ซุนป๋อเหวินอยากรู้ว่าภายใต้ท่าทางใสซื่อขององค์หญิงสิบเอ็ดผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นคนเจ้ามารยา ฉลาดล้ำหรือว่าโง่เขลากันแน่
ปกติแล้วเขาค่อนข้างพิถีพิถันในการเลือกใช้คนหากเป็นคนมากเล่ห์ไม่ซื่อสัตย์แล้วแน่นอนว่าเมื่อใช้งานแล้วเขาย่อมไม่ปล่อยเอาไว้
ทว่าองค์หญิงสิบเอ็ดช่างเป็นสตรีที่เขายอมรับว่าหายากยิ่งในดินแดนที่ต้องตาตนเอง
ด้วยเหตุนี้ซุนป๋อเหวินจึงไม่คิดสังหารคนและยังจะเก็บเอาไว้เป็นนางข้างกายก่อนที่จะส่งนางเข้าสู่อ้อมกอดผู้อื่น
เวลาอีกเกือบสองเดือนต่อจากนี้ย่อมมากเกินพอที่จะให้เขาเชยชมสตรีนางหนึ่งอย่างถึงอกถึงใจ
ส่วนเรื่องหลังจากนี้นางจะแต่งให้ผู้ใดนั้นเขาย่อมมีวิธีที่จะทำให้ผู้อื่นคิดว่านางยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ซุนป๋อเหวินยกมุมปากน้ำเสียงเยือกเย็นดุจธารน้ำแข็งเปล่งออกมา
"ถอดเสื้อผ้าของออกเสีย"
หลิวอี้เฟยไม่คาดคิดว่าการที่นางพบเขาในครั้งที่สองและวิ่งมาอ้อนวอนให้เขาช่วยจะเป็นการส่งเนื้อเข้าปากเสือโดยทันที เท้าของนางหยุดอยู่ตรงนั้น ร่างกายแข็งทื่อเหมือนคนที่ตายแล้ว
"ไม่เต็มใจหรือ"
มุมปากของเขายกยิ้มเยือกเย็น ส่งผลให้ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชานี้ดูน่าหวาดผวายิ่งขึ้น
รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมนั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนฉี่จะราด หากขืนยังมองจ้องเขาเช่นนี้นางคงได้ทำเรื่องน่าขายหน้าตรงนี้
หลิวอี้เฟยก้มหน้า น้ำตาไหลพรากออกมา ครานี้นางไม่ อาจอดกลั้นน้ำตาตนเองเอาไว้ได้อีกต่อไปเมื่อทั้งถูกกดดัน ทั้งถูกเขาดูถูกรังแกเช่นนี้
"ข้ากลัว ข้าไม่เต็มใจ ท่านให้ข้าทำอย่างอื่นเถิดเกิดมาข้าไม่เคยปรนนิบัติผู้ใดเกรงว่าจะทำให้ท่านรำคาญใจ เป็นข้าไม่ดีเองที่เป็นองค์หญิงปลายแถวที่ไร้คนเหลียวแล มารดาก็ตายจากพี่น้องก็มักรังแก ยังเข้าตาจนเพราะต้องถูกส่งไปแต่งงานจนคิดหนีกระทั่งมาพบเรื่องที่ไม่สมควรพบเข้า อีกทั้งท่านจะให้ข้าปรนนิบัติท่าน ข้ายังไม่รู้ว่าแท้จริงท่านคือผู้ใด นามของท่านข้าก็ยังไม่รู้ท่านจะให้ข้าทำใจปรนนิบัติคนแปลกหน้าได้อย่างไร"
เอ่ยยืดยาวออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลราวกับทำนบพัง ร่างเล็กทรุดลงไปนั่งบนพื้นฟุบใบหน้างามลงบนฝ่ามือแล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
ซุนป๋อเหวินลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกมาจากความมืด หยุดยืนอยู่ตรงหน้า เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งมือเรียวเชยคางของนางขึ้นมา
ฉับพลันบังเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อนิ้วเรียวขาวทรงพลังนั้นสัมผัสที่แก้มของนางแผ่วเบาเอ่ยออกมาช้า ๆ
"ข้าคือหัวหน้าองครักษ์ขั้นหนึ่งของฝ่าบาทนามซุนป๋อ เหวิน"
หลิวอี้เฟยตกตะลึง ที่จู่ ๆ เขาก็แนะนำตนเองให้นางรู้จักเช่นนี้ และด้วยฐานะของเขาทำให้หลิวอี้เฟยเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงสามารถเข้านอกออกในวังหลวงได้ราวกับเป็นจวนของตนเอง
นามซุนป๋อเหวินนี้นางย่อมเคยได้ยิน เขาคือบุรุษคนดังของวังหลวงที่บรรดาองค์หญิงล้วนต้องการแต่งให้เขา แต่ผ่านมาเนิ่นนานจนบัดนี้หัวหน้าองครักษ์ผู้ทรงอิทธิพลผู้นี้ก็ไม่รับองค์หญิงคนใดเข้าจวน
ว่ากันว่าฝ่าบาทรักเขาประดุจบุตรชายผู้หนึ่ง ยามฝ่าบาททรงกริ้วไม่เคยคิดฟังผู้ใดนอกจากเขาผู้นี้
นางไม่เคยเห็นเขามาก่อนได้แต่กลับได้ยินชื่อเสียง นั่นเป็นเพราะนางเองตั้งแต่มารดาตายจากก็แทบจะไม่เคยได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทเลยสักหน
ซุนป๋อเหวินผู้นี้กระทั่งสามารถปฏิเสธสมรสพระราชทานของฝ่าบาทได้ก็คงไม่ต้องถามอีกแล้วว่าเขามีความสำคัญเพียงใดในใจของเจ้าผู้ครองแผ่นดิน
องค์หญิงสิบเอ็ดหลุดปากเรียกชื่อเขาออกไปด้วยอาการตกตะลึง
"ซุนป๋อเหวิน ท่านคือคนผู้นั้นหรือ คุณชายซุนคนดังคนโปรดของเสด็จพ่อ"
ซุนป๋อเหวินเองก็ไม่เคยได้พบนางมาก่อน องค์หญิงองค์ชายมีมากมายจนจำหน้าไม่ไหว คนที่เขาพบเห็นล้วนเป็นคนสำคัญของฝ่าบาทหรือไม่ก็มีมารดาที่มีอำนาจ องค์หญิงสิบเอ็ดผู้อาภัพคนนี้คงไม่ต้องกล่าวถึง
แต่คำว่าคนดังของนางทำให้เขาอดรู้สึกขบขันไม่น้อย
"ใช่ข้าคือคนผู้นั้น และบัดนี้สิ่งที่ข้าต้องการท่านก็ได้รู้แล้ว สตรีที่รู้มากเช่นนี้มีเพียงหนทางเดียวที่จะรักษาชีวิตตนเองและคนของตนได้ก็คือเชื่อฟัง เพียงแต่ว่าองค์หญิงสิบเอ็ดเพียงเริ่มต้นก็ไม่คิดเชื่อฟังแล้วหรือ"
เมื่อเอ่ยจบเขาก็ดึงร่างเล็กให้ลุกขึ้นพานางเข้าสู่อ้อมกอดอย่างช้า ๆ
เขามิได้คิดรักหยกถนอมบุปผา[1] แต่ด้วยบัดนี้ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าองค์หญิงสิบเอ็ดผู้นี้มิได้มากเล่ห์กลอันใด คนที่ใสซื่อเช่นนี้มักจะทำตัวเป็นคนดีชอบปกป้องผู้อื่นช่างดียิ่ง เขาชอบทำงานกับคนดีเพราะ คนดีมักจะควบคุมง่ายเสมอ
เมื่อหยกชิ้นงามอยู่ในกำมือ เขาจึงต้องรู้จักใช้งานนางให้เหมาะสม และวิธีการควบคุมนางก็ต้องเหมาะสมด้วยเช่นกัน
ยามนี้คนผู้นี้จึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ สองมือของเขาประคองนางไปนั่งเคียงข้างบนเก้าอี้
แม้ใบหน้ายังคงเย็นชาอยู่บ้าง น้ำเสียงนั้นก็ลดความน่าหวาดกลัวลงหลายส่วน
"ในเมื่อรู้จักกันแล้ว นับว่าไม่ใช่คนไกลใช่หรือไม่ หากองค์หญิงทำตัวดีแน่นอนว่าข้าย่อมใจกว้างมอบรางวัล ต่อจากนี้ไปข้าจะเป็นผู้หนุนหลังให้ท่านเอง"
เมื่อพูดถึงรางวัลหลิวอี้เฟยรู้สึกเหมือนตนเองหูกระดิก คนที่มีอำนาจมากที่สุดนอกจากฝ่าบาทแล้วก็ยังมีเขา หากเอาใจเขาให้ดีบางทีเขาอาจจะช่วยให้นางหนีการแต่งงานครานี้ได้
เช่นนี้แล้วนางสมควรลองเสี่ยงสักครั้งหนึ่ง
"หากข้าช่วยท่านทำงานสำเร็จ ท่านจะรับปากข้าอีกสักเรื่องได้หรือไม่"
ซุนป๋อเหวินกล่าวไม่อ้อมค้อมอย่างรู้ทัน
"องค์หญิงสิบเอ็ดคิดจะหลอกใช้ข้าเพื่อหนีงานแต่งงานหรือไร จึงได้มีท่าทางเช่นนั้น"
เมื่อถูกเปิดโปงความคิดของตนเองออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบทั้งไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย บัดนี้หลิวอี้เฟยจึงมั่นใจแล้วว่าเขาคือคนเพียงคนเดียวที่ช่วยนางได้ นางคิดประจบประแจงทันใด
"สมแล้วที่เป็นท่านที่มีปัญญาล้ำเลิศ ไม่ว่าข้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่เหมือนท่านจะรู้ทันไปทุกสิ่ง"
เขาหัวเราะในลำคอกับท่าทางเสแสร้งที่ทำให้ผู้คนจับได้ของนาง อยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่ใช่เขาที่ฉลาด แต่เป็นนางที่เผยท่าทางโง่เขลาออกมา
นั่นปะไรยังยกนิ้วขึ้นมากัดในยามประหม่าเสมือนเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสา
จู่ ๆ มือใหญ่ก็ยกร่างของนางขึ้นสูงแล้วปล่อยให้นั่งอยู่บนตักของตนเอง เขาดึงนิ้วของนางออกจากริมฝีปากยั่วยวนนั้นด้วยความรู้สึกลำคอแห้งผาก
หลิวอี้เฟยยกมือยันหน้าอกของเขาเอาไว้ทันใด
นางเหลือบตาขึ้นสบกับดวงตาเยือกเย็นที่พยายามทำให้อบอุ่นขึ้นในใจพลันหนาวสะท้าน
จิตใจของนางยังกระวนกระวายไม่กล้าสบดวงตาอสรพิษคู่นั้นจึงได้รีบก้มลงต่ำมองกระดูกไหปลาร้าและลำคอขาวผ่องผุดผาดที่อยู่เบื้องหน้า
ซุนป๋อเหวินยังหัวเราะไม่หยุดเพราะเขารู้สึกขบขันกับท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ที่ดูน่าเอ็นดูของนางจริง ๆ
ในขณะที่อีกคนกำลังสนุกหลิวอี้เฟยกลับรู้สึกเหมือนว่าเสียงหัวเราะนั้นคือเสียงของท่านพญายมกำลังเรียกวิญญาณของนางให้หลุดลอยออกจากร่าง
"องค์หญิงสิบเอ็ดที่แท้ก็กล้าหาญกว่าที่ข้าคิดเสียอีก ช่วยท่านหรือไม่ข้าผู้นี้ขอคิดดูก่อนว่าท่านจะตอบแทนได้เหมาะสมเพียงใด"
หลิวอี้เฟยข่มใจที่เต้นโครมครามของตนเอง เมื่อมือใหญ่ค่อย ๆ ดึงร่างเล็กให้ขยับเข้ามาใกล้
สองมือค่อย ๆ ไต่ไปโอบรอบร่าง หลิวอี้เฟยขืนตัวเองเอาไว้กัดปากแน่นไม่ให้กรีดร้อง
กระทั่งใบหน้าของนางแนบลงไปบนอกแกร่ง ร่างกายอ่อนนุ่มประดุจไร้กระดูก
เขาก้มลงลงแล้วเชยคางเล็กเพื่อให้นางเงยหน้าขึ้นมอง เพราะใบหน้าหล่อเหลาเหนือสามัญนี้ทำให้หัวใจของนางเต้นระส่ำ
ทุกท่วงท่าล้วนเป็นธรรมชาติมีเสน่ห์ล่อลวงคน แน่นอนว่าทำให้สาวน้อยอย่างหลิวอี้เฟยตกตะลึง
ยามนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มีคำพูดจาบีบบังคับ ท่าทางนี้ยังอ่อนโยนอยู่หลายส่วน แต่ประกายบางอย่างในดวงตาคู่นี้ของเขาล้วนบอกนางว่าเขายอมลงให้นางหลายส่วนแล้ว หากนางยังดื้อรั้นนอกจากนางที่ต้องตายนางกำนัลของนางก็จะพลอยถูกสังหารไปด้วย
ถึงนางจะซื่อ แต่นางก็มิใช่คนโง่ หลิวอี้เฟยเข้าใจทุกสิ่ง ร่างกายที่คล้ายจะผ่อนคลายจึงเริ่มสั่นขึ้นอีก แต่ซุนป๋อเหวินก็ไม่คิดแยแส เขาบีบปากของนางให้อ้าออกแล้วแนบริมฝีปากมาคลอเคลียความนุ่มนิ่มของกลีบปากบาง
และยามนั้นเองที่มือหนาของเขาข้างหนึ่งได้ล้วงเข้าไปในสาบเสื้อของนางแล้วสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างที่นุ่มเด้งอวบล้นอยู่ด้านใน
หลิวอี้เฟยเบิกตากว้างคิดกรีดร้อง ทว่าเสียงเล็กของนางกลับถูกกลืนหายลงคอด้วยถูกคนผู้นี้สอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากดูดกลืนความหอมหวานนุ่มละมุนจนทำให้นางบังเกิดอาการแปลกประหลาดและไม่อาจควบคุมตนเองขึ้นโดยพลัน
“อื้อ ซุนป๋อเหวิน ทะ ท่านทำสิ่งใดตัวข้า”
เชิงอรรถ
1. ^ รักหยกถนอมบุปผา คือ สำนวนนี้หมายความว่าอ่อนโยนต่อผู้หญิง