สติของนางกำลังล่องลอยเมื่อบัดนี้ถูกมือหนาบีบเคล้นหน้าอกอวบอิ่มของตนเองอย่างรุนแรง ริมฝีปากของนางถูกดูดดุนขบเม้ม ทั้งปลายลิ้นของเขายังเกี่ยวกระหวัดรัดรึงจนทำให้ลมหายใจของนางติดขัด
ไม่น่าเชื่อว่าร่างกายนี้จะทำให้คนที่นิ่งสงบเช่นซุนป๋อเหวินบังเกิดความต้องการขึ้นมาอย่างรุนแรง
ก่อนหน้านี้เขาเพียงคิดทดสอบนางเท่านั้น ไม่เคยคิดที่จะล่วงเกินนางถึงเพียงนี้ ทว่าทันทีที่สัมผัสร่างน้อยในอ้อมกอดร่างกายราวกับถูกกระตุ้นจากยาปลุกกำหนัด ความร้อนรุ่มบังเกิดขึ้นจนเกินยับยั้ง
ยิ่งจูบก็ยิ่งกระหายจนกลายเป็นโหยหา เขาคิดว่านั่นคงเป็นเพราะกลิ่นอายแห่งความบริสุทธิ์ที่โชยออกจากร่างกำลังยั่วเย้าปีศาจร้ายที่อยู่ในตัวของเขายามนี้
แท่งหยกของเขาเหยียดขยายจนแข็งชัน มือหยาบเพราะจับต้องอาวุธมาอย่างยาวนานคลึงเคล้นเนื้อนวลแรงขึ้น เขาค่อย ๆ ลดใบหน้าลงมาดูดที่ลำคอขาวผ่อง ร่างของนางอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดลมหายใจติดขัดและท่าทางนี้ของนางก็คล้ายจะยอมรับในโชคชะตาที่ไม่ทันได้คำนวณเอาไว้ของตนเองแล้ว
หลายวันมานี้นางล้วนหลบอยู่ในตำหนักด้วยความหวาดกลัวว่าจะถูกเขาตามหาพบและสังหารนางทิ้ง
ทว่าวันนี้ได้พบหน้ากระทั่งตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือมัจจุราชหลิวอี้เฟยกลับรู้สึกว่าความหวาดกลัวของนางลดลงไปหลายส่วน
อาจจะเป็นเพราะนางยังพอเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ยังหวังว่าในวันหนึ่งเขาจะยอมช่วยเหลือและปล่อยนางไป หลังจากนั้นนางจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสภาวะจำยอมเช่นนี้อีก
เพราะริมฝีปากของใครบางคนที่กำลังกระทำการบางสิ่งบางอย่างอยู่ทำให้หลิวอี้เฟยสะดุ้งเฮือกและสติกลับมาอยู่กับตัวเองทันใด
บัดนี้ผ้ารัดเอวถูกเขาดึงออกไปจากกาย ทั้งสาบเสื้อของนางได้ถูกเขาแหวกออกจนเผยให้เห็นผิวขาวผ่องภายใต้ความสลัว
ดวงตาของซุนป๋อเหวินจับจ้องที่หน้าอกขาวนวลอวบอิ่ม นิ้วของเขาไต่ไล้ไปจนทั่วแล้วบีบเคล้นรุนแรง ริมฝีปากของเขาแห้งผากมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยอาการตกตะลึง
"งดงามยิ่ง"
หลังจากประโยคนี้หลุดออกจากปากเขาก็อ้าปากดูดก้อนเนื้อขาวเข้าไปในปากแล้วตวัดปลายลิ้นเลียยอดอกสีชมพูอย่างหลงใหล
ผลอิงเถาที่ติดอยู่ปลายยอดถูกเขาดูดเม้มคลึงเคล้าด้วยลิ้นร้อน ส่งผลให้หลิวอี้เฟยที่จากตกใจกลายเป็นสมองขาวโพลนเพราะลิ้นอันชำนาญกล้าแกร่งร้องเสียงหลงออกมา
"อื้อ พอเถิด หยุดเถิด อ้ะ ไม่เอาแล้ว หยุดเสียที ได้โปรด"
น้ำเสียงคร่ำครวญนี้หวานใสเจือสะอื้นเล็กน้อย ช่างเป็นน้ำเสียงที่ปลุกเร้าอารมณ์คนได้เป็นอย่างดี
ซุนป๋อเหวินนอกจากจะไม่หยุดแล้ว เขายังไม่อาจหักห้ามใจตนเองได้อีกต่อไป
"องค์หญิงสิบเอ็ด ร่างกายของท่านหอมยิ่งทั้งยังเนียนนุ่มมืออย่างประหลาด ต่อไปห้ามเข้าใกล้ชายใดอีกหากข้าไม่อนุญาต"
เขาจับจ้องนางอย่างหลงใหล หอบหายใจแรงขึ้นแล้วแลบลิ้นตวัดเลียเนื้อนวลขาวผ่องไปทั่วเต้าอวบ
ดวงตาของเขายามจับจ้องช่างร้อนแรงจนนางรู้สึกราวกับถูกไฟลวก นิ้วมือที่สัมผัสให้ความรู้สึกอันแสนประหลาด ยิ่งในยามที่ริมฝีปากแนบกับเนื้อของนางทำให้ร่างกายสาวสั่นระริกบังเกิดความรู้สึกราวจับไข้
หลิวอี้เฟยไม่เข้าใจอารมณ์นี้ของตัวเอง นางมิได้รังเกียจเขาและหัวใจก็ไม่ได้คิดผลักไส นั่นคงเป็นเพราะนางยอมรับชะตากรรมแล้ว ทั้งคิดว่าอย่างน้อยการปรนนิบัติเขาก็ยังทำให้นางเห็นทางรอด ทว่าหากถูกจับให้แต่งออกไปยังเมืองซีหนิงแล้วโอกาสที่นางจะได้ใช้ชีวิตเป็นของตนเองก็มืดมนแล้ว
ผิวเนื้อของนางเปียกชื้นเพราะริมฝีปากของเขา
ปลายยอดอกแข็งชันสู้ริมฝีปากและฝ่ามือ เสียงหายใจของซุนป๋อเหวินหอบแรงขึ้น เขาขยับปากมาประกบริมฝีปากของนางอีกครั้ง ปล่อยลิ้นร้อนเข้ามายั่วเย้าในโพรงปากเอ่ยเสียงแผ่วเบา
"สู้กับข้าสิ ใช้ลิ้นของท่านสู้กับข้า"
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกให้นางสู้ หลิวอี้เฟยจึงดันลิ้นเกี่ยวกระหวัดรัดคืน ในยามนั้นนางพลันรู้สึกได้ถึงความพึงพอใจและความสุขอันแสนหวานที่ค่อย ๆ บังเกิดขึ้นมา ทำให้นางรู้ว่า
ร่างของชายหญิงในยามที่สัมผัสกันเช่นนี้ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
เมื่อนางตอบสนองเช่นนี้ทำให้ซุนป๋อเหวินรู้สึกพึงใจยิ่งนัก มือของเขายังคลึงเฟ้นฟอนอยู่ที่เต้าถันข้างหนึ่ง ในขณะที่อีกข้างค่อย ๆ ลูบลงมาที่บั้นท้ายงามงอน เขาดึงกระโปรงของนางขึ้นมาสัมผัสได้ถึงกางเกงตัวในที่ซ่อนอยู่ภายใต้กระโปรง กางเกงตัวนั้นเป็นกางเกงผ้าไหมตัวโปร่งที่ไม่ต้องบอกว่าเบาบางเพียงใด
ทว่าก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายมากไปกว่านี้ เสียงกระแอมของอู๋ทงพลันดังขึ้น
"คุณชาย คนมารายงานว่าพบตัวคนที่เราตามหาแล้วขอรับ"
แม้จะอยู่ในช่วงอารมณ์เช่นนี้แต่ซุนป๋อเหวินก็หยุดการกระทำของตนเองลงทันใด มิหนำซ้ำยังปรับสีหน้าเป็นราบเรียบ ในขณะที่หลิวอี้เฟยได้แต่หอบหายใจใบหน้าแดงก่ำอยู่ในอ้อมอกแกร่ง
เขาดึงเสื้อของนางให้ปกปิดส่วนล่อตาล่อใจเอาไว้ ยกนางออกจากตักของตนเองพร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
"กลับไปรอข้าที่ตำหนัก ระหว่างทางอย่าให้เกิดเรื่อง"
ดูเหมือนว่าเขาจะวางท่าเคร่งขรึมได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่หลิวอี้เฟยรู้สึกราวกับถูกทิ้งขว้างท่ามกลางพายุพัดโหมกระหน่ำ ยามนี้นางได้แต่มองแผ่นหลังของเขาเดินจากไป ก่อนที่จะตั้งสติได้รีบจัดแจงเสื้อผ้าของตนเองด้วยท่าทางมึนงง
หลิวอี้เฟยจัดเสื้อผ้าของตนเองจนเรียบร้อยร่างกายทั้งใบหน้ายังคงแดงก่ำ หัวใจของนางยังเต้นถี่แรง ที่ตรงหน้าอกของตนเองยังคงมีความรู้สึกราวกับว่ามือเรียวของเขาวางทาบอยู่ตรงนั้น ทั้งยังริมฝีปากที่กลืนกินอย่างกระหายยิ่งทำให้นางรู้สึกร้อนรุ่ม มือเล็กของนางกำแน่นเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว
ยามนั้นขันทีน้อยผู้นั้นก็โผล่หน้ามาราวกับรู้จังหวะเวลา หลิวอี้เฟยตกใจที่จู่ ๆ ขันทีน้อยก็โผล่เข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียงในขณะเดียวกันก็บังเกิดความรู้สึกโล่งอกว่าเขาไปแล้วจริง ๆ
ขันทีน้อยทำความเคารพนางแล้วรินชาถ้วยหนึ่งส่งให้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
"เชิญองค์หญิงเสวยชาเสียก่อนพ่ะย่ะค่ะ คุณชายสั่งเอาไว้ว่าให้บ่าวส่งองค์หญิงจนถึงตำหนัก"
คงเป็นเพราะขันทีน้อยอยู่ในวังหลวงมาตั้งแต่เด็ก ท่าทางของเขาจึงเคร่งขรึมและรู้มารยาทเหมือนขันทีชั้นสูงที่ถวายงานชนชั้นสูงจนเคยชิน
หลิวอี้เฟยก้มหน้า คิดว่าเมื่อสักครู่นี้ที่เขาและนางทำเรื่องพวกนั้นขันทีน้อยผู้นี้จะเห็นหรือไม่
ทว่าเมื่อคิดไปคิดมาแล้วท่าทางของขันทีก็เป็นปกติยิ่ง เช่นนี้ขันทีน้อยผู้นี้คงไม่เห็นเรื่องน่าอับอายของนางกระมัง
มือเรียวยังคงสั่นเล็กน้อย นางประคองถ้วยชาขึ้นมาแล้วจิบช้า ๆ ฉับพลันความหอมหวานของดอกจี๋ฮวากระจายไปทั่วโพรงปากเพราะสิ่งนี้จึงทำให้หัวใจที่ยังเต้นระรัวเพราะเรื่องเมื่อสักครู่ค่อย ๆ สงบลง
นางค่อย ๆ ใคร่ครวญเรื่องราวของตัวเองช้า ๆ ยามนี้สิ่งที่นางต้องมีก็คือ สติ มิใช่หรือ
ในที่สุดก็สามารถระงับความรู้สึกวุ่นวายภายในใจได้ ต่อไปนางเพียงแค่ต้องเตรียมตัวรับมือคนผู้นี้ให้ดี ถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรก็ตามเถิด
นางตามขันทีน้อยออกจากตำหนักร้างด้วยความคิดมากมายที่วนเวียนอยู่ในหัว กระทั่งมาถึงตำหนักของตนเองเมื่อใดก็ไม่รู้ ขันทีน้อยส่งของบางอย่างให้นางแล้วเอ่ยว่า
"องค์หญิง นี่คือชาจี๋ฮวาที่คุณชายให้บ่าวมอบให้ท่านเป็นของกำนัลที่ท่านเชื่อฟังในวันนี้พ่ะย่ะค่ะ"
คำว่า ‘เชื่อฟัง’ นั้นทำเอาหลิวอี้เฟยสะดุ้งโหยงเมื่อคิดถึงริมฝีปากที่ดูดกลืนหน้าอกของตนเอง
ใบหน้าของนางพลันแดงซ่านขึ้นมาทันใด อาการที่สงบลงไปแล้วบังเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
นางยื่นมืออันสั่นเทาไปรับของขวัญชิ้นแรกที่เขามอบให้ด้วยความรู้สึกค่อนข้างฝืนใจ ดูเหมือนว่าระหว่างเขาและนางบัดนี้ล้วนเป็นเรื่องต่างฝ่ายต่างตอบแทนกันไปแล้ว
ก่อนที่นางจะหันหลังหมุนกายเข้าตำหนัก ขันทีน้อยคนนั้นก็ทัดทานเอาไว้แล้วเอ่ยว่า
"องค์หญิง คุณชายยังฝากบอกอีกว่า" แล้วขันทีน้อยก็ยกมือป้องปากกระซิบแผ่วเบา
"ในยามฟ้ามืด จะมาเยี่ยมองค์หญิงที่ตำหนักพ่ะย่ะค่ะ"
หลิวอี้เฟยตกใจแทบสิ้นสติ ของในมือร่วงลงพื้นทันใดนางยังคงอ้าปากค้างเมื่อขันทีน้อยก้มลงเก็บกล่องใส่ชาขึ้นมาแล้วยัดใส่มือของนางดังเดิม
ท่าทางของขันทีน้อยยังคงสงบก่อนที่เขาจะทำความเคารพแล้วหันหลังเดินจากไป ในใจของหลิวอี้เฟยได้แต่คิดวกวนซ้ำไปซ้ำมา
เขาคิดว่าเขาเป็นผู้ใดกันจึงกล้าหาญคิดเข้าตำหนักองค์หญิงในยามวิกาล ซุนป๋อเหวินท่านจะบีบคั้นข้าเกินไปแล้ว! ฮือ ฮือ ฮือ เช่นนี้จะหนีปีศาจตนนี้พ้นได้อย่างไรกัน