Traf says:
“ไปเที่ยวกันนะเค้ก” ผมบอกพร้อมกับฉีกยิ้มให้เค้ก โดยที่ผมก็ลืมไปว่าเค้กมองไม่เห็น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากยิ้มอยู่ดี
เค้กดูอึกๆอักๆเหมือนทำอะไรไม่ถูก ผมเลยดันตัวเขาให้เข้าไปในห้องแล้วผมก็เดินเข้าห้องตามไปด้วย ยืนอยู่กลางห้อง ส่วนเค้กยังยืนหันหน้าเข้าหาประตูอยู่เลย ผมจึงเดินเข้าไปใกล้แล้วก็จับตัวเค้กหมุนหันมาหาผม แก้มใสๆกับตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อย เหมือนเด็กเล็กๆนั่น ทำให้ผมรู้สึกหมั่นเขี้ยว
เห็นแล้วอยากฟัด!
“เค้ก วันนี้พี่จะพาเราไปเที่ยว อยากไปที่ไหนหรือเปล่า” ผมถามเค้กก่อนจะดึงตัวเค้กให้ไปนั่งลงที่ปลายเตียง
“คือ...เค้กไม่อยากไปไหนหรอกครับ” เค้กก้มหน้าตอบเสียงเบา บีบมือตัวเองไปมา
“ต้องอยากสิ อยู่แต่ในห้องน่าเบื่อจะตาย เอาแบบนี้ไหม วันนี้เราไปเดินเล่นหาอะไรอร่อยๆกินกัน” ผมถามเพราะดูเป็นกิจกรรมที่เค้กพอจะทำได้มากที่สุด
“แต่...” เค้กเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป
“แต่อะไรครับ” ผมนั่งยองๆลงตรงหน้าเค้ก จับมือเล็กๆทั้งสองข้างมากุมไว้ มือนิ่มจัง
“เค้กเกรงใจ แบบว่า เราไม่รู้จักกัน แล้วก็...เอ่อ เค้ก...” คำพูดตะกุกตะกักกับน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วเหมือนขาดความมั่นใจ ผมเลยต้องลูบหัวคนตรงหน้าเบาๆ ไม่มีใครที่อยากอยู่แต่ในห้องหรอก แต่คงเป็นเพราะว่าเค้กไปไหนไม่ได้เลยเลือกที่จะอยู่แต่ในห้อง เรื่องอื่นๆผมก็ไม่รู้เพราะผมเพิ่งรู้จักเด็กคนนี้แค่สองวันเอง
เพียงแค่สองวัน แต่มีบางอย่างทำให้ผมรู้สึกถูกชะตาและเอ็นดูเค้ก พอดีวันนี้ว่าง ผมจึงอยากจะพาเค้กไปเที่ยว จะเรียกว่าสงสารก็ได้ ยิ่งเมื่อวานที่เขาร้องไห้ผมก็ยิ่งรู้สึกสะเทือนใจ เลยตัดสินใจมาชวนไปเที่ยว เผื่อว่าจะเค้กจะรู้สึกดีขึ้น
“งั้นเค้กตอบคำถามพี่ดีกว่า ตอบแบบที่ใจคิดนะ รู้ไหมครับ พี่จะได้รู้ไงว่าเค้กคิดยังไง” ผมถามเขาอย่างใจเย็น ผมว่าเค้กต้องกังวลอะไรสักอย่างถึงได้มีท่าทีแบบนี้
เค้กนิ่งไปสักพักก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ผมก็เริ่มถามทันที
“เค้กอยากไปเที่ยวไหม”
“ยะ...อยากครับ”ผมยิ้มเมื่อได้ฟังคำตอบ
“แล้วทำไมถึงลังเลล่ะครับ”
“เค้ก...กลัว”
“กลัว? กลัวอะไร”
“ก็...เค้กไม่รู้จักพี่ ไม่รู้ว่า...พี่เป็นคนดีหรือเปล่า”
ผมแทบอยากจะเอามือตบหน้าผากตัวเองหลายๆที ทำไมผมลืมคิดไปได้วะ ผมเพิ่งเจอเค้กวันนี้วันที่สอง เค้กมองไม่เห็น อยู่ตัวคนเดียว ไม่แปลกที่เขาจะไม่ไว้ใจหรือกลัวผม ผมนี่แม่งโง่จริงๆเลย ถ้าเป็นผม ผมก็กลัวเหมือนกันแหละวะ เป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ เพิ่งรู้จักกันไม่เท่าไหร่ก็มาชวนไปเที่ยว ถึงแม้เค้กจะไม่ใช่ผู้หญิงแต่ความน่ารักนี่ผู้หญิงยังต้องอายเลย ไม่แปลกที่เค้กจะระแวงระวัง
เพราะผมเอาแต่ใจตัวเองเขาถึงได้กลัวแบบนี้ งั้นแสดงว่าท่าทางที่ดูเป็นกังวล พูดตะกุกตะกักก็เพราะว่า...กลัว
ควายจริงๆเลยกู
“พี่เข้าใจแล้วครับ แต่ว่าพี่จะไม่บอกให้เราเชื่อหรอกนะว่าพี่เป็นคนดีหรือเปล่า แต่เอาเป็นว่าให้เค้กลองพิสูจน์ด้วยตัวเองดูแล้วกัน ดีไหม”
เค้กเงยหน้าขึ้นนิดหน่อยแต่ก็ไม่ยอมตอบ ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไงให้คนตรงหน้าเชื่อว่าผมไม่มีเจตนาร้ายๆ
“เค้กไม่รู้”
“งั้นพี่สัญญาแบบลูกผู้ชายเลยล่ะกัน ว่าจะไม่ทำอะไรน้องเค้กเด็ดขาด ถ้าทำของให้ฟ้าผ่าเลยดีไหม”
“ก็...ได้ครับ” เค้กรับปากในที่สุด ผมขยี้หัวเค้กเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว ผมอยากมีน้องชายที่น่ารักอย่างนี้ ผมมีน้องชายคนหนึ่งแต่มันค่อนข้างเหมือนผม เป็นเด็กผู้ชายที่โคตรจะเป็นผู้ชายทั้งคำพูดคำจาก็กวนตีนเอามากๆ ผมอยากได้น้องชายที่น่ารักพูดจาว่านอนสอนง่ายมากกว่า แล้วตอนนี้ผมคิดว่าผมมีแล้ว แถมยังน่ารักน่าชังอีกด้วย
“หิวไหมเค้ก กินข้าวเช้าหรือยัง” ผมถามเค้กก่อนจะเปิดประตูลงจากรถและเดินข้ามฝั่งไปเปิดประตูให้เค้ก ก่อนจะช่วยประคองลงมา
“นิดหน่อยครับ”
ผมจูงมือคนตัวเล็กกว่าให้เดินตามก่อนจะเริ่มคิดว่าจะเอาไงกับเด็กน้อยคนนี้ดี ไม่ใช่แค่หิวนิดหน่อยหรอกครับ ตอนอยู่บนรถแม้ว่าผมจะเปิดเพลงแต่ผมก็ยังได้ยินว่าท้องเขาร้องหลายครั้งมาก คงจะเกรงใจตามเคย
“เค้กอยากกินอะไร” ผมลองถามเค้กทั้งๆที่พอเดาคำตอบได้อยู่แล้ว
“อะไรก็ได้ครับ”
นั่นไง...กูว่าแล้ว!!! ซื้อหวยไม่เคยถูก
“งั้นเรามาตกลงอะไรบางอย่างกันก่อนดีกว่า” ผมหยุดเดินและหันหน้าเข้าหาเค้กที่หยุดยืนเหมือนกัน
“อะไรครับ”
“ต่อไปนี้เวลาที่พี่ถามว่ากินอะไรห้ามตอบว่าอะไรก็ได้”
“ทำไมครับ”
“เพราะพี่อยากให้เค้กเลือกไงครับ ถ้าเค้กตอบว่าอะไรก็ได้แล้วพี่จะรู้ได้ไงล่ะครับว่าเค้กอยากกินอะไร”
“แล้วพี่อยากกินอะไรล่ะ พี่จะให้แต่เค้กคิดเหรอครับ”
อืม คนตรงหน้านี่ไม่โง่เลยแหะ ติดจะฉลาดด้วยซ้ำไป และผมก็ได้ไอเดียบางอย่างที่จะยุติเรื่องนี้
“งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน เราผลัดกันเลือกคนละครั้ง ครั้งนี้พี่ให้เค้กเลือก แล้วครั้งหน้าพี่จะเป็นคนเลือก โอเคไหม”
“โอเคครับ แต่ว่า...ทำไมต้องให้เค้กเลือกครั้งนี้ด้วยล่ะ” เค้กถามกลับมา สีหน้าก็ดูสงสัย
“ก็...ก็พี่อยากตามใจเค้กไง อะไรแบบนี้” โครตเป็นข้อแก้ตัวที่แย่จริงๆเลยว่าไหม แต่ผมไม่มีเหตุผลนี่น่าว่าทำไมถึงอยากให้น้องเลือกว่าอยากกินอะไร ก็แค่อยากให้เลือก อยากตามใจก็แค่นั้น
“เค้ก..ไม่รู้ว่ามีอะไรให้กินบ้าง” คิ้วที่ขมวดเข้าหากันนิดๆบ่งบอกว่าเค้กคงกำลังคิดอยู่ว่าจะกินอะไร
“ก็อย่างเช่น สุกี้ อาหารญี่ปุ่น อาหารอิตาเลียน พิซซ่า ก๋วยเตี๋ยว อะไรพวกเนี่ยอ่ะครับ” ผมยกตัวอย่าง
“อืม..เค้กอยากกินพิซซ่าครับ” เค้กตอบหลังจากที่นิ่งคิดมาครู่หนึ่ง
“โอเค งั้นเราไปกินพิซซ่ากัน” ว่าแล้วผมก็จับมือเค้กเดินไปที่ร้านพิซซ่าทันที ระหว่างทางก็มีคนมองมาที่ผมกับเค้กตลอดทาง มองแล้วก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อย จนผมชักเริ่มจะหงุดหงิด
ผมไม่ใช่คนใจเย็นอะไรหรอกครับ แต่ผมพยายามควบคุมตัวเองอยู่ตลอดเวลาต่างหาก แต่จะว่าไปแล้ว ผมไม่เคยมีความรู้สึกรำคาญ หงุดหงิด หรือความรู้สึกด้านลบเวลาอยู่กับเค้กเลยนะ ยกเว้นเวลาเค้กทำหน้าเศร้า ผมก็จะรู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วย
เมื่อมาถึงร้านผมเลือกที่นั่งด้านในๆ เพราะไม่ชอบนั่งติดกระจกด้านนอก เพราะไม่ชอบให้ใครมาจ้องมามองเวลากินข้าวสักเท่าไหร่
ผมให้เค้กนั่งด้านในส่วนผมก็นั่งลงข้างเขา เวลาจะช่วยเค้กหยิบจับทำอะไรระหว่างมื้ออาหารจะได้สะดวกขึ้น
“กินอะไรดีเค้ก” ผมเอ่ยถามเบาๆหลังจากที่พนักงานเอาเมนูมาวางให้เค้กเล่มผมเล่ม แต่เค้กคงไม่จำเป็นต้องใช้
“มีอะไรบ้างครับ เค้กไม่รู้”
“อืม เอาหน้าพิซซ่าก่อนล่ะกันเค้กชอบกินหน้าอะไร”
แต่ผมก็ฉุกคิดได้อย่างหนึ่งว่า เค้กจะเคยกินหรือเปล่า แบบว่า...เค้กมองไม่เห็นแล้วจะรู้ไหมว่ามันมีหน้าอะไรบ้าง แต่คำตอบที่ได้จากปากเค้กก็ทำให้ผมโล่งใจ
“เค้กชอบหน้าฮาวายเอียน แต่ถ้าพี่ทราฟ...อยากกินอย่างอื่น...”
“ไม่ครับ เอาตามที่เค้กนั่นแหละชอบดีแล้ว กินสปาเก็ตตี้ไหมครับ”
“ก็ได้ครับ อยากอื่นพี่ทราฟเลือกได้ไหม คือ...เค้กไม่รู้” เค้กบอกเสียงเบา
“ได้ครับ ว่าแต่มีอะไรที่เค้กกินไม่ได้ไหม” ผมถามเผื่อเค้กจะแพ้อาหารอะไร
“เค้ก...กินเผ็ดไม่ค่อยได้ครับ”
“โอเค งั้นที่เหลือเดี๋ยวพี่จัดการเอง”
ผมกวักมือเรียกพนักงานมาสั่งอาหาร ผมสั่งอาหารหลายอย่างเพราะไม่รู้ว่าเค้กจะชอบอะไรบ้าง จนเค้กต้องออกปากห้ามเพราะผมสั่งอาหารเยอะเกินไป
“ทำไมพี่ทราฟสั่งเยอะจังครับ เราจะกินกันหมดเหรอ” เค้กถามผมหลังจากที่พนักงานรับออร์เดอร์เสร็จแล้วเดินกลับไป
“ไม่หมดก็ไม่เป็นไรนี่ครับ” แต่ปกติผมก็ไม่เคยกินเหลือนะ ผมกับเพื่อนเวลากินกันทียิ่งกว่าห่าลง ไม่มีคำว่า ‘กินเหลือ’ ในสารบบชีวิตพวกผมหรอก
“แต่ถ้าเหลือมันน่าเสียดายนะครับ”
“ไม่เหลือแน่นอนครับ เพราะเค้กต้องช่วยพี่กินให้หมด” ผมยิ้มกว้าง ตั้งใจสั่งมาให้น้องกินเยอะๆอยู่แล้ว เพราะผมว่าเค้กตัวเล็กแล้วก็ผอมเกินไป ไม่รู้ว่าลมพัดมาทีตัวผอมๆนี่จะปลิวไปกับลมหรือเปล่า
นั่งรอประมาณเกือบชั่วโมงจากที่หิวเฉยๆก็กลายเป็นหิวมากๆ โดยเฉพาะคนตัวเล็กที่ถึงกับเอ่ยปากถามว่าเมื่อไหร่อาหารจะมา ไอ้ท่าทีเกร็งๆ เหมือนจะกล้าถามแต่ก็ไม่กล้าถามทำเอาผมแทบหลุดขำด้วยความเอ็นดู น่ารักจนผมอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มใสๆของน้องไปทีสองทีเพราะความหมั่นเขี้ยว
และในที่สุดอาหารก็มาเสริฟสักที ผมตักพิซซ่าชิ้นหนึ่งวางบนจานเค้ก เหยาะซอสมะเชือเทศให้หน่อย ตามด้วยชีสเล็กน้อย ก่อนจะจับมือเค้กให้แตะที่พิซซ่าเพราะเค้กยืนยันที่จะกินเอง ส่วนผมก็มีหน้าที่หยิบวางใส่จานให้เค้ก จะมีบ้างที่ผมป้อน แต่ก็ไม่บ่อยเพราะเค้กไม่ยอม จะกินเองท่าเดียว
กินไปกินมา ผมสังเกตุเห็นว่ามีซอสมะเขือเทศติดที่มุมปากของเค้ก แต่ดูท่าเค้กจะไม่รู้เรื่องผมเลยใช้มือเช็ดออกให้
“อ๊ะ!” เค้กร้องอุทานเบาๆพร้อมกับหยุดกินทั้งที่แก้มสองข้างยังป่องเพราะกำลังเคี้ยวสปาเก็ตตี้อยู่
“เค้กกินยังกับเด็ก ดูสิ ซอสเลอะแก้มไปหมดแล้ว ฮะๆ” ผมพูดแล้วก็ขำนิดๆ พลางแกล้งแซวเค้กไปด้วย เวลาเค้กหน้าแดงแลดูน่ารักน่าฟัดยิ่งกว่าเดิม
“พี่ทราฟ!...เค้ก...ไม่ใช่เด็กแล้วนะ” เค้กพูด ใบหน้าก็ยิ่งแดงเข้าไปใหญ่
“จริงอ่ะ” ผมแกล้งอีกรอบ
“จริง...เค้กโตแล้ว” >//<