ตอนที่ ๑ แรกพบ สบพักตร์ (๑๐๐%)

1752 Words
เสียงใสพร้อมกับดวงตาใสแจ๋วนั้นลืมขึ้น  ร่างเล็กนั้นค่อย ๆ พลิกตัว ก่อนจะส่งเสียงถามอย่างงัวเงียเล็กน้อย "อายิหวาขา  อายิหวาโกรธใครกันคะ" ปานยิหวาสบตากับบิดา ก่อนจะโน้มตัวหลานสาวเข้ามากอด "อายิหวาขอโทษ เสียงอาคงดังไป เลยทำให้หนูปลาตกใจตื่น" เด็กน้อยขยับตัวออกจากวงแขนคุณอา ก่อนจะเหลียวหา น้องเน่า ที่นอนคว่ำหน้าอยู่ใกล้  ๆ แล้วคว้าเข้ามากอดทันที  "น้องเน่าตกใจมั้ยจ๊ะ" เสียงใสถามตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวหนึ่ง "น้องเน่าไม่ตกใจเหรอจ๊ะ" ถามเองตอบเองจนเรียกรอยยิ้มกระจ่างขึ้นมาบนใบหน้างามได้บ้าง "เดี๋ยวอายิหวาพาไปล้างหน้าล้างตา แล้วไปหาย่าในครัวกัน ย่าทำขนมไว้ให้หนูปลาด้วยนะลูก" "ตกลงค่า" เสียงใสเอ่ยตกลง อารมณ์แจ่มใสเพราะได้นอนกลางวันอย่างเพียงพอ จากนั้นผู้เป็นอาจึงอุ้มหลานรักไปล้างหน้าล้างตา ท่ามกลางความใจหายของผู้เป็นปู่ที่มองตาม  เพราะลางสังหณ์ใจบอกว่า  หลานสาวคนเดียวอาจจะได้ไปอยู่ไกลหูไกลตาในเร็ววันนี้ สิ่งที่บิดาหล่อนได้คาดคะเนไว้ไม่มีผิดเลยสักนิด  หลังจากวันนั้นอีกไม่กี่วันต่อมา... ขณะที่ปานยิหวากลับจากสวน หล่อนอาบน้ำผัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ โดยเลือกผ้าซิ่นยาวกรอมเท้า กับเสื้อผ้าฝ้ายแขนสั้นสีขาวเข้ารูปเล็กน้อยมาสวมใส่  ครั้นเรียบร้อยแล้วจึงเดินลงจากบ้านมาหามารดาที่นั่งทำงานอยู่บนแคร่ไม้ขนาดใหญ่  แคร่ไม้เอนกประสงค์  ที่มีไว้ให้มารดาหล่อนทำงานทุกอย่างที่นั่น ภายใต้ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ปานยิหวาเดินมาใกล้  สายตามองไปยังรังถึงขนาดใหญ่บนเตาถ่านที่กำลังส่งไอน้ำพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ วันนี้ท่านคงทำขนมใส่ไส้  เพราะเมื่อวานหัวค่ำมีคนมาสั่งให้ท่านทำอยู่  และใกล้ ๆ กันนั้นก็มีชามใบใหญ่ที่มารดาหล่อนได้ผสมไส้ ไว้รอแล้ว  คงเป็นอีกชุดใหม่ที่ท่านกำลังจะห่อและนำไปนึ่งต่อ มารดาของหล่อนก็เป็นเช่นนี้  ท่านไม่เคยปล่อยเวลาว่างไปเปล่าประโยชน์เลย มักจะทำงานบ้านหรืองานฝีมือต่าง ๆ เสมอ  แถมท่านยังขึ้นชื่อลือชาในเรื่องฝีมือในการทำกับข้าวมาก ๆ ท่านทำได้ทั้งของคาวและของหวาน วันหนึ่ง ๆ จึงมีแม่ค้าพ่อค้าจากตลาดมาจ้างให้มารดาหล่อนทำ ครั้นทำเสร็จก็จะมารับแล้วนำไปขายที่ตลาดต่ออีกที "ทำเยอะขนาดนี้เชียวหรือคะแม่"  หล่อนถามขณะนั่งลงกับแคร่ขนาดใหญ่ใกล้กับผู้เป็นมารดา "ก็แม่ค้าที่ตลาดน่ะ  เขาขอให้แม่ทำเพิ่ม ครั้งที่แล้วทำไปขาย  ขายเท่าไหร่ก็ไม่พอ" "ก็แม่ทำกับข้าวอร่อยนี่คะ  ใคร ๆ ก็รู้  ถ้าถามว่าเป็นขนมหรือกับข้าวของแม่อ่อนหรือ ก็จะพากันแย่งซื้อไปจนหมด" หล่อนยื่นหน้าไปกระเซ้ามารดา  ก่อนจะเอื้อมมือหยิบใบตองกองหนึ่งที่มารดาหล่อนตัดเป็นขนาดเท่า ๆ กันมาไว้ตรงหน้า   และมืออีกข้างก็หยิบเอาผ้าขาวสะอาดผืนหนึ่งขึ้น  เพื่อเช็ดทำความสะอาดใบตองอีกที แล้วจู่ ๆ บทสนทนาระหว่างหล่อนและมารดาก็เปลี่ยนไปทันที  "ว่าแต่... ลูกรู้จักเขามั้ย คุณช้างอะไรนี่" หญิงสาวเงยหน้าจากใบตองในมือ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ "ไม่เคยเห็นหน้า และไม่รู้จักเลยค่ะแม่ หวาลองถามเพื่อนฝูงที่อยู่ทางโน้นบอกว่า คุณช้างอะไรนี่ไปร่ำเรียนเมืองนอกมาตั้งแต่เด็ก คุณพ่อเขาส่งไปค่ะ" "เก่งจริง  เรียนไกลบ้านอยู่ห่างพ่อแม่ตั้งแต่เด็กถึงต่างประเทศ  ทีเด็กแถวนี้ พ่อแม่ส่งไปเรียนโรงเรียนประจำใกล้แค่ในเมืองแค่นี้เองก็ร้องไห้ขี้มูกโป่ง ร่ำ ๆ แต่จะกลับบ้านท่าเดียว" หญิงสาวย่นจมูกให้มารดาทันที  เพราะรู้ว่า เด็กแถวนี้ ที่มารดาค่อนแคะก็คือตัวหล่อนเอง "โธ่! ก็ตอนนั้นมันน่าเบื่อนี่คะ ในโรงเรียนมีแต่เด็กผู้หญิงน่าเบื่อจะตาย จะสนุกอยู่อย่างเดียวก็คือตอนได้เรียนหนังสือนี่แหละค่ะ อ้อ ได้เล่นกีฬาด้วยค่ะ นอกนั้นสำหรับหวาถือว่าน่าเบื่อไปเสียหมด เพราะผู้หญิงเวลาอยู่รวมกันเยอะ ๆ ถ้าไม่สุมหัวนินทาคนอื่น ก็เที่ยวอิจฉาริษยาคนนั้นคนนี้ไม่หยุด  เพื่อนผู้หญิงนี่หวาว่าน่ารำคาญมาก  หวาถึงมีเพื่อนน้อยยังไงล่ะคะ" มารดาเงยหน้าขึ้นมาชามใบใหญ่ พลางส่ายหน้าน้อย ๆ  และ...ความจริงก็เป็นเช่นนั้น  ตั้งแต่เด็ก ปานยิหวามีเพื่อนในละแวกนี้น้อยมากจนแทบนับคนได้  อาจจะเป็นเพราะบุคลิกพิเศษของเจ้าตัว ที่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ไม่ชอบคนหมู่มาก อีกทั้งความคิดความอ่านก็เป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน เลยทำให้มีเพื่อนน้อย  ยามกลับจากโรงเรียนประจำทีก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่แต่ในบ้าน แถมยังชอบหอบหิ้วหนังสือตั้งมากมายจากห้องสมุดของโรงเรียนมาอ่านด้วยอีกต่างหาก   จึงไม่มีเวลาไปสุงสิงเล่นหัวกับใคร คนเป็นมารดาจึงเข้าใจนิสัยบุตรสาวมาตั้งแต่เด็ก เลยปล่อยให้เป็นเช่นนี้ ด้วยเห็นว่าเป็นนิสัยที่ไม่มีพิษมีภัยกับใคร  อีกอย่างเพื่อนปานยิหวาที่ตนเห็นเจ้าตัวพามาบ้าน ก็ตอนที่โตแล้วเท่านั้น เพราะปานยิหวาให้เหตุผลว่า 'ก็เพื่อนหวาคนนี้ นิสัยใจคอเหมือนหวา พูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา  ใจคอก็กว้างขวางดี และที่สำคัญไม่ชอบนินทาว่าร้ายใครให้หวาร้อนใจด้วย หวาเลยคุยได้อย่างสนิทใจยังไงล่ะคะแม่' "หวาเพิ่งกลับจากสวนมา  เห็นใบตองที่สวนมีเยอะเชียว พรุ่งนี้จะให้คนงานช่วยกันตัดมาให้แม่อีกนะคะ คิดว่าคงมีคนมาสั่งทำกับข้าวหรือขนมเพิ่ม   อ้อ กล้วยก็เยอะ  เรามาทำขนมกล้วยขายด้วยดีมั้ยคะแม่" มารดาชะงัก ก่อนจะเหลือบมองวงหน้าหวานของบุตรสารที่พูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย ๆ "แม่คะ..." เห็นมารดาเงียบไปไม่ตอบ  ปานยิหวาจึงเงยหน้าขึ้นมา  เห็นดวงตาทั้งสองของท่านมีน้ำตาคลอขังขึ้น หล่อนจึงยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาเช็ดน้ำตาตนออก ปานยิหวาจึงรีบวางผ้าและใบตองในมือลง แล้วเอื้อมมือไปจับมืออวบอูมข้างหนึ่งของมารดาขึ้นมา  "หวารู้ว่าแม่คิดถึงพี่วัน  เพราะขนมกล้วยเป็นของโปรดพี่วัน" มารดาเช็ดน้ำตาป้อย ๆ  เอ่ยอีก  "ถ้าหลานไปอยู่ที่อื่นอีกคน แม่คงขาดใจ" "หวาจะไม่ให้หลานไปหรอกค่ะ หวาจะทำทุกอย่างเพื่อให้หลานอยู่กับเราค่ะ แม่" มารดาเช็ดน้ำตาอีกรอบแล้วพยักหน้า ก่อนจะบอก "หวาทำงานไปก่อนนะลูก แม่ไปล้างหน้าล้างตาก่อน เกิดใครมาเห็นร้องไห้ตอนทำขนม จะเอาไปว่าเสีย ๆ หาย ๆ ได้" "ค่ะ แม่" ปานยิหวารับคำ มองมารดาที่ลงจากแคร่แล้วขึ้นบ้านไป ก่อนจะกลับมาทำงานตามเดิม ด้วยความเพลิดเพลินกับการทำงาน ทำให้หล่อนฮัมเพลงเบา ๆ อย่างมีความสุข ขณะนั้นหล่อนจึงไม่ได้ยินเสียงรถยนต์คันสีดำที่กำลังดับเครื่องอยู่หน้าบ้าน และบัดนี้เจ้าของรถยนต์คันนั้น ก็กำลังเดินตรงมาทางหล่อนอย่างเงียบ ๆ เอลวิสเพรสลีย์ เสียงฮัมเพลงด้วยน้ำเสียงหวานหู ทำให้ร่างสูงนั้นชะงักไปเล็กน้อย คิ้วเข้มที่พาดอยู่บนดวงตาคมขมวดเข้าด้วยกันทันใด  ด้วยทำนองเพลงที่ดังอยู่ตรงหน้า ช่างคล้ายกันกับทำนองของเพลง 'แคนต์เฮลพ์ฟอลลิงอินเลิฟ' (Can't Help Falling in Love) ของนักร้องชาวอเมริกันที่ชื่อเสียงในสมัยนี้เลย 'เอลวิส เพรสลีย์' (Elvis Presley) เสียงเท้าที่เหยียบลงใบไม้แห้งดังกรอบแกรบขึ้นมา  ทำให้เสียงหวานใสนั้นเลือนหายไป...หล่อนจึงหันขวับกลับไปด้านหลังทันที ประกายแววตาคู่สดใสไหวระริกขึ้น ดวงตาคู่ตรงหน้ามีกรอบขนตาแพงอนกระพือพัดเร็ว   จมูกโด่งของหล่อนเป็นสันรับกับริมฝีปากสีแดงระเรื่อ...หล่อนมีใบหน้างดงามอย่างหาที่ติไม่ได้เลยทีเดียว  พลอยทำให้ร่างสูงที่ยืนตระหง่านจังงังไพล่นึกถึงคำพูดหนึ่งขึ้นมา 'หล่อนเป็นแค่สาวชาวสวนครับคุณช้าง ตระกูลหล่อนทำสวน ทำไร่มาตลอด แต่...หล่อนเป็นชาวสวนที่มีผิวพรรณหมดจดใบหน้างามหวานหยดไม่แพ้สาวชาวกรุงเราดี ๆ เลย'  เสียงของอภินันท์ทนายความประจำตระกูลกล่าว  หลังจากเป็นตัวแทนมาพบคนที่นี่แทนเขาเมื่อหลายวันก่อน แล้วแม่ชาวชาวสวนบ้านไร่ที่ทนายตนเอ่ยถึง จะใช่แม่สาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราตรงหน้าตนหรือไม่ "คุณ  คุณมาหาใคร" เสียงหวานนั้นถามกลับ  มองเขาคล้ายระแวดระวังขึ้นมาทันที เสียงทุ้มจึงแนะนำออกมาเรียบ ๆ ว่า "ผมช้าง คชาธาร เหมวัฒน์" "ช้าง..." ริมฝีปากระเรื่อแดงของหล่อนพึมพำเบา ๆ ใบหน้างามนั้นเริ่มส่ออาการเครียดขึง ก่อนจะขยับตัวขึ้นมายืนตัวตรงแล้วเอ่ยแนะนำตัวกลับอย่างเลี่ยงไม่ได้ "ฉันปานยิหวา หรือยิหวา น้องสาวของพี่วัน และอาของหนูลูกปลา" "อ้อ..." เขาขานรับสั้นๆ พร้อมกับพยักใบหน้าอันหล่อเหลาตาม ปานยิหวามองร่างสูงราวร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรตรงหน้า  เขาช่างเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่าง หน้าตาดีไปหมด และน้ำเสียงยังทุ้มกังวาลน่าฟังเหลือเกิน เพียงแค่ขานรับสั้น ๆ ออกมาคำหนึ่ง  หล่อนก็สัมผัสถึงความมีอำนาจ...อำนาจลึกลับบางอย่าง  ที่หล่อนยังไม่สามารถบอกตัวเองได้ในขณะนั้น ขณะที่ต่างคนต่างกำลังเงียบอยู่กับภวังค์ของตัวเอง  แล้วคนทั้งสองจึงหันไปตามเสียงเรียกที่แทรกขึ้นมาว่า "หวา ใครมาหาน่ะลูก!"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD