EP 1. ฉันคือพ่อทูนหัวของเธอ
บทนำ
ฉันคือพ่อทูนหัวของเธอ
ขอบตาแดงก่ำรื้นไปด้วยหยาดน้ำตา ไหล่บอบบางสั่นน้อยๆ จากแรงสะอื้นไห้ จังหวะที่ดวงตากลมโตค่อยๆ หลุบลงหยดน้ำใสก็หลั่งรินรดแก้มอิ่ม เธอใช้หลังมือเช็ดมันอย่างไม่ใส่ใจ เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง เชิดจมูกขึ้นน้อยๆ จังหวะที่สูดลมหายใจเข้าปอดเธอก็ยืดหลังตั้งตรงอย่างพร้อมเผชิญกับทุกปัญหาที่ถาโถม จากนั้นจึงหันไปหยิบธูปหนึ่งดอกมาจุดไฟเพื่อส่งให้กับผู้ที่เดินทางมาเคารพศพบิดา
ธูปดอกแล้วดอกเล่าถูกจุดขึ้น ราวกับจะตอกย้ำว่าบิดาผู้เป็นที่รักได้จากไปแล้ว ต่อให้เธอร่ำไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดก็ไม่อาจยื้อยุดชีวิตของบิดาเอาไว้ได้ ไปแล้วไปลับและจะไม่มีวันหวนคืนมา....
ถัดไปไม่ไกลชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสากลสีดำสนิท ยืนอยู่ใต้ต้นจามจุรีไม่ไกลจากศาลาสวดศพนัก ดวงตาคมภายใต้แว่นกันแดดสีดำสนิทจ้องมองเด็กสาวแทบไม่ละสายตา
เดาได้ไม่ยาก...เด็กสาวน่าจะอายุไม่เกินสิบแปดปีจากชุดที่เธอสวมใส่ เสื้อสีขาวแขนยาวผูกเนกไทสีน้ำเงินเข้ม กระโปรงจีบรอบยาวเสมอเข่าสีเดียวกับเนกไท เข็มขัดหนัง ถุงเท้าขาว รองเท้าสีดำขัดมันวาว บ่งชัดว่าเด็กสาวยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนเอกชนสักแห่ง
ใบหน้าของเด็กสาวมนเรียว ริมฝีปากเล็ก ปลายจมูกแดงเชิดรั้นน้อยๆ เธอไว้ผมหน้าม้าตัดตรงเสมอคิ้ว ผมยาวด้านหลังถักเปียแล้วผูกเป็นโบด้วยริบบิ้นสีน้ำเงินเข้ม หลังจากเช็ดหยาดน้ำตาเธอก็ก้มลงหยิบแว่นตาทรงกลมบนหน้าตักขึ้นมาสวมราวกับเด็กคงแก่เรียน
‘ยังเด็กและน่าสงสารที่ต้องมาสูญเสียบิดาด้วยอุบัติเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้’ เจ้าของร่างสูงคิดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
ปรานต์
หนุ่มใหญ่ทายาทเพียงคนเดียวของโรงแรมหรูระดับห้าดาวริมแม่น้ำเจ้าพระยา ค่อยผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ใจหายกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปตลอดกาล
จังหวะที่ชายหนุ่มกำลังจะก้าวเข้าไปนั่งในศาลาสวดศพ กลับได้เสียงพูดคุยไม่ไกลนัก ทำให้เขาชะงักปลายเท้า ยืนนิ่งแล้วหยุดฟังอย่างตั้งใจ
“ฉันเองไม่ใช่คนตัวเปล่ามีภาระตั้งมาก ลูกฉันอีกสามคนก็ยังเรียนหนังสืออยู่ ค่าใช้จ่ายแต่ละเทอมแพงจนเลือดตาแทบกระเด็น ฉันคงรับหนูปี่มาเลี้ยงไม่ไหวหรอก”
“แต่เธอเป็นญาติเพียงคนเดียวของหนูปี่ ถ้าเธอไม่รับแล้วใครจะรับไปดูแล ถึงปีนี้หนูปี่จะอายุสิบเจ็ดย่างเข้าสิบแปดปี แต่ยังไงก็ต้องมีผู้ปกครอง ยิ่งเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาสะสวยจะปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ยังไง ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าสมัยนี้อันตรายมีอยู่รอบด้าน” ผู้เป็นเพื่อนบ้านทักท้วงอย่างไม่เห็นด้วย
“รับเลี้ยงน่ะได้ ถ้าพี่รักษ์แกจะทิ้งทรัพย์สมบัติเอาไว้ให้บ้าง แต่นี่อะไรกัน มีแต่หนี้สินเต็มไปหมด นี่แค่สวดศพวันแรกยังมีเจ้าหนี้ตามมาทวงเงินถึงสามเจ้า แถมบ้านที่อาศัยซุกหัวนอนก็กำลังจะถูกธนาคารยึดอยู่อีกไม่กี่วัน แล้วฉันจะรับเด็กที่มีแต่ตัวมาเลี้ยงดูได้ยังไงกัน อย่าหาว่าฉันใจจืดใจดำเลยนะ หนูปี่เองก็มีแม่ เอาไว้ติดต่อให้แม่มารับตัวไปก็แล้วกัน” น้องสาวผู้ตายกอดอกพลางเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ อย่างไม่ยอมใจอ่อน
“เธอก็รู้นี่ว่ากรรณิการ์ทิ้งลูกทิ้งผัวไปเป็นสิบปีแล้ว ไม่มีใครติดต่อได้เลยสักคน”
“ไม่รู้และไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น แค่ฉันช่วยจัดงานศพเพราะถือว่าเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดก็นับว่ามากพอแล้ว หัวเด็ดตีนขาดฉันก็ไม่รับหนูปี่ไปอยู่ด้วยเด็ดขาด อีกสองเดือนหนูปี่ก็จะอายุครบสิบแปดปี ให้ไปรับจ้างหางานทำเลี้ยงดูตัวเองก็แล้วกัน ฉันไม่ยุ่งด้วยหรอก แค่นี้ชีวิตฉันก็ยุ่งวุ่นวายมากพอแล้ว ไม่อยากหาเหาใส่หัว!”
พูดจบก็ทำท่ากระฟัดกระเฟียดเดินจากไป ทิ้งให้เพื่อนบ้านถึงกับลอบถอนหายใจ ด้วยไม่รู้ว่าจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเด็กสาวอย่างไร เธอเองแม้อยากช่วยแต่ไม่อาจทำได้ เพราะถ้าหากรับปี่แก้วเข้ามาเลี้ยงดู เกรงว่าจะเป็นการพาเด็กสาวมาจมอยู่ในขุมนรก เพราะสามีจอมเจ้าชู้ขี้เหล้าของเธอนั้นชอบแอบมองปี่แก้วด้วยสายตาลวนลามเสมอๆ
“สุดแล้วแต่เวรแต่กรรมแล้วกันนะหนูปี่ ฉันเองก็จนปัญญาเหลือเกิน” เพื่อนบ้านหญิงวัยกลางคนถอนหายใจแล้วเดินกลับเข้าไปช่วยเสิร์ฟน้ำให้แขกในงาน โดยไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ามีคนตัวโตแอบยืนฟังเรื่องราวทั้งหมดอยู่ทางด้านหลัง
ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดสีดำไหวระริกไปกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน...