หลิวอี้เฟยบัดนี้ถูกหิ้วไปยังสถานที่ปลอดคนแห่งหนึ่ง ดูภายนอกเหมือนเป็นตำหนักร้างที่ถูกทิ้งเอาไว้
แน่นอนว่านางไม่เคยมายังตำหนักแห่งนี้มาก่อน เมื่อเข้าไปภายในนางกลับพบว่าเครื่องเรือนทุกชิ้นยังถูกเช็ดถูจนใหม่เอี่ยมเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้ถูกทิ้งร้างอย่างที่นางเข้าใจ
"โอ๊ย!"
ยามนั้นร่างเล็กของนางก็ถูกโยนลงบนพื้น หญิงสาวกลิ้งไปมาเหมือนลูกข่างอยู่ตลบหนึ่งจึงรู้สึกเวียนหัวอยู่ไม่น้อย
ครั้นลุกขึ้นได้น้ำตาก็เล็ดด้วยความรู้สึกเจ็บไปทั่วร่าง นางเงยหน้ามองซุนป๋อเหวินด้วยใบหน้าซีดขาว ร่างกายสั่นระริก
ซุนป๋อเหวินเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งขันทีน้อยอายุไม่น่าเกินสิบห้าปีผู้หนึ่งไม่รู้โผล่มาจากที่ใด ยังรีบนำชาร้อนมารินให้เขาอย่างคล่องแคล่ว
หลิวอี้เฟยหลุบตาด้วยความหวาดกลัว นางมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวังกระทั่งสบเข้ากับดวงตาคู่เล็กของขันทีน้อยผู้นั้น
ใบหน้าของขันทีน้อยยังดูเหี้ยมเกรียม บรรยากาศรอบข้างวังเวงยิ่ง กระนั้นนางก็ยังได้กลิ่นชาหอมกรุ่นโชยออกมาจากกาน้ำชาในมือของขันทีน้อย
จากกลิ่นนี้เดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นชาดอกจวี๋ฮวา[1] ชั้นเลิศที่เก็บในยามที่ดอกตูมได้ที่จึงส่งกลิ่นหอมได้เพียงนี้
นางยกมือทาบอกเมื่อคิดว่าคนผู้นี้ช่างขวัญกล้า ชาดอกจวี๋ฮวามีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่สามารถเสวยได้ เขาช่างไม่กลัวเกรงผู้ใดในใต้หล้าเสียจริง
นางหันมาอีกครั้งคนผู้นั้นก็จับจ้องนางอยู่ก่อนแล้ว เพียงสบตาร่างเล็กก็ยิ่งสั่นราวกับมีภูตผีเข้าสิงสู่ ท่าทางหวาดกลัวอย่างขลาดเขลานี้ทำให้ซุนป๋อเหวินรู้สึกรำคาญตาเป็นอย่างยิ่ง
"เจ้าออกไปก่อน"
เป็นอู๋ทงที่เอ่ยขึ้น ขันทีน้อยผู้นั้นทำความเคารพแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว ซุนป๋อเหวินยังไม่เอ่ยคำราวกับว่าเขาไม่มีปาก คนที่พูดแทนเขาจึงเป็นอู๋ทง
"ท่านคือองค์หญิงสิบเอ็ดที่ต้องถูกส่งตัวไปสมรสที่เมืองซีหนิงหรือ"
น้ำเสียงของอู๋ทงค่อนข้างราบเรียบและติดจะให้เกียรตินางในฐานะองค์หญิงอยู่มาก หลิวอี้เฟยจึงรู้สึกสบายใจที่ได้พูดคุยกับคนผู้นี้มากกว่าหัวหน้าองครักษ์ที่ตีสีหน้าเป็นมารร้ายผู้นั้น
"ใช่ เป็นข้า"
อู๋ทงพยักหน้า จากนั้นจึงเอ่ยต่อ
"นายท่านของข้าทำสิ่งใดก็ย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน ที่เชิญองค์หญิงมาที่นี่ด้วยเพราะคำสาบานขององค์หญิงในวันนั้น องค์หญิงต้องทำงานแลกเปลี่ยนเรื่องหนึ่ง"
"ระ เรื่องใด ขะข้าไม่มีความสามารถอันใด หากทำไม่สำเร็จพวกท่านจะยังฆ่าข้าหรือไม่ พวกท่านต้องสัญญากับข้าก่อน"
หลิวอี้เฟยกัดฟันแน่น เมื่อคนผู้นั้นยังจ้องมองท่าทางของนางยามนี้คล้ายจะตกใจตายได้ทุกเมื่อ ซุนป๋อเหวินส่ายหน้าเย็นชาเอ่ยคำออกมา
"ไม่สำเร็จก็ฆ่า"
ถ้อยคำนี้ทำให้หลิวอี้เฟยรู้สึกเหมือนกำลังถูกเขาบดร่างของนางจนละเอียด ขาของนางสั่นขึ้นมาทันใด
"ขะ ข้ายังไม่อยากตาย ท่านไยท่านโหดร้ายกับข้าเช่นนี้"
น้ำตาของนางปริ่มจะไหลออกมา ซุนป๋อเหวินเหมือนจะรำคาญแล้ว เขาตะคอกนางเสียงดัง
"ถ้าไม่อยากตายก็ต้องทำให้สำเร็จ"
โชคร้ายเป็นของนางอย่างแท้จริง นับตั้งแต่คืนนั้นที่นางคิดหนีออกจากวังหลวงด้วยไม่ต้องการแต่งงานกับอ๋องชราผู้นั้น ชีวิตที่เรียบง่ายของนางถูกเขาพังลงมาในพริบตา เขายังจะใช้ให้นางทำสิ่งใดอีก
เอาล่ะ หากไม่ทำก็ตาย เช่นนั้นลองฟังงานของเขาดูก่อน บางทีอาจมิใช่งานที่ลำบากและเห็นทางรอด
ซุนป๋อเหวินยังจ้องนางเขม็ง ไม่น่าเชื่อว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นจะกลายเป็นใบหน้าที่น่ากลัวในสายตาของนางได้เพียงนี้ ร่างกายของนางแข็งทื่อ สุดท้ายจึงแข็งใจถามออกไป
"ท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด"
ซุนป๋อเหวินยกชาขึ้นดื่ม ท่าทางสูงส่งยิ่งกว่าฝ่าบาท สายตาเย็นเฉียบลดระดับลงไปพอให้นางได้หายใจคล่องขึ้นเล็กน้อย ทว่าไอพิฆาตยังเอ่อล้นรอบกาย
คนที่รับบทพูดยามนี้จึงกลับมาเป็นอู๋ทง
"งานที่ว่าก็คือ องค์หญิงต้องไปนำของบางอย่างออกมาจากห้องบรรทมของไทเฮา และนำกลับไปไว้ที่เดิมในภายหลัง"
หลิวอี้เฟยอ้าปากค้าง ปากคอสั่น
"ขโมยของในตำหนักไทเฮาโทษเดียวคือประหารชีวิต ข้า ข้า ข้า ....ทำไม่ได้"
ซุนป๋อเหวินชักกระบี่ออกมาจากฝักครึ่งหนึ่ง เอ่ยคำอย่างไร้ปรานี
"คนไร้ประโยชน์ก็ต้องฆ่าทิ้ง คนไร้สัจจะก็ยิ่งจำเป็นต้องฆ่าสับร่างให้ละเอียดโยนให้ปลากิน องค์หญิงสิบเอ็ดข้าขออภัยที่ไม่อาจทำให้ศพของท่านอยู่ในสภาพที่ดีได้"
หัวใจของหลิวอี้เฟยแทบจะหยุดเต้น ร่างกายหนักอึ้งทั้งยังรู้สึกเจ็บไปทั้งร่างคล้ายตนเองยามนี้ได้ถูกเขาเลาะเนื้อหนังออกไปเรียบร้อย
นางรู้สึกว่าขาข้างหนึ่งของนางอยู่ในโลกหลังความตายไปแล้ว หากไม่รับปากโอกาสรอดนั้นไม่มีถึงหนึ่งส่วน ด้วยสติลนลานกลัวความตายที่มาจ่อคอ หลิวอี้เฟยจึงเอ่ยรัวเร็ว
"ระ รับปาก ข้าทำ ให้ขโมยสิ่งใดข้าทำแล้ว"
โฮ อึก! อึก!
จากนั้นนางก็เริ่มสะอื้นร่ำไห้ เสียงร้องของนางทำให้คนรู้สึกปวดแก้วหู ยามนี้ซุนป๋อเหวินรู้สึกว่าตนเองอาจจะคิดผิดที่จะให้สตรีผู้นี้ทำเรื่องสำคัญนี้
อู๋ทงยกนิ้วอุดหูก่อนจะเอ่ยว่า
"องค์หญิงสิบเอ็ดท่านอย่าได้กลัวไปเลย แผนการของคุณชายข้าน้อยนั้นไม่เคยพลาด ท่านเพียงทำตามคำสั่งให้ดีท่านไม่มีทางถูกจับได้"
หลิวอี้เฟยได้ยินดังนั้นก็ปาดน้ำตาทันใด แม้จะยังสะอื้นแต่นางก็ยังเอ่ยออกมาได้
"จริงนะ พวกท่านมีแผนการที่ดีจริงนะ"
อู๋ทงพยักหน้า ท่าทางของเขาดูน่าเชื่อถือคล้ายจะเป็นคนดีอยู่ไม่น้อย
นางยังหวนคิดถึงเรื่องที่พวกเขาลอบสังหารขันทีใหญ่ แม้นางจะรู้ว่ามีการสอบสวนแต่เรื่องนี้น่าประหลาดที่เงียบผิดปกติ เหมือนขันทีใหญ่ผู้นั้นไม่สำคัญแม้แต่น้อย
เรื่องนี้คนที่เก็บกวาดอยู่เบื้องหลังย่อมไม่ธรรมดา จึงสามารถปิดปากคนและยังปิดหูปิดตาฝ่าบาทได้
นางไม่เคยรู้เรื่องชิงไหวชิงพริบในวังหลวง ไม่รู้ว่าคนพวกนี้จะทำสิ่งใด นางเพียงบังเอิญผ่านเข้ามาเห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็นและถูกดึงมาพัวพันด้วย
กระทั่งเรื่องของขันทีใหญ่พวกเขายังกล้าทำอย่างอุกอาจ เช่นนั้นเรื่องขโมยของนางจะยอมเสี่ยงดูสักครั้ง น้ำตาของนางหยุดไหลทันใด นางรีบขจัดอารมณ์หวาดกลัวของตนเองแล้วเอ่ยถาม
"พวกท่านต้องการให้ข้าขโมยสิ่งใดกันแน่ แล้วมีแผนการอย่างไร"
อู๋ทงยิ้มพอใจในที่สุดองค์หญิงสิบเอ็ดผู้นี้ก็หยุดร้องไห้แล้ว
"เรื่องนั้นข้าจะบอกท่านภายหลัง แต่ระหว่างนี้ท่านจงเตรียมตัวให้ดีเถิดไม่ช้าไทเฮาจะยอมเรียกให้ท่านไปรับใช้ที่ตำหนัก ต่อจากนี้ไปองค์หญิงสิบเอ็ดท่านจะกลายเป็นคนโปรดของไทเฮา"
"จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าหรือจะกลายเป็นคนโปรด"
หลิวอี้เฟยยังมึนงง นางซึ่งเป็นองค์หญิงปลายแถวมาตลอดชีวิต ตั้งแต่เติบโตมาสามารถนับนิ้วได้เลยว่าเคยสนทนากับไทเฮากี่ครั้ง
วันนี้ที่ไทเฮาทรงยอมตรัสด้วยก็เพราะนางต้องเป็นตัวแทนแห่งความโชคร้ายแต่งออกไป แต่ต่อจากนี้นางล้วนไม่เข้าใจว่าตนเองจะกลายเป็นคนโปรดของไทเฮาจนพระองค์เรียกหาได้อย่างไร
อู๋ทงยกมุมปากยิ้มเล็กน้อยในขณะที่ซุนป๋อเหวินยังคงนั่งนิ่งฟังคนสองคนพูดโดยไม่เอ่ยคำใด
"องค์หญิงส่วนเรื่องวันนี้นั้น ท่านให้นายท่านช่วยเหลืออย่างไรก็ต้องตอบแทนไม่อาจติดค้างน้ำใจนายท่านของข้าได้ เช่นนั้นท่านก็ปรนนิบัตินายท่านดี ๆ เถิด"
"ท่านว่าอะไรนะ"
หลิวอี้เฟยร้องอย่างหวาดผวา อู๋ทงกล่าวจบก็หมุนกายจากไปอย่างรวดเร็ว
ประตูตำหนักถูกปิดมิดชิดแสดงสว่างแทบจะไม่ลอดเข้ามา ภายในตำหนักจึงมืดลงไปมาก
นางมองเห็นซุนป๋อเหวินเป็นปีศาจ รู้สึกหวาดกลัวจึงได้ก้าวถอยหนีช้า ๆ
ซุนป๋อเหวินเอนกายพิงเก้าอี้เงียบ ๆ ท่าทางผ่อนคลายยิ่ง ทว่าดวงตาของเขายังแข็งกร้าวร่างกายแผ่ไอเย็นจนผู้คนหนาวสั่น
หลิวอี้เฟยยกมือกอดอกตัวเอง ถูกเขาจับจ้องด้วยสายตาเช่นนั้นทำให้ขาแข็งก้าวไม่ออกแล้ว นางจึงเอ่ยถามเสียงสั่น
"ท่านจะให้ข้าทำอะไร อย่างน้อยข้าก็คือองค์หญิงที่กำลังจะแต่งออก ท่านไม่อาจล่วงเกินได้"
นางได้ยินเสียงถ้วยชากระแทกกับที่กระเบื้องที่รองถ้วยอย่างแรง จนคิดว่ามันอาจจะแตกในกำมือของเขา จากนั้นน้ำเสียงเยาะหยันของคนผู้นั้นจึงดังขึ้น
"ล่วงเกินได้หรือไม่ล้วนเป็นที่ข้าพึงพอใจ องค์หญิงสิบเอ็ดเป็นคนบอกข้าเองว่าจะแทนคุณ ยามนี้ที่ข้าเห็นว่าสิ่งที่จะแทนคุณได้มีเพียงร่างกายของท่านเท่านั้น เช่นนั้นจงก็คิดว่าเป็นความโชคดีแล้วที่ร่างกายนี้ถูกใจข้านัก ในเมื่อเป็นคนของข้าแล้วทุกสิ่งของท่านก็ต้องมอบให้ข้าเช่นกัน องค์หญิงสิบเอ็ดคงไม่คิดขัดขืนกระมัง"
หลิวอี้เฟยกัดปาก นางจะทำเช่นไรดีหันหน้าไปทางใดล้วนไร้ทางออกแล้ว หรือว่าจะยอมตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ในขณะที่กำลังคิดใคร่ครวญ จู่ ๆ ซุนป๋อเหวินก็คล้ายจะรู้ทัน
"ยามนี้นอกจากองค์หญิงแล้วก็ยังมีนางกำนัลคนนั้นสินะที่ท่านห่วงนาง หากท่านตายองค์หญิงคิดว่านางจะยังอยู่รอดหรือไม่ หรือนางอยากจะตายไปเป็นเพื่อนท่านกันนะ"
"นี่ท่าน..."
หากเพียงตนเองยังไม่หวาดกลัวความตายเท่านี้ แต่เมื่อยกชีวิตของเหมยลี่มาอ้างหลิวอี้เฟยก็พูดไม่ออกแล้ว
เหมยลี่คือคนคนเดียวที่ดีกับนางในโลกนี้ ไม่อาจทำให้เหมยลี่เดือดร้อนได้
หลิวอี้เฟยกัดฟันแน่น ใบหน้าขาวซีดแล้วซีดอีกร่างเล็กโปร่งบางจนคล้ายวิญญาณตนหนึ่ง
"กะ ก็ได้ คนอื่นท่านอย่ายกมาอ้าง ขะ ข้า ยอมปรน....ปรนนิบัติ...ท่าน"
ซุนป๋อเหวินหัวเราะในลำคอ สตรีนางนี้ช่างอ่อนด้อยประสบการณ์ทั้งยังบริสุทธิ์ยิ่ง ชีวิตตนเองไม่คิดหวงแหนเท่ากับชีวิตของนางกำนัลผู้หนึ่ง ไม่น่าขันไปหน่อยหรือ
ทว่าถึงจะน่าขันแต่ทั้งใบหน้านี้ และร่างกายนี้ของนางล้วนน่าสนใจ
นางมิใช่คนงามหยาดเยิ้มในสายตาเขาด้วยชีวิตนี้ผ่านคนงามมากมายแต่ด้วยความบริสุทธิ์เช่นนี้ซุนป๋อเหวินแทบจะไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต
เช่นนั้นนางจึงดึงดูดเขานัก
เชิงอรรถ
1. ^ ดอกจี๋ฮวา หมายถึง ดอกเก็กฮวย