คชาธารหันกลับมาดูร่างบอบบางตรงหน้าอีกครั้ง ส่วนสูงของหล่อนคงอยู่ราว ๆ ร้อยหกสิบเช็นติเมตรซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหญิงไทย ผมยาวสยายประบ่าบอบบางทั้งสองข้าง ไม่ได้ทำให้หล่อนดูตัวเล็กลงไปสักนิด หากแต่ขับให้หล่อนสวยหวานในแบบสาวชาวบ้านชาวสวนจริง ๆ มากว่า
แต่...ด้วยขนาดตัวที่อรชรอ้อนแอ้นในผ้าซิ่นและเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวแขนสั้นแบบนี้ ใครจะไปเชื่อ ว่าหล่อนจะทำไร่ทำสวน
"ใครกันน่ะ! ยิหวา" เสียงของผู้สูงวัยมีรูปร่างค่อนข้างเจ้าเนื้อถามขึ้น ขณะเดินมาสมทบกับหล่อน
"คุณช้าง..." หล่อนปรายตามาทางเขานิด ก่อนจะหันกลับกระซิบบอกมารดาเบา ๆ "...ลุงของหนูปลายังไงล่ะคะ"
"ห๊ะ!" ผู้อาวุโสตรงหน้า ดูมีท่าทางตกใจชัดเจน
.
"น้ำค่ะคุณ"
ผู้อาวุโสเอ่ยพลางวางขันทองเหลืองเงาวับใบเล็ก ๆ ที่เพิ่งตักน้ำขึ้นมาจากหม้อดินเผาที่ใส่น้ำดื่มประจำบ้าน
แล้วนางจึงหย่อนตัวนั่งลงบนเสื่อกกผืนใหญ่ ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มผู้นี้ พลางอดที่จะพิจารณาตัวของลุงหนูปลาไม่ได้ อายุเขาคงอยู่ราว ๆ สามสิบ เขาเป็นชายหนุ่มที่มีร่างสูง ผิวพรรณขาว ค่อนข้างเรียกว่าขาวจัดเสียด้วย ทำผมทรงลองทรงต่ำถูกเก็บให้เรียบร้อยด้วยการทาน้ำมันเอาไว้ รูปร่างหน้าตาถือว่าสมฐานะของคนที่อยู่ในตระกูลเหมวัฒน์ ตระกูลที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่น้อย
หลังจากหายตกใจแล้ว ตนจึงเชิญอีกฝ่ายขึ้นมานั่งบนบ้านกลางเฉลียงกว้างใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม เพราะแดดร่มลมตก บรรยากาศจึงเย็นสบาย ในขณะเดียวกันก็ให้บุตรสาวดูแลขนมข้างล่างให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงตามตนขึ้นมา
ชายหนุ่มยกขันน้ำขึ้นมาจรดริมฝีปากหยักสีเนื้ออ่อน เขายกขึ้นมาดื่ม...น้ำฝนที่หอมไปด้วยกลิ่นของดินเผาและกลิ่นมะลิอ่อน ๆ ช่างเข้ากันดีเสียนี่กระไร กว่าจะรู้ตัวว่าหลงกลิ่นหลงรสของน้ำดื่มบ้านหลังนี้ เขาก็ยกดื่มทีเดียวเสียจนหมด
จากนั้นเขาจึงวางขันเปล่าลงเบา ๆ แล้วเอ่ยเข้าเรื่องทันที
"เข้าเรื่องเลยล่ะกัน ผมมาที่นี่ ทนายความของผมคงแจ้งให้ทางนี้ทราบแล้วว่า ผมจะขอรับตัวหลานสาวคนเดียวของผมกลับไปดูแลแทนนกยูงคุณแม่ของแก"
"แต่หนูปลา ก็เป็นหลานของพวกเราเหมือนกัน ดูเหมือนจะเป็นหลานที่ทางบ้านนั้น ไม่ได้ต้องการแต่แรกเสียด้วยซ้ำ"
ปานยิหวาเอ่ยแทรกขึ้น พร้อมกับเดินตรงขึ้นมาสมทบ หล่อนหย่อนกายนั่งพับเพียบลงข้าง ๆ มารดา ก่อนจะปรายตามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาไม่สู้จะชอบใจนัก
ผู้เป็นแม่จึงยื่นหน้าไปปรามบุตรสาวเบา ๆ "ยิหวา..."
คนถูกปรามอยากจะหันกลับไปเถียงมารดานัก ดูเขาสิ ปล่อยน้องสาวแถมด้วยหลานมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ถึงห้าปีกว่า ไม่เคยคิดจะเหลียวแล พอวันดีคืนดี นึกอะไรไม่รู้จึงได้กลับมายื่นสิทธิ์ขอรับหลานสาวคนเดียวของที่นี่คืนไป
ดวงตาหวานที่จดจ้องมองเขาอย่างไม่กะพริบ ไม่อาจทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสะเทือนใจเท่าใดนัก ริมฝีปากหยักคู่นั้นจึงเอ่ยเพียงแต่ว่า "ผมไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายเรื่องราวภายในบ้าน ให้กับ
คนอื่น
ที่ไม่ทราบอะไรมาแต่เริ่ม ได้รู้ทั้งสิ้น"
ราวกับถูกอีกฝ่ายว่าให้เจ็บ ๆ ใบหน้างามนั้นจึงหงิกงอลง พลางเม้มริมฝีปากสีเรื่อเข้าไว้ด้วยกันเล็กน้อย
และคล้ายกับว่าหล่อนจะเห็นมุมปากของเขายกขึ้นอีกเล็กน้อย ก่อนเขาจะหันไปเจรจากับมารดาของหล่อนต่อ ทำราวกับว่า ปานยิหวาคนนี้ ไม่มีตัวตนขึ้นมาเช่นนั้นเอง
"ที่ผมมาวันนี้นอกจากจะต้องการทำตามเจตนาของน้องสาวแล้ว ผมยังต้องรับ..." เขารีบกลืนคำว่า
รับผิดชอบ ชดเชย ความผิดพลาด
ให้กับน้องสาวผู้ล่วงลับ แต่...เขาไม่อยากให้คนอื่นมารับรู้ปมปัญหาภายในตระกูลเหมวัฒน์ จึงไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่ม
อีกอย่าง ดวงตาคมคู่นั้นตวัดมองกลับไปยังใบหน้างามที่กำลังแสดงสีหน้าราวกับโกรธเขามาแต่ชาติปางไหนสักเล็กน้อย หล่อนเองก็คงตั้งแง่ รังเกียจทางเขาเสียตั้งแต่วันที่มยุรีหอบข้าวของออกจากบ้านนั้น แล้วมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว เขาว่า...คงป่วยการที่จะมาพูดเรื่องความบาดหมางของคนในตระกูลเหมวัฒน์ที่ตรงนี้
หลังจากเงียบไป ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าหยิบเอาของสิ่งหนึ่งที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมา "นอกจากนั้น ผมยังมีสิ่งที่มยุรีทำไว้ที่เรียกว่าพินัยกรรมมายืนยันด้วย วันนั้นไม่ได้ให้ทนายนำมาด้วยเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งของสำคัญ จึงอยากนำมาแจ้งให้ทางนี้ทราบด้วยตัวเองจึงจะดีกว่า"
เขาเอ่ยแล้วจึงวางซองสีน้ำตาลขนาดเท่าซองจดหมายลงตรงหน้าคนทั้งสอง
ปานยิหวารีบคว้าเอาสิ่งที่เรียกว่าพินัยกรรมที่อีกฝ่ายอ้างขึ้นมาเปิดอ่าน ด้วยดวงใจสั่นไหวจึงทำให้ใบหน้าหวานซีดเซียวลงทุกที ๆ ...
"หวา นกยูงเขาเขียนว่าอย่างไรลูก"
เสียงกระซิบถามจากมารดา เรียกสติของหญิงสาวกลับคืน หล่อนจึงจำต้องอ่านเนื้อความนั้นให้มารดาฟังด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลงทุกขณะ ...
"ว่าอย่างไรหวา นกยูงเขาทำพินัยกรรมอะไร"
หล่อนค่อย ๆ อ่านช้า ๆ ช้ำ ๆ ซึ่งในใจความพินัยกรรมฉบับนี้ระบุว่า
"ข้าพเจ้า นางมยุรี หินจักร (เหมวัฒน์) ได้ยกบุตรสาวเพียงคนเดียวให้กับ หม่อมหลวง..." หล่อนเหลือบสายตาขึ้นจากกระดาษช้า ๆ สบตาคมที่จ้องหล่อนนิ่งอยู่ก่อนแล้ว " ...คชาธาร เหมวัฒน์ผู้เป็นพี่ชาย หากว่าวันหนึ่งวันใดตัวข้าพเจ้าประสบเหตุมีอันเป็นไปก่อนที่บุตรสาวเพียงคนเดียวของข้าพเจ้าจะบรรลุนิติภาวะ โดยหม่อมหลวงคชาธาร เหมวัฒน์ จะเป็นผู้อภิบาลดูแลบุตรสาวเพียงคนเดียวของข้าพเจ้าต่อไป และให้ผลของพินัยกรรมฉบับนี้ มีผลนับตั้งแต่วันที่ข้าพเจ้าได้เสียชีวิตไป"
ลงชื่อ นางมยุรี หินจักร
หล่อนอ่านไปถึงรายชื่อของพยานอีกสองคน ที่ได้เซ็นต์รับทราบด้วยเสร็จสรรพ
มือทั้งสองที่ถือกระดาษพินัยกรรมลู่ลงบนตกทันทีที่อ่านข้อความนั้นจบ พร้อมกับนึกเองในใจว่า
พี่นกยูงรอบคอบถึงขนาดนี้เชียวหรือ ถึงได้ทำพินัยกรรมเอาไว้ โดยวันที่ที่ระบุลงในพินัยกรรมก็เกิดขึ้นล่วงหน้าก่อนที่พี่นกยูงจะเสียชีวิต นี่ แน่เสียยิ่งกว่าแน่ว่าพี่นกยูงไม่ไว้ใจ ว่าหล่อนจะสามารถดูแลหลานสาวเพียงคนเดียวได้ หรือเปล่านะ