ะคะแม่'
"หวาเพิ่งกลับจากสวนมา เห็นใบตองที่สวนมีเยอะเชียว พรุ่งนี้จะให้คนงานช่วยกันตัดมาให้แม่อีกนะคะ คิดว่าคงมีคนมาสั่งทำกับข้าวหรือขนมเพิ่ม อ้อ กล้วยก็เยอะ เรามาทำขนมกล้วยขายด้วยดีมั้ยคะแม่"
มารดาชะงัก ก่อนจะเหลือบมองวงหน้าหวานของบุตรสารที่พูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย ๆ
"แม่คะ..."
เห็นมารดาเงียบไปไม่ตอบ ปานยิหวาจึงเงยหน้าขึ้นมา เห็นดวงตาทั้งสองของท่านมีน้ำตาคลอขังขึ้น หล่อนจึงยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาเช็ดน้ำตาตนออก
ปานยิหวาจึงรีบวางผ้าและใบตองในมือลง แล้วเอื้อมมือไปจับมืออวบอูมข้างหนึ่งของมารดาขึ้นมา "หวารู้ว่าแม่คิดถึงพี่วัน เพราะขนมกล้วยเป็นของโปรดพี่วัน"
มารดาเช็ดน้ำตาป้อย ๆ เอ่ยอีก "ถ้าหลานไปอยู่ที่อื่นอีกคน แม่คงขาดใจ"
"หวาจะไม่ให้หลานไปหรอกค่ะ หวาจะทำทุกอย่างเพื่อให้หลานอยู่กับเราค่ะ แม่"
มารดาเช็ดน้ำตาอีกรอบแล้วพยักหน้า ก่อนจะบอก "หวาทำงานไปก่อนนะลูก แม่ไปล้างหน้าล้างตาก่อน เกิดใครมาเห็นร้องไห้ตอนทำขนม จะเอาไปว่าเสีย ๆ หาย ๆ ได้"
"ค่ะ แม่"
ปานยิหวารับคำ มองมารดาที่ลงจากแคร่แล้วขึ้นบ้านไป ก่อนจะกลับมาทำงานตามเดิม ด้วยความเพลิดเพลินกับการทำงาน ทำให้หล่อนฮัมเพลงเบา ๆ อย่างมีความสุข ขณะนั้นหล่อนจึงไม่ได้ยินเสียงรถยนต์คันสีดำที่กำลังดับเครื่องอยู่หน้าบ้าน และบัดนี้เจ้าของรถยนต์คันนั้น ก็กำลังเดินตรงมาทางหล่อนอย่างเงียบ ๆ
เอลวิสเพรสลีย์
เสียงฮัมเพลงด้วยน้ำเสียงหวานหู ทำให้ร่างสูงนั้นชะงักไปเล็กน้อย คิ้วเข้มที่พาดอยู่บนดวงตาคมขมวดเข้าด้วยกันทันใด ด้วยทำนองเพลงที่ดังอยู่ตรงหน้า ช่างคล้ายกันกับทำนองของเพลง
'แคนต์เฮลพ์ฟอลลิงอินเลิฟ' (Can't Help Falling in Love)
ของนักร้องชาวอเมริกันที่ชื่อเสียงในสมัยนี้เลย
'เอลวิส เพรสลีย์' (Elvis Presley)
เสียงเท้าที่เหยียบลงใบไม้แห้งดังกรอบแกรบขึ้นมา ทำให้เสียงหวานใสนั้นเลือนหายไป...หล่อนจึงหันขวับกลับไปด้านหลังทันที
ประกายแววตาคู่สดใสไหวระริกขึ้น ดวงตาคู่ตรงหน้ามีกรอบขนตาแพงอนกระพือพัดเร็ว จมูกโด่งของหล่อนเป็นสันรับกับริมฝีปากสีแดงระเรื่อ...หล่อนมีใบหน้างดงามอย่างหาที่ติไม่ได้เลยทีเดียว พลอยทำให้ร่างสูงที่ยืนตระหง่านจังงังไพล่นึกถึงคำพูดหนึ่งขึ้นมา
'หล่อนเป็นแค่สาวชาวสวนครับคุณช้าง ตระกูลหล่อนทำสวน ทำไร่มาตลอด แต่...หล่อนเป็นชาวสวนที่มีผิวพรรณหมดจดใบหน้างามหวานหยดไม่แพ้สาวชาวกรุงเราดี ๆ เลย' เสียงของอภินันท์ทนายความประจำตระกูลกล่าว หลังจากเป็นตัวแทนมาพบคนที่นี่แทนเขาเมื่อหลายวันก่อน
แล้วแม่ชาวชาวสวนบ้านไร่ที่ทนายตนเอ่ยถึง จะใช่แม่สาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราตรงหน้าตนหรือไม่
"คุณ คุณมาหาใคร" เสียงหวานนั้นถามกลับ มองเขาคล้ายระแวดระวังขึ้นมาทันที
เสียงทุ้มจึงแนะนำออกมาเรียบ ๆ ว่า "ผมช้าง คชาธาร เหมวัฒน์"
"ช้าง..." ริมฝีปากระเรื่อแดงของหล่อนพึมพำเบา ๆ ใบหน้างามนั้นเริ่มส่ออาการเครียดขึง ก่อนจะขยับตัวขึ้นมายืนตัวตรงแล้วเอ่ยแนะนำตัวกลับอย่างเลี่ยงไม่ได้
"ฉันปานยิหวา หรือยิหวา น้องสาวของพี่วัน และอาของหนูลูกปลา"
"อ้อ..." เขาขานรับสั้นๆ พร้อมกับพยักใบหน้าอันหล่อเหลาตาม
ปานยิหวามองร่างสูงราวร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรตรงหน้า เขาช่างเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่าง หน้าตาดีไปหมด และน้ำเสียงยังทุ้มกังวาลน่าฟังเหลือเกิน เพียงแค่ขานรับสั้น ๆ ออกมาคำหนึ่ง หล่อนก็สัมผัสถึงความมีอำนาจ...อำนาจลึกลับบางอย่าง ที่หล่อนยังไม่สามารถบอกตัวเองได้ในขณะนั้น
ขณะที่ต่างคนต่างกำลังเงียบอยู่กับภวังค์ของตัวเอง แล้วคนทั้งสองจึงหันไปตามเสียงเรียกที่แทรกขึ้นมาว่า
"หวา ใครมาหาน่ะลูก!"