ตอนที่ 8 รับฮูหยินรอง

1645 Words
ฟ่านเหยาเหยาตื่นขึ้นมาในตอนรุ่งสาง ก็สบเข้ากับนัยน์ตาคมเข้มของคนที่นอนอยู่ด้านข้าง ทั้งสองมองสบตากัน และกลายเป็นนางที่หลบสายคมเข้มนั้นเสียเอง "เหยาเอ๋อร์ หิวหรือไม่" "ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่หิว นี้ก็สายมากแล้วนะเจ้าค่ะ ตอนนี้ไม่รู้ว่าล่วงเข้ายามใดแล้ว ท่านแม่ทัพเล่าหิวหรือไม่" "หิวสิพี่ยังไม่อิ่มเลย" หลังกล่าวจบ ก็มองสบตานางด้วยสายตาเป็นประกาย ทำไมนางจะไม่เข้าใจสายตาที่เขาใช้มองนางนั่นเล่า คนอย่างนางผ่านโลกมาแล้วมากมาย พบผู้คนมาก็มาก สายตาแบบนี้บอกได้คำเดียวว่า เขายังไม่อิ่ม!!จะอิ่มได้เช่นไรในเมื่อเขายังไม่ทันได้กิน นางได้แต่หยิกเข้าไปที่ต้นแขนของเขาอย่างหมั่นเขี้ยว "ท่านพี่ถ้าท่านหิวแล้วก็ลุกเถิดเจ้าค่ะ น้องจะได้ให้บ่าวรับใช้เตรียมสำรับไว้รอ" หลังพูดจบนางก็รีบลุกขึ้นจากเตียงนอน ทำเป็นไม่เข้าใจความหมายของเขา แต่ไฉนเลยคนตัวโตจะยอมง่ายๆ เมื่อเห็นนางกำลังจะก้าวออกจากเตียง เขาก็รีบรั้งเอวบางไว้ดึงนางเข้ามาแนบอกแกร่งทันที อย่างแนบชิด "อ่ะ ท่านทำอะไรเจ้าคะ อีกสักพักเดี๋ยวบ่าวไพร่ก็เดินเขามาแล้ว ปล่อยนะเจ้าคะ" "ทำไมต้องปล่อยด้วยเล่าพี่กอดฮูหยินของตนเองไยต้องอายบ่าวไพร่ด้วยหรือ ก็แค่กอดทำมากกว่านี้เมื่อคืนพี่ก็ทำมาแล้ว" ไม่พูดเปล่าเขายังก้มลงไปหอมแก้มนางเสียฟอดใหญ่ ฟ่านเหยาเหยาพยายามดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอด ของเขา เมื่อคนตัวโตเห็นนางดิ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งอยากแกล้งนางมากขึ้นเท่านั้น เสียงหัวเราะของแม่ทัพใหญ่ดังออกมาจากภายในห้อง ในน้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่าเขากำลังมีความสุขเพียงใด แต่มันก็ทำให้บ่าวไพร่ต่างอมยิ้มไปตามๆ กัน เมื่อเห็นนายของตัวเองมีความสุข กว่าจะเข้าใจกันได้ กว่านายทั้งสองจะมีช่วงเวลาที่มีความสุขด้วยกันเช่นนี้ ช่างยากเย็นเหลือเกิน แต่สำหรับฟ่านเหยาเหยาแล้ว นางกลับรู้สึก สับสนอย่างแปลกประหลาด ความรู้สึกที่นางโหยหามานานเช่นนี้ กลับทำให้นางรู้สึกอิ่มเอมในหัวใจอย่างที่นางไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่เขาจะทำอย่างเช่นที่ได้ให้สัญญาไว้กับนางได้จริงหรือ เพราะความผิดหวังจึงทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวที่จะเชื่อใจเขาอีกครั้ง นั่นจึงทำให้หญิงสาวตั้งป้อม กั้นกำแพงของตนเองเอาไว้ เพราะด้วยกลัวว่าจะรู้สึกผิดหวังอีกครั้ง เมื่อเหยียนเชี่ยหลงกลั่นแกล้งนางจนพอใจแล้ว เขาก็เรียกให้สาวใช้เข้ามาปรนนิบัติ หลังจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็มารับสำรับเช้าพร้อมกัน นางแทบจะไม่ต้องตักข้าวเข้าปาก เขาจะคอยคีบนั่นคีบนี่เข้าปากให้นางตลอด "ท่านอย่ามัวแต่คีบอาหารให้ข้า ท่านก็คีบเข้าปากตัวเองบ้างเถอะ ข้าจะท้องแตกอยู่แล้ว" "ทานเยอะๆ หน่อยเถิด ตัวเจ้ารู้สึกว่าจะผอมไปนิด เพิ่มขึ้นอีกหน่อยจะได้เต็มไม้เต็มมือมากกว่านี้" "ท่าน!!!" หลังพูดจบนางก็เอื้อมมือไปหยิกแขนเขาอย่างหมั่นเขี้ยว ดูเอาเถิดบ่าวไพร่อยู่ตั้งมาก เขายังกล้าเย้านางอีก เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำดั่งผลอิงเถาของนางแล้ว เขาก็ยกยิ้มด้วยความพอใจ นางจึงชวนเขาเปลี่ยนเรื่องคุย เพื่อหนีออกจากบรรยากาศที่น่าอายนี้ ก่อนที่นางจะกล่าวอันใดก็ไม่ลืมให้บ่าวไพร่ถอยออกไปจากบริเวณนี้ด้วย "วันนี้ข้าว่าจะกลับไปดูบุรุษที่ข้าช่วยไว้เมื่อคืนเจ้าค่ะ" จากใบหน้าที่ยิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นหุบยิ้มลงโดยฉับพลัน "จะไปดูอันใดอีก ไม่ใช่ว่ารักษาเขาเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ ทำไมต้องใส่ใจกับคนที่เจ้าไม่รู้จักด้วย" "ถึงอย่างไร ข้าก็ได้ลงมือช่วยเขาไปแล้ว ถ้าจะช่วยก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ข้าแค่จะไปตรวจอาการของเขาดูว่าเขาปลอดภัยรึยัง และก็จะเอาอาหารไปให้เขาด้วย โบราณว่าช่วยชีวิตคนดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นนะเจ้าค่ะ " "ถ้างั้นเดี๋ยวพี่จะไปกับเจ้าด้วย พี่ไม่วางใจที่จะให้เจ้าไปเพียงลำพัง" "ตามใจท่าน" หลังจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคนก็เดินทางไปยังกระท่อมร้างในป่า ที่ๆ นางได้ช่วยเหลือบุรุษแปลกหน้าไว้เมื่อคืน แต่เมื่อเดินทางมาถึงกระท่อมร้างแห่งนั้น ก็พบกับความว่างเปล่า ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ "เอ๊ะ เขาหายไปไหนเมื่อคืนมิใช่ว่าบาดเจ็บสาหัสหรอกหรือ" ถึงแม้ว่าเมื่อคืน นางจะได้ช่วยเหลือเขาไว้แล้วเบื้องต้นแต่ก็ถือว่าอาการของเขายังสาหัสพอสมควร เช้านี้นางได้เตรียมยาสมุนไพรที่ใช้รักษาบาดแผลและติดเชื้อในร่างกายของเขา แต่เมื่อมาถึง กลับพบเพียงความว่างเปล่าซึ่งทำให้นางแปลกใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่างเถิด ถือว่านางได้ทำเต็มที่แล้ว ดูแล้วน่าจะมีคนมาช่วยเขาไว้ เพราะดูจากลักษณะท่าทางของเขา ก็ไม่ใช่คนที่ดูเป็นคนตกยาก ถือว่าเขาเป็นผู้ที่มีฐานะผู้หนึ่ง อาจจะเป็นคนของเขามาช่วยเขาไว้ก็เป็นได้ คิดได้ดังนั้นนางจึงชวนเหยียนเชี่ยหลงกลับไปที่จวนตระกูลเหยี่ยน โดยนางหารู้ไม่ว่า ในเวลานี้นั้นมีบุคคลผู้หนึ่งกำลังติดตามพวกเขาไปอย่างเงียบๆ เมื่อมาถึงจวนเงาดำสายนั้นก็หายไป แต่มีหรือที่คนอย่างแม่ทัพเหยียนเชี่ยหลงจะไม่รู้ว่ามีผู้ติมตามพวกเขามา แต่ในเมื่อคนผู้นั้นไม่ได้มีท่าทีคุกคามหรือเจตนาร้ายเขาจึงยังดูท่าทีไปก่อนไม่คิดจะทำอะไร เมื่อกลับมาถึงจวนก็มีกงกงจากวังหลวง มารอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อพบกับกงกง จึงทราบว่ามีราชโองการจากฮ่องเต้ให้เขาเข้าวังทันที จึงไม่รอช้า เขาจึงรีบแต่งตัวและเข้าวังไปพร้อมกับกงกงอย่างรวดเร็ว ณ ท้องพระโรงแคว้นถัง "เจิ้นรอเจ้าอยู่นานทีเดียว มีเหตุอันใดที่ทำให้เจ้าเข้าวังมาพบเจิ้นช้างั้นรึ" ฮ่องเต้ตรัสออกไปด้วยพระสุรเสียงที่ไม่จริงจังนัก หากจะว่าไปแล้ว ระหว่างท่านแม่ทัพกับฮ่องเต้นั้นถือว่าเป็นพระสหายสนิทกันมาก่อน เพียงเรื่องแค่นี้จะทำให้พระองค์ขุ่นเคืองพระทัยได้เช่นไร "ขอประทานอภัยพ่ะย่ะ ค่ะ เนื่องด้วยกระหม่อมออกไปทำธุระกับฮูหยินของกระหม่อมตั้งแต่ช่วงเช้า จึงทำให้ไม่ทราบว่าพระองค์มีพระประสงค์จะพบตัวกระหม่อม" "ออ เรื่องเป็นเช่นนี้" "งั้นเราก็มาเข้าประเด็น กันเถิด ที่เจิ้นเรียกตัวเจ้ามาวันนี้ ก็ด้วยว่าเจิ้นพึ่งทราบข่าวว่า เจ้าพึ่งปลดอนุภรรยา ของเจ้าไป ตอนนี้เจ้าจึงมีเพียงแค่ฮูหยินเอกเท่านั้นที่คอยดูแล เจิ้นจึงต้องการให้เจ้ารับฮูหยินรองแต่งเข้าจวนเพื่อแบ่งเบาภาระของฮูหยินเอกเป็นเช่นไร" เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่านแม่ทัพเหยียนเชี่ยหลงก็คิ้วกระตุกขึ้นมาทันที เขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาสัญญากับเหยาเอ๋อร์เอาไว้แล้ว ว่าเขาจะมีนางเพียงคนเดียว ขนาดครั้งที่แล้วที่เขารับอนุภรรยา นางยังจะขอหย่ากับเขา แล้วครั้งนี้เขาต้องรับฮูหยินรอง นางจะไม่ไปจากเขาหรือ เขาเชื่อแล้วว่าเหตุการณ์เมื่อครั้งนั้น ถือว่าเป็นความผิดครั้งแรก นางยังพอให้อภัยเขาได้ แต่หากยังมีอีกครั้ง เกรงว่าคราวนี้นางคงไม่ยอมให้อภัยเขาเป็นแน่ เขาจะยอมรับเรื่องนี้ได้เช่นไร เมื่อคิดได้ดังนั้น ก่อนที่ฮ่องเต้จะทรงรับสั่งอันใดต่อ เขาจึงได้ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน "กราบทูลฮ่องเต้เรื่องนี้กระหม่อม คงไม่อาจทำตามพระประสงค์ของฝ่าบาทได้ อันเนื่องมาจาก กระหม่อมนั้นได้ให้สัญญากับฮูหยินของกระหม่อมเอาไว้แล้ว ว่าจะมีนางเพียงผู้เดียว แล้วเรื่องที่กระหม่อมรับอนุภรรยาเมื่อครั้งก่อนนั้น ก็ถือว่าเป็นความจำเป็น ในครั้งนี้กระหม่อมจึงขอปฏิเสธ เพื่อที่จะทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับสตรีอันเป็นที่รักของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ" เขากล่าวออกไปด้วยความหนักแน่นไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย "หือ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ" "ขอพระองค์ทรงโปรดเข้าพระทัยกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ" "ในเมื่อเจ้ายืนกรานหนักแน่นเช่นนี้ เจิ้นจะกล่าวอันใดได้อีก" เรื่องการแต่งภรรยาเข้ามาในจวน เพื่อที่จะคงไว้ซึ่งอำนาจของตัวเอง ถือว่าเป็นเรื่องปกติของบุคคลในราชสำนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลอย่างแม่ทัพเหยียนเชี่ยหลงนั้น ถือว่าเป็นคนของฝ่าบาทโดยเฉพาะ เป็นเรื่องปกติที่พระองค์ต้องการเพิ่มฐานอำนาจ ให้แขนขาของพระองค์ เพื่อที่จะได้เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้น "เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็มาเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนเจิ้นสัก กระดานเถิด" เมื่อเล็งเห็นถึงความแน่วแน่ในดวงตาของสหายพระองค์จึงได้แต่ยอมแพ้ ที่จะให้เขารับฮูหยินรองเข้าจวน เรื่องความรักที่สหายของตนมีต่อฮูหยินของเขานั้นพระองค์ก็พอจะทราบมาอยู่บ้าง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD