ความสับสนวุ่นวายได้บังเกิดขึ้นมาแล้ว
ปานยิหวาที่นั่งเงียบกริบ นับแต่คุณทนายของคุณช้างอะไรนั่นได้กลับไป หญิงสาวเหลือบมองหลานสาวตัวน้อย
มัสยา
หรือ
หนูปลา
ที่ทุกคนเรียกติดปาก หลานคนนี้คือ ตัวแทนของความรักระหว่างพี่ชายอันเป็นที่รักของหล่อนและหญิงสาวชาวกรุง
ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน พี่ชายที่ทำงานอยู่ที่เมืองกรุง ได้กลับมาบ้านพร้อมหญิงสาวหน้าหวานคนหนึ่ง หล่อนชื่อว่า มยุรี หรือนกยูง คราวแรก ปานยิหวาไม่รู้จักอีกฝ่ายว่าเป็นใครมาจากไหน กระทั่งคนทั้งสองได้จดทะเบียนสมรสกันนั่นเอง จึงทำให้เธอรู้ว่า มยุรี คือหญิงสาวที่มาจากตระกูลเก่าแก่ตระกูลหนึ่ง
ตระกูลเหมวัฒน์
พี่ชายหล่อนได้ เล่าเรื่องราวความรักของคนทั้งสองด้วยความหนักใจ ท่ามกลางความสว่างจากแสงจันทร์เต็มดวงส่องกระทบ คืนนั้นจึงเป็นการเปิดอกพูดคุยกันระหว่างพี่และน้อง
'พี่และนกยูงเรารักกัน แต่...'
'แต่คนในบ้านพี่นกยูงไม่เห็นด้วย'
'ทำไมหวารู้!'
พี่ชายของหล่อนอุทาน พลางทำหน้าประหลาดล้ำ ในขณะที่หญิงสาวก็หัวเราะเสียงใสออกมาก่อน แล้วอธิบายว่า 'โอ๊ย! เรื่องก็มีเท่านี้แหละพี่วัน ... ความรักระหว่างคนต่ำต้อยและสาวผู้สูงศักดิ์ จึงต้องถูกกีดกันอย่างไรเล่า'
'จริงด้วยสินะ ก็หวาเป็น...' ปานชีวันพึมพำ ก่อนจะกอดเข่าแนบกระชับขึ้นแล้วถอนหายใจ 'ทางนั้นประกาศตัดญาติพี่น้องที่นกยูงจะแต่งงานกับพี่ หนุ่มข้าราชการชั้นผู้น้อยในกระทรวง พี่เลย ...พานกยูงกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเรา พ่อกับแม่คงไม่ผิดหวังหรอกนะ ที่สุดท้ายพี่ก็ไม่ได้เป็นข้าราชการมีเกียรติให้สมใจท่าน สุดท้ายก็กลับมาทำไร่ ทำสวนตามเดิม'
หญิงสาวโอบไหล่พี่ชายคล้ายจะปลอบใจ พลางเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ดวงจันทร์กระจ่างฟ้า แล้วบอกพี่ชายไปว่า
'ใครบอก พ่อกับแม่ภูมิใจมากต่างหากที่พี่กล้าหาญ พี่กล้าตัดสินใจบนพื้นฐานของความเป็นจริง พี่และพี่นกยูงรักกัน คำว่ารักไม่ควรจะมาถูกกีดกันด้วยคำว่าฐานะ หรือชาติตระกูลอะไรพวกนั้น ส่วนเรื่องงานในไร่ ในสวน พ่อกับแม่คิดว่าดีเสียอีกที่จะมีพี่กลับมาช่วยท่านดูแล เพราะงานบ้านเราเยอะเหลือเกิน ลำพังหวาเองน่ะ ทำได้ไม่เต็มที่หรอก พี่วันก็รู้'
พี่ชายยิ้มให้น้องสาวในความสลัว ก่อนจะโอบบ่าน้องสาวกลับ แล้วทั้งสองพี่น้องก็นั่งอยู่ชมเดือนบนเฉลียงบ้านที่กว้างใหญ่ ต่อไปอีกเล็กน้อย ก่อนจะแยกย้ายกลับเข้าห้องใครห้องมัน
ปานยิหวาถอนหายใจเมื่อได้ระลึกถึง
พี่นกยูง
พี่สะใภ้ที่แสนดี และน่ารัก ด้วยความรักทำให้พี่สะใภ้คนนี้ก็มีความกล้าหาญไม่แพ้พี่ชายหล่อน ที่ยอมลดความแตกต่างระหว่างตนและพี่ชายหล่อนลงมาใช้ชีวิตกับพี่ชายที่เป็นเพียงลูกชาวสวนบ้านไร่ด้วยความเข้าใจ
และเวลาผ่านไปไม่นาน...ทั้งสองก็มีข่าวน่ายินดีให้กับคนที่บ้านหลังนี้นั่นก็คือ การมีพยานความรักตัวน้อย ๆ และตอนนี้พยานตัวน้อยที่ว่า กำลังนอนหลับตาพริ้ม โดยมีเสียงกรนเล็กน้อยดังเป็นระยะ ๆ ประกอบ
"ตัดสินใจได้หรือยังหวา วันนี้เขาให้ทนายความมาเลียบ ๆ เคียง ๆ บอกเราแล้วนะ อีกไม่กี่วัน คุณช้างอะไรนั่นคงต้องมาที่นี่เอง และคราวนี้คงจะมาเอาตัวหนูปลากลับไปด้วยจนได้" ผู้เป็นบิดาเอ่ย พลางทรุดนั่งใกล้ตัวบุตรสาว
"หวายังไม่ได้ตัดสินใจค่ะพ่อ ยังสับสนอยู่ว่าพี่นกยูงคิดอะไร ทำอะไรลงไปนะ ถึงได้เขียนจดหมายไปบอกพี่ชายตนเองแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่ ก่อนหน้าตระกูลนั้น ก็ไม่เคยมาใยดีในตัวพี่นกยูงเลยด้วยซ้ำ ตัดเป็นตัดตายกันง่าย ๆ เหมือนตัดเส้นด้ายให้ขาดอย่างนั้นแหละค่ะ"
"อันนี้พวกเราก็ไม่รู้ แต่พ่อว่าเหตุการณ์วันข้างหน้า คงจะบอกเจตนาของนกยูงได้ เพียงแต่เราจะต้องไปค้นหาดู"
"พี่นกยูงไม่ไว้ใจว่าเราจะไม่สามารถส่งเสียงเลี้ยงดูหนูปลาได้หรือคะ" หญิงสาวเอ่ยถาม พลางลูบขาหลานสาวตัวน้อยแผ่ว ๆ อดน้ำตารื้นไม่ได้ ถ้าหากวันหนึ่ง คุณช้างอะไรนั่น จะต้องมาพรากตัวหลานคนนี้ไป!
ปานยิหวารู้สึกปวดใจ พลางเอ่ยไปว่า "หลานยังเล็กนัก ที่ผ่านมามีแต่ปู่ ย่าและอาหวาของแกเท่านั้น อีกอย่างอาการของแกเพิ่งดีขึ้นจากการเสียพ่อและแม่ไปอย่างกะทันหันเพราะอุบัติเหตุ " หล่อนเอ่ยถึงตรงนี้ ในใจก็กระหวัดถึงคืนอันโหดร้ายคืนนั้น
"คืนนั้นพี่วันขับรถกระบะไปส่งของ จู่ ๆ พี่นกยูงก็ขอติดรถไปด้วย อะไรดลใจก็ไม่รู้ ปกติพี่นกยูงจะไม่ไปด้วยเสียหน่อย"
"เขาทั้งสองคงเกิดมาคู่กันลูก และคงตั้งความหวังเอาไว้แต่ชาติปางก่อนว่าหากจะตายก็ขอให้ตายพร้อมกันนั่นแหละ เรื่องมันถึงเลวร้ายอย่างนี้"
"พ่อยอมหรือคะ ที่จะให้หลานไป" จู่ ๆ หญิงสาวก็หันกลับมาถามบิดาด้วยความสนใจ เท่าที่ฟังท่านแสดงความเห็นมา น้ำหนักชักจะคล้อยตามไปกับทางนั้นทุกที ๆ
ผู้เป็นบิดานิ่งเงียบ เพราะด้วยความที่ตนเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือในบริเวณนี้ ด้วยความเป็นคนยึดมั่นในสัจจะและความจริงใจ พูดคำไหนเป็นคำนั้น อีกทั้งจิตใจก็โอบอ้อมอารี ชอบสงเคราะห์คนเสมอ จึงทำให้ตนเป็นที่เคารพนับถือของคนในพื้นที่และเรื่องนี้ ตนค่อนข้างจะเห็นว่า ก็อยากให้เป็นไปตามความต้องการของมยุรี ลูกสะใภ้ ที่จู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมาเขียนจดหมายส่งไปให้พี่ชายอย่างนั้น
"มันเป็นเจตนาของพี่สะใภ้ของลูก พ่อคงขัดไม่ได้ ถ้าไม่ยอมทำตาม วิญญาณนกยูงเขา คงไม่สงบสุข"
"พ่อคะ..." น้ำเสียงปานยิหวาดูแหบแห้ง ก่อนจะเอ่ยถามไปถึงมารดา "แล้วแม่ล่ะคะ แม่ว่าอย่างไรบ้าง"
"รายนั้นพ่อก็พูดยาก หลานคนเดียว เขารักของเขายิ่งกว่าอะไร"
"หากจะต้องต่อสู้กัน เราจะเสียเปรียบมากน้อยแค่ไหนกันนะ" หล่อนพึมพำเสียงเครียด แววตาเหม่อลอย ก่อนจะระบายความเครียดออกมาด้วยน้ำเสียงอันดัง "โอ๊ย! ตอนนี้หวามืดไปแปดด้านแล้วค่ะ!"
"อาหวา...อาหวาขา"
เสียงเล็กใสที่เรียก พร้อมกับอาการผงกใบหน้าอันงัวเงียของร่างเล็ก ๆ ที่นอนหลับใกล้ ๆ ทำให้ปานยิหวาตกใจ
"หนูปลา ตื่นแล้วหรือลูก!"