หลังจากฟ่านเหยาเหยาใช้วิชาตัวเบา เหยียบยอดไม้มาทีละต้นใช้เวลาประมาณเกือบ 1 ชั่วยาม ตอนนี้ก็ล่วงเข้ายามอิ๋นแล้ว (03:00 -04.59) ตอนนี้นางเหนื่อยล้าเต็มที กว่าจะกลับมาถึงจวนจึงไม่ได้สังเกตว่าภายในห้องของนางตอนนี้ นางไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ขณะที่นางกำลังถอดอาภรณ์ชุดดำออก ก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้น
"ไม่ทราบว่าฮูหยินของข้า ออกไปที่ใดมาจนถึงตอนนี้นี่ก็ใกล้สว่างแล้ว ตอนนี้ก็ปลายยามอิ๋น สามีมารอเจ้าอยู่หลายชั่วยามแล้ว ไม่เห็นเจ้ากลับมาเสียที ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดที่ต้องออกไปดึกๆ ดื่นๆ จนต้องกลับมาในตอนเกือบรุ่งสางเช่นนี้"
เขาพูดออกไปด้วยใบหน้าที่กรุ่นโกรธอย่างรุนแรง ทำให้นางไม่รู้ว่าจะตอบคำถามเขาเยี่ยงไรดี นี่อย่าบอกนะว่าเขามารอนาง ตั้งแต่เมื่อคืนนี้
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ถือว่าคราวนี้นางดวงซวยแล้ว นางนั่งคิดอยู่สักพัก ไม่รู้ว่าจะตอบเขาไปเยี่ยงไรดี หากนางบอกความจริงเขาจะเชื่อนางหรือไม่?
เมื่อคืนนี้หลังจากที่แยกกันที่ห้องโถงแล้ว หลังจากเสร็จเรื่องราวต่างๆ เขาก็ไปนั่งคิดทบทวน เพื่อที่จะมากล่าวขอโทษนางและใช้เวลาอยู่กับนางภายในคืนนี้ เขานั่งคิดทบทวนอยู่นานว่าจะพูดกับนางเช่นไรดี แต่จนแล้วจนรอด เขาก็คิดไม่ออกสุดท้ายเลยตัดสินใจมาพบหน้านาง เพียงเพื่ออยากเห็นหน้านางก่อนที่จะเข้านอน แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวัง เมื่อพบว่านางไม่ได้อยู่ในห้อง และกลับมาอีกทีในย่ำรุ่ง
เขานั่งอยู่คนเดียวในห้องนี้ด้วยความกรุ่นโกรธ เขาไม่รู้ว่านางไปที่ใด และนางทำแบบนี้กี่ครั้งแล้ว นางมีความลับอะไรที่ปิดบังเขาอยู่เขาเฝ้าถามตัวเองเป็นพันๆ รอบ หรือว่าช่วงที่เขารับอนุภรรยาเข้ามานั้น นางก็แอบนอกใจเขาหรือ เขาได้แต่นั่งถามตัวเองแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคำตอบออกมาสุดท้ายแล้ว เขาจึงทำได้เพียงนั่งรอนางอยู่ในห้องเท่านั้น
แต่เมื่อพบหน้านางเขาก็ต้องตกใจ เพราะว่าทั้งตัวของนางเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด นี่นางออกไปทำอะไรมาทั้งคืน และกลับมาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ วันนี้เขาต้องพูดคุยกับนางให้รู้เรื่อง
"ไม่ทราบว่าฮูหยินของข้าจะตอบคำถามให้กับสามีผู้นี้ได้หรือยัง ว่าเจ้าออกไปทำอะไรมาทั้งคืน และกลับมาในสภาพนี้ได้"
ฟ่านเหยาเหยา ได้แต่ก้มหน้าหลุบต่ำ ไม่กล้าสบตาเขา หรือนางจะบอกความจริงกับเขาดี คงเป็นทางออกสุดท้ายที่นางจะต้องทำได้ในขณะนี้ สุดท้ายนางตัดสินใจแล้วจึงเลือกบอกเขา
"ขอบอกท่านแม่ทัพตามตรง ข้าแค่ไปดูกิจการโรงหลอมอาวุธที่ซึ่งไม่ได้ไปดูมานานแล้ว ที่ไม่ได้บอกท่านตั้งแต่แรก เพราะกลัวว่าท่านจะเป็นห่วง ที่ออกไปวันนี้ทั้งวันนั้นในตอนแรกข้าก็ว่าจะออกไปดูโรงหลอมอาวุธ แต่มีท่านไปด้วย จึงไม่สะดวกเพราะฉะนั้นคืนนี้ ข้าก็เลยกะว่าจะไปดูโรงหลอมอาวุธที่เป็นกิจการของข้าเสียหน่อยพอดีกับที่คนของข้าได้มาบอกว่าโรงหลอมอาวุธเกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อย ข้าจึงต้องออกไปดูด้วยตัวเอง เมื่อเสร็จธุระแล้ว ในระหว่างทางก็ได้พบคนบาดเจ็บ จึงได้ช่วยเขาเอาไว้ และกลับมาในยามนี้ทำให้ท่านต้องเป็นห่วงแล้ว"
"เท่าที่ข้าทราบ เจ้ามีกิจการโรงหลอมอาวุธด้วยหรือ" เขามองนางด้วยความสงสัย ว่าแท้ที่จริงแล้วนางมีความลับอะไรบ้าง ทั้งความรู้เรื่องการแพทย์ในตอนที่อยู่ในห้องโถงนั้น เขาก็มีความสงสัยอยู่ก่อนแล้ว เขาอยากรู้จริงๆ ว่านางมีความลับอะไรอีกบ้างที่ปิดบังเขาอยู่มากน้อยเพียงใด
"ท่านแม่ทัพแท้ที่จริงแล้วนั้น ข้ามีความสามารถในการผลิตอาวุธ และความรู้ความสามารถในเรื่องพิษ ทุกชนิด โรงหลอมอาวุธที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงตอนนี้ก็เป็นของข้า ใช่แล้ว โรงหลอมอาวุธซังหมิง ข้าก็เป็นเจ้าของ"
ไม่ต้องรอให้เขาได้เอ่ยถามเรื่องวรยุทธ์ นางก็บอกเขาไปโดยที่ไม่ต้องคิด ว่านางนั้นมีความสามารถในเรื่องของวรยุทธ์ดีพอสมควรโดยได้รับการฝึกสอนจากพี่ใหญ่ของเอง นางให้เหตุผลว่าเพื่อที่จะไปใช้ป้องกันตัวในยามที่เกิดภาวะคับขัน
"เจ้ามีอะไรปิดบังพี่อีกหรือไม่ แล้วเรื่องที่ไปช่วยคนที่บาดเจ็บเมื่อคืนนี้เป็นบุรุษหรือสตรี"
นางใช้สายตาหลุบต่ำไม่กล้าจ้องมองตาเขาเพียงเท่านี้เขาก็รู้คำตอบแล้วว่าเป็นบุรุษหรือสตรี
"เจ้าคิดว่าบุรุษและสตรีอยู่ด้วยกันสองต่อสองในยามวิกาลถือว่าเป็นเรื่องปกติหรือ" เขาตะคอกนางออกไปด้วยความโกรธ
"ไม่ปกติ แต่ข้าก็ไม่สามารถทนเห็นคนเจ็บนอนขอความช่วยเหลือแล้วไม่ยื่นมือเข้าช่วยได้ เขาบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น คงไม่มีแรงลุกขึ้นมาทำอะไรข้าได้หรอก"
พูดเสร็จนางก็เดินเข้าไปตบที่บ่าของเขา และกล่าวบางประโยคออกไปด้วยด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม"วางใจเถิด ต่อให้ข้าต้องไปใกล้ชิดกับบุรุษอื่นอีกนับหมื่น ข้าก็จะไม่หวั่นไหวไปกับบุรุษใดโดยง่ายเช่นท่าน เพราะถึงอย่างไรข้าก็มีสามีแล้ว แต่หากไม่มีพันธะก็ว่าไปอย่าง"
จากอารมณ์กรุ่นโกรธอยู่แล้ว เมื่อได้ยินวาจาของนางเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกเดือดดาลมากขึ้น
แต่สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้คงมีเพียงแค่ทนนิ่งเฉย เพราะหากเขาแสดงท่าทีอันใดไปมากกว่านี้ เกรงว่าคงจะทำให้นางไม่พอใจและเป็นการผลักไสนางให้ออกจากเขามากยิ่งขึ้น เพราะเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นยังไม่ได้รับการแก้ไขให้กระจ่าง เขาและนางยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันเลย
แต่เอาเถอะต่อจากนี้เขาได้ปฏิญาณกับตนเองแล้วว่า เขาจะใช้เวลาที่เหลือนี้ เพื่อพิสูจน์ให้กับนางได้เห็นว่าเขานั้นรักนางมากเพียงใด
"หากไม่มีอันใดแล้ว งั้นก็เชิญท่านแม่ทัพกลับไปเสียเถิด ข้าง่วงนอนแล้วเต็มทีเจอเรื่องวุ่นวายมาทั้งวัน ทำให้ข้ารู้สึกเหนื่อยล้าอยากจะพักผ่อนเต็มทีแล้ว"
"ใครว่าพี่จะกลับไปนอนที่ห้อง ในเมื่อฮูหยินของพี่ก็นอนอยู่ที่นี่ เจ้าจะไล่พี่ไปนอนที่ไหนเหยาเอ๋อร์ และเจ้าก็อย่าลืมตอนนี้เจ้ากำลังค้างคืนเข้าหอกับพี่อยู่"
ดูเหมือนว่าเหยียนเชี่ยหลง จะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับท่าทีของนางที่ปฏิบัติกับเขาเมื่อสักครู่นี้ ฟ่านเหยาเหยา ได้แต่คิ้วกระตุกเมื่อคิดได้ว่าเขาต้องการสิ่งใดจากนาง
นางทำได้เพียงมองหน้าเขาด้วยสายตาที่ตกตะลึงนี่เขาพูดว่าอะไรนะ ค้างคืนเข้าหออย่างนั้นหรือ ถ้าเขาไม่พูดนางก็ลืมไปเสียสนิทว่านางกับเขายังไม่ได้เข้าหอกัน แต่จะให้นางทำใจเข้าหอกับเขาได้เช่นไรเล่า เพียงแค่เห็นใบหน้าของเขา เรื่องราวเมื่อวันวานก็ย้อนกลับมาให้นางรู้สึกเจ็บปวดแล้ว
แต่ในตอนนี้สถานะของนางก็คือคนของเขา มันเป็นสิทธิ์ที่เขาควรจะได้รับ แต่นางไม่เต็มใจ และไม่ยินยอมอย่างยิ่ง
"ท่านแม่ทัพคือว่าข้านั้นยังไม่พร้อม และไม่สามารถทำใจกับเรื่องนี้ได้จริงๆ หวังว่าท่านจะให้โอกาสกับข้า"
พูดพร้อมใช้สายตาที่จริงจังเพื่อให้เขารับรู้ถึงความรู้สึกของนาง
เขาก้มหน้ามองตานางด้วยความเข้าใจ และไม่ต้องการที่จะบังคับจิตใจนางไปมากกว่านี้
สายตาที่หวาดกลัวและไร้ซึ่งความเชื่อมั่นเช่นกาลก่อนของนาง ทำให้เขาใจอ่อนยวบ ก็ได้คืนนี้เขาจะยอมปล่อยนางไปก่อน แต่อย่าคิดว่าเขาจะยอมออกไปนอนข้างนอก ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถเป็นเจ้าของนางได้ แต่เขาก็ขอนอนกอดนางสักหน่อยเถิด เพราะเขาคิดถึงนางเหลือเกิน
"ก็ได้ถ้าอย่างนั้นพี่จะให้เวลาเจ้า แต่ว่าคืนนี้พี่ขอนอนกอดเจ้าได้หรือไม่ เพราะว่าพี่นั้นคิดถึงเจ้าเหลือเกิน"
นางใช้สายตาตกตะลึง จ้องมองเขาอีกครั้ง แต่เมื่อคิดได้ว่าเขายอมอ่อนข้อให้นางถึงเพียงนี้ หากดื้อรั้นไปเกรงว่าเขาจะใช้กำลังบังคับขู่เข็ญเมื่อถึงเวลานั้นนางคงไม่สามารถสู้แรงของบุรุษผู้นี้ได้ จึงได้แต่พยักหน้าตกลงด้วยความจำยอม
คืนนั้นทั้งสองคนก็ได้นอนร่วมเตียงกันเป็นครั้งแรก โดยมีเขานอนอยู่เคียงข้างกอดนางไว้ทั้งคืน
เหยียนเชี่ยหลงพยายามข่มตาลง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ การนอนกอดนางเฉยๆ เช่นนี้ เป็นการทรมานตัวเองอย่างดีสำหรับเขาอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะเขาไม่คาดคิดเลยว่าการได้ใกล้ชิดกับนาง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้นั้นมันทรมานเพียงใด
ไวเท่าความคิด เมื่อเขาคิดได้ดังนั้นมือของเขาก็อยู่ไม่เป็นสุข เลื่อนลงไปสัมผัสกับหน้าอกของนาง ลงมือบีบเบาๆ และเกลี่ยเม็ดบัวสองข้างไปมา
ฝ่ายผู้ที่ถูกรบกวนตอนหลับ ก็ได้แต่ส่งเสียงออกมาอย่างขัดใจ "อือ … ข้าง่วง ท่านนอนเฉยๆ จะได้ไหม"
ตอนนี้มีหรือที่เหยียนเชี่ยหลงจะยอมแพ้ นอนเฉยๆ ดูนางนอนเพียงเท่านั้น
"ท่านสัญญาแล้วว่าจะให้เวลาข้า นี่ยังไม่ทันข้ามวัน ท่านก็ผิดสัญญาแล้วหรือ"
"เจ้าจะให้พี่มองเจ้าเพียงอย่างเดียวแค่นั้นหรือ เจ้าก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับพี่มากเพียงใด พี่ขอแค่นิดหน่อยไม่ล่วงเกินเจ้าเกินไปนักหรอก"
ในจังหวะที่หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัว เขาก็ถลกชุดนอนของนางขึ้นใช้มืออีกข้างเลื่อนขึ้นไปบีบปทุมถันทั้งสองข้าง อีกมือเลื่อนลงมาสัมผัสกับกลีบบุปผางามอย่างอ่อนโยน ปากของเขาก็ไม่อยู่เฉย ดุนดันอยู่ที่กลีบกุหลาบงามอย่างดุเดือด ปากก็เลื่อนขึ้นมาสัมผัสกับสะดือของนาง ลิ้นสากเลื่อนขึ้นมาครอบครองปทุมถันทั้งสองข้างอย่างดุเดือด มืออีกข้างหนึ่งก็แหย่เข้าไปในกลีบกุหลาบงาม ริมฝีปากหนาผละออกมาจากยอดปทุมถันทั้งสองข้างแล้วเลื่อนขึ้นไปปิดปากนางไว้ ลิ้นสากกวัดแกว่งในโพรงปากของนางเพื่อควานหาน้ำหวาน ปากของนางช่างหวานยิ่งนัก มันทำให้เขายากที่จะตัดใจหยุดเพียงเท่านี้จริงๆ
"เจ้าชอบหรือไม่" นิ้วมือของเขายังคงอยู่ที่กลีบกุหลาบงามของนาง เขาเริ่มเปลี่ยนจังหวะจากเนิบช้าเป็นเร็วแรงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็ส่งนางถึงฝั่งฝัน
เมื่อตั้งสติได้ ใบหน้าของนางก็แดงซ่านไปด้วยความอับอาย ปากบอกยังไม่ยอมให้อภัยกับเขา แต่การกระทำที่ไร้ซึ่งการต่อต้านของตนเองเมื่อสักครู่ ก็ทำให้นางรู้สึกอับอายอยู่ไม่น้อย
"ข...ข้ายังไม่ได้ให้อภัยท่านนะ" เสียงหอบหายใจถี่บวกกับน้ำเสียงที่ฟังดูขาดห้วงของนาง ทำให้เหยียนเชี่ยหลงถึงกับรู้สึกเอ็นดูในท่านี้ของนางอยู่ไม่น้อย
"พี่ก็ไม่ได้ว่าเจ้าอภัยให้แล้วเสียหน่อย เจ้านอนเถิด พี่ไม่แกล้งเจ้าแล้ว"
และคืนนั้นทั้งคืนเขาก็ได้ทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับนางจริงๆ เพราะหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ทำมากไปกว่านั้นคราวก่อน …
การกลับมาคืนดีกันของ ผู้เป็นนายทั้งสองทำให้บ่าวไพร่เกิดความยินดี กันไปตามๆ กัน เพราะบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอึดอัดไปทั่วทุกวันนี้ทำให้เหล่าข้ารับใช้ต่างๆ รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่พอสมควร
"เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าจะได้อุ้มเหลนเสียที" ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ายกยิ้มขึ้นมาด้วยความพอใจ ความรู้สึกอิ่มเอมแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าเหี่ยวย่นนั้น
กรี๊ด!!!"บ้าที่สุด เหตุใดเรื่องราวถึงได้เป็นเช่นนี้"
เสียงข้าวของแตกกระจายภายในตำหนักร้างท้ายจวนของแม่ทัพใหญ่ บ่งบอกถึงอารมณ์ของสตรีผู้ที่กำลังอาละวาดอยู่ในตอนนี้ว่านางกำลังรู้สึกโกรธแค้นมากเพียงใด
หลี่ชิงชิง มีเพียงแค่สาวรับใช้เพียงคนเดียวที่คอยติดตามนางมา แต่มีหรือที่บ่าวรับใช้ผู้นี้ จะมีความจงรักภักดีกับเจ้านายที่ถูกทอดทิ้ง อนาคตก็ย่อมหาความเจริญรุ่งเรืองไม่ได้เช่นกัน ในตอนนี้นางจึงจ้องมองการกระทำของหลี่ชิงชิงด้วยความไม่พอใจ
"เจ้าจะมาอาละวาดทำลายข้าวของที่แทบจะไม่มีเหลืออยู่เช่นนี้ได้เช่นไร นี่เจ้ายังคิดว่าตนเองมีอำนาจอยู่ในมืออีกเช่นนั้นหรือ เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ต้องเก็บกวาดของที่เจ้าทำลายด้วยตัวเองด้วย เพราะข้าเหนื่อยที่จะดูแลเจ้าเต็มที่แล้ว"
"นี่เจ้ากล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับข้าหรือ สามหาวนัก"
หลี่ชิงชิงเนื้อตัวสั่นเทาชี้นิ้วของตนเองไปที่สาวรับใช้นางนั้น ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำแต่ยังไม่ทันที่นางจะได้กล่าวสิ่งใดไปมากกว่านี้ สาวรับใช้นางนั้น ก็ตรงดิ่งเข้ามาจิกหัวของนางลากไปที่พื้น จนร่างกายของหลี่ชิงชิงไถลไปกับพื้นจนเนื้อตัวถลอกปอกเปิกไปทั่ว
"ข้าไม่เพียงแค่กล้าด่าเจ้าเท่านั้น แต่ข้ายังกล้าลงไม้ลงมือกับเจ้าเช่นนี้ด้วย จำเอาไว้ว่าในตอนนี้เจ้ากับข้านั้นสถานะไม่ได้ต่างอันใดกันมันเป็นความโชคร้ายของข้าอีกอย่างหนึ่ง ที่รับใช้เจ้านายเช่นเจ้า ถึงได้มีชะตากรรมที่น่าเศร้าเช่นนี้ เพราะฉะนั้นในเมื่อเจ้าเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด ต่อจากนี้เจ้าก็ควรที่จะรับใช้ข้าเพื่อเป็นการตอบแทนที่ทำให้ข้าต้องมีชะตากรรมเช่นนี้เสีย"