ภายในห้องโถงใหญ่โตที่ประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูราคาแพงชุดโซฟาบุผ้ากำมะหยี่ชั้นดีสีแดงอิฐตั้งตระหง่านอยู่อกลางห้องโถงใหญ่ ซึ่งมีคนจับจองนั่งอยู่ด้วยท่าทีอันเคร่งเครียดกันจนครบทุกตัว ท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้น สายตาบางคู่ก็ฉายแววเหยียดหยาม บางคู่ก็ฉายแววเคร่งขรึม
“เอาล่ะ ทีนี้จะบอกผมได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น” ติณณ์เริ่มถามขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเอ่ยปากพูดออกมา
“ก็อย่างที่บอก ผมเห็นตะวันเขาเดินเล่นอยู่ในสนามหญ้า ผมก็แค่เข้าไปทักทายเท่านั้น” วรวุธยืดลำตัวผอมเกร็งพูดจาอย่างฉะฉาน พอมีพี่สาวอย่างสกาวใจยู่ใกล้ ๆ ความเกรงกลัวต่อติณณ์ ประมุขคนใหม่ของบ้าน ก็หดหายไปทันที
“แต่ที่ป้าเห็นมันไม่ใช่แค่นั้นนะ ...”ป้าแก้วที่นั่งพับเพียบอยู่บนพรมชั้นดี ใกล้เพียงตะวันแย้งขึ้นมา
“ยุ่ง!! มันใช่เรื่องของป้าที่ไหนล่ะ เรื่องของป้าอยู่ในห้องครัวโน่นไป” สกาวใจถลึงตาตวาดเสียงดุ จนป้าแก้วต้องสงบปากสงบคำ
“แล้วที่ป้าเห็น ก็คงเหมือนกับที่พี่ติณณ์และคุณแม่เห็นนั่นแหละ อาวุธก็แค่เข้าไปทักทาย อาจจะมีจับมือถือแขนบ้างก็ตามประสาคนรู้จัก ใครจะไปรู้บางทีก่อนหน้านั้น อาจจะมีใครบางคนใช้มารยาสาไถยยั่วขึ้นมาก่อนก็ได้”
“เอมอร!” ติณณ์ดุเสียงเข้ม ทำให้สาวน้อยวัยเดียวกันกับเพียงตะวันหน้าจ๋อยขึ้นมา เธอรีบเอนกายเข้าไปหามารดาราวกับกำลังหาที่พึ่ง
“เธอไม่มีอะไรจะพูดเหรอ ตะวัน” ติณณ์หันไปมองเด็กสาวที่ยังเงียบนิ่ง อย่างให้โอกาสเธอเปิดปากพูด เพราะจำตอนที่ก้าวลงจากรถ แล้วเห็นท่าทีร้อนรนของป้าแก้วเดินรี่เข้ามาหานั้น ก็ให้นึกเอะใจอยู่แล้วว่าคงจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในบ้าน
“ไม่มีค่ะ ใครทำอะไรไป ย่อมรู้อยู่แก่ใจดี” คำพูดเรียบ ๆ แต่แฝงไว้ด้วยนัยแห่งการดูถูกนั้นเธอต้องการส่งให้วรวุธรับรู้
เจ้าของใบหน้าเรียว ดวงตาโหลอย่างคนอดนอน ตวัดสายตาไปมองดูผู้พูดทันที ก่อนจะเหยียดริมฝีปากอย่างประชดอยู่ในใจเงียบ ๆ
หึ...ทำมาเป็นพูดดี ใครทำอะไรไปย่อมรู้อยู่แก่ใจดีงั้นเหรอ ฉันจะต้องจัดการกับเธอสักวันหนึ่งแน่ ตะวัน!
ติณณ์ส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาเป็นคนยุติธรรมเมื่อให้โอกาสวรวุธพูดแล้วเพียงตะวันก็ต้องได้เช่นกัน หากเธอไม่พูดเขาก็สุดปัญญาที่จะช่วย สุดท้าย ติณณ์จำต้องหยัดกายลุกขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความเฉียบขาดในความหมาย จนทำให้วรวุธรู้สึกทั้งร้อนและหนาวในคราเดียวกัน
“เอาล่ะคุณวุธ... ต่อนี้ไปผมคงไม่เห็นคุณทำกิริยารุ่มร่ามกับเด็กที่ผมเป็นผู้ปกครองอีก โดยเฉพาะในบ้านหลังนี้!” เอ่ยเสร็จเขาก็หันหน้าไปพูดกับเพียงตะวัน “ส่วนตะวัน ตามฉันไปที่ห้องทำงาน เรามีเรื่องจะต้องคุยกัน”
ทั้งวรวุธ สกาวใจและเอมอรต่างก็พากันยิ้มร่าเมื่อได้ยินคำสั่งสุดท้ายขอติณณ์ เพราะคิดเหมือน ๆ กันว่า เพียงตะวันคงถูกเรียกไปตำหนิเรื่องที่เอมอรยุ
เพียงตะวันที่เดินตามหลังผึ่งพายของชายหนุ่มมาติด ๆ เข้าไปในห้องทำงานที่แสนโอ่โถงของติณณ์ ที่เมื่อก่อนเธอเคยเข้ามาใช้ห้องนี้ทำการบ้าน ค้นคว้าข้อมูลทำรายงานหรือแม้แต่เข้ามาอ่านหนังสือให้คุณลุงเตชสิทธ์ฟัง ภายในดูมันไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย สภาพก่อนหน้าที่เธอจะย้ายออกไปเป็นเช่นไร มาบัดนี้ก็ยังคงไว้เช่นนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง
ภายในห้องทำงานที่กว้างขวางอันถูกแยกให้เป็นสัดส่วนด้วยชั้นหนังสือ ด้านหนึ่งของห้องจะเป็นเหมือนห้องสมุดขนาดย่อม ๆ เครื่องใช้ไม้สอยโต๊ะเก้าอี้ ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นของนำเข้าที่เป็นงานฝีมืออันดูประณีต ของตกแต่งส่วนมากจะเป็นไม้เพื่อให้เข้ากับโทนของห้องทำงานที่เป็นสีเบจตัดกับสีขาวให้ความรู้สึกสงบและสบายตา เหมาะที่จะเป็นห้องทำงานเป็นที่สุด
ในช่วงเวลาที่เพียงตะวันกำลังกวาดตาสำรวจห้องสมุดอยู่นั้น เด็กสาวเองก็ถูกสายตาคมกริบของชายหนุ่มสำรวจอยู่เช่นกัน แต่แตกต่างจากสายตาของวรวุธที่เคยใช้สำรวจเธอด้วยอาการโลมเลียเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เพราะสำหรับเขาคนนี้แล้วคงต้องเรียกว่าสำรวจแบบประเมินเสียมากกว่า
ติณณ์รับรู้แล้วว่า เพียงตะวันในวันนี้ ไม่ใช่เด็กหญิงเพียงตะวันเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วจากการที่ใช้สายตาจับต้องร่างบางอย่างเงียบ ๆ วันและเวลาที่ล่วงผ่านมากว่าสิบปีขัดเกลาผู้หญิงตรงหน้าให้แปรเปลี่ยนไปเยอะทีเดียว ทั้งรูปร่างและหน้าตาที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ไฉนดวงตาคู่โศกที่ประดับอยู่บนรูปหน้าเรียวนั่นดูไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย
เขายังจำได้ในวันที่บิดาของเขาอุ้มเด็กผู้หญิงตัวกระปุ๊กลุกที่มีอาการหวาดกลัวและตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลาเข้ามาในบ้าน โดยมีสายตาแปลกใจของทุกคนมองตามรวมถึงตัวเขาเองด้วย ว่าเหตุใดหนอบิดาถึงได้ทั้งอุ้มและปลอบโยนเธอเช่นนี้...และข้อสงสัยของทุกคนก็ได้รับการเฉลยในเวลาต่อมาว่าอาการหวาดกลัวและตื่นตระหนกของเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นเพราะสาเหตุใด
เมื่อหนังสือพิมพ์หลายฉบับได้โหมกระพือข่าวที่ดังที่สุดในรอบปีด้วยข่าวของการล้มละลายของบริษัทส่งออกยักษ์ใหญ่ และเจ้าของบริษัทที่ว่าได้ทำการปลิดชีวิตตัวเองในห้องทำงาน ซึ่งใครต่อใครที่ทราบข่าวนั้นต่างก็รู้ดีว่า เป็นบิดาเด็กน้อยคนนั้นนั่นเอง
บิดาของเขาที่เป็นที่เป็นเพื่อนของคุณลุงชนะศักดิ์จึงไปรับเด็กหญิงเพียงตะวันมาอยู่ด้วย เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงขาดที่พึ่ง ญาติโกโหติกาทางบิดาก็มีน้อยคนนักและแต่ละคนก็ดูจะไม่ค่อยไยดี ส่วนมารดาของเด็กน้อยนั้น ได้หายตัวออกจากบ้านไปอย่างลึกลับ ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องร้ายกับครอบครัวของเด็กน้อย บ้างก็ว่าเธอทะเลาะกับคุณลุงชนะศักดิ์อย่างรุนแรง บ้างก็ว่าเธอได้หนีตามคนรักเก่าไป แต่ก็ไม่มีใครที่จะยืนยันได้ ด้านคุณลุงชนะศักดิ์เอง ก็ไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้กับใครอีกเลยนัยว่า ท่านคงจะแค้นเคืองภรรยามาก
หลังจากที่เพียงตะวันได้เข้ามาอยู่ร่วมชายคาในบ้านหลังนี้ได้ไม่กี่เดือน บิดาก็ส่งเขาไปเรียนต่างประเทศ ... ชายหนุ่มเผลอถอหายใจออกอย่างยืดยาวนึกเสียดายเวลาที่ผ่านเลยไปอย่างเปล่าประโยชน์ ที่เขาและเธอไม่ทำความรู้จักสนิทสนมกันอย่างที่ควรจะเป็น
ในยามที่เขาต้องมารับหน้าที่ต่อจากบิดา ดูแลเด็กสาวตรงหน้าจนกว่าเธอจะเรียนจบ ส่งผลให้ความผูกพันของเขาและเธอเหมือนดั่งหมอกจาง ๆ ในยามเช้า.. .และตอนนี้เธอคงมองเขาเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น
‘ติณณ์ แกคงนึกไม่ถึงล่ะสิ วันนี้อยู่ ๆ หนูตะวันก็ลุกขึ้นมาทำกับข้าว ไม่รู้ไปทำอิท่าไหนไฟถึงไหม้ครัว ดีนะที่คนในบ้านช่วยกันดับทัน... แต่ก็ทำเอาป้าแก้วของแกหัวใจแทบวายไปเลย ฮ่า ๆ ๆ’
ติณณ์ยังจำน้ำเสียงแห่งความสุขของบิดา ยามที่เขาและบิดามักจะสนทนากันผ่านโทรศัพท์เกี่ยวกับเรื่องราวและพฤติกรรมของเด็กหญิงเพียงตะวัน และให้นึกแปลกใจที่บิดาดูมีความสุขยามได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กหญิงให้ฟัง
ติณณ์ยังคงทอดสายตามองทุกกิริยาของเด็กสาว จนกระทั่งเธอนั่งลงตามคำบอกกล่าวแล้วเงยหน้าขึ้นมา เขาจึงรีบเบนสายตาหนี รู้สึกไม่เข้าใจตัวเอง ว่าทำไมเขาต้องเขาหลบหนีสายตาคู่นี้ของเธอ
“จะแก้ตัวอย่างไรดี” ชายหนุ่มถามเข้าเรื่องทันที
“เรื่องอะไรคะ” ถามเพราะไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาหมายถึงเรื่องจดหมายแจ้งความพฤติกรรมของเธอจากโรงเรียนนี่ หรือเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
“เรื่องที่เธอคิดว่าคนอย่างฉันจะเก็บเอามาเป็นสาระที่สุด”
“ก็...อย่างที่คุณสกาวใจกับคุณเอมอรบอก ดิฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัว”
“เพียงตะวัน” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อเธอด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างข่มอารมณ์หงุดหงิด เขารู้ว่าเธอกำลังรวนเขา “เธอก็รู้ว่าฉันหมายถึงเรื่องอะไร เธอเห็นว่าฉันจะเก็บเอาเรื่องที่เอมอรพูดมาเป็นสาระอย่างนั้นหรือ” คราวนี้ติณณ์เบนสายตามาสบของตนมาสบดวงตาคู่นี้ของเธอตรงๆ
“ใครจะไปรู้” เด็กสาวอ้อมแอ้มพูดเบาๆ
“เรื่องที่โรงเรียนเธอน่ะ จะแก้ตัวอย่างไรดี”
“ก็อย่างที่จดหมายแจ้งความประพฤติบอกมา ดิฉันทำจริง ๆ”
“เพราะอะไร”
“ดิฉันโดนแกล้ง และยอมไม่ได้ที่จะให้ใครมารังแกอยู่ฝ่ายเดียว” เด็กสาวเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับใช้น้ำเสียงที่แข็งกร้าวกว่าเดิมจนติณณ์สังเกตได้
“แล้วเรื่องเมื่อครู่ ทำไมเธอถึงยอมให้คนอื่นรังแก ไม่ค้านออกมาเล่า”
“ดิฉันไม่อยากเก็บเอามาเป็นสาระ” เด็กสาวย้อนโดยใช้คำพูดเดียวกันกับเขา
ทำให้ติณณ์เผลอยิ้มออกมาที่มุมปากอย่างไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไร ก่อนจะหรี่ตาพูดเสียงยานคางย้อนถามอย่างประชด “ก็เลยเก็บเอาเรื่องทะเลาะวิวาทกันแบบเด็ก ๆ ในโรงเรียนมาเป็นสาระอย่างนั้นสินะ”
เพียงตะวันเม้มปากนิ่ง ไม่ว่ากล่าวอะไรต่อ จะค้านก็ขี้เกียจ จะพูดต่อ เดี๋ยวหาว่าแก้ตัว
“เธอรับปากได้ไหม ว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีจดหมายแจ้งความประพฤติส่งมาถึงฉันอีก”
“ค่ะ” เพียงตะวันเบนสายตาหนีดวงตาสีน้ำตาลเข้มตรงหน้า รับคำ อย่างไม่เต็มปากนักเพราะใบหน้าของพิชญาคู่อริในโรงเรียน ยังลอยวนเวียนให้เธอปลงไม่ตก เข้าใจได้ไม่ยากเลยว่า ทำไมพิชญาถึงได้คอยราวีเธอนัก นั่นเป็นเพราะพิชญาเป็นเพื่อนรักของเอมอรนั่นเอง
ติณณ์เคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างเบา ๆ ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งเลื่อนลิ้นชักออกมา และหยิบของสิ่งหนึ่งในนั้นขึ้นมาวางบนโต๊ะ
“นี่ ของเธอ”
หัวคิ้วของเด็กสาวขมวดเข้าหากันก่อนจะใช้มือหยิบกระดาษมันวาวที่มีสีสันขึ้นมาดู
“ตารางเรียนในของโรงเรียนกวดวิชา ฉันให้เลขาฯ ของฉันจัดการให้” เมื่อเห็นหัวคิ้วของเด็กสาวยังไม่คลายออก ติณณ์จึงพูดต่อ
“เธอจะต้องสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยปีนี้ไม่ใช่หรือ โรงเรียนกวดวิชาที่นี่น่ะดี มีแต่อาจารย์และติวเตอร์เก่ง ๆ ทั้งนั้น ฉันว่ามันจำเป็นสำหรับเธออยู่ไม่น้อยเลย”
“แต่ดิฉันว่ามันไม่จำเป็น” เด็กสาวเลื่อนแผ่นพับรายละเอียดของสถาบันกวดวิชาชั้นนำส่งคืนชายหนุ่ม “...แค่เรียนพิเศษหลังเลิกเรียนที่โรงเรียนก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองค่าใช่จ่ายเพิ่ม อีกอย่างระดับผลการเรียนที่ผ่านมาของดิฉันเองก็ดีอยู่แล้ว คงไม่จำเป็นหรอกค่ะ” เพียงตะวันพูดตามจริง ที่จริงผลการเรียนของเธอไม่ได้อยู่แค่ในระดับดีเฉย ๆ แต่อยู่ในระดับดีเลิศต่างหาก หลังจากย้ายเข้ามาอยู่ที่หอพักในโรงเรียน เพียงตะวันก็มุมานะเรียนหนังสืออย่างหนัก ให้สมกับที่เธอเคยรับคำคุณลุงเตชสิทธิ์ว่าจะตั้งใจเรียน พอเรียนจบจะได้หาเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องทำให้ใครที่ไหนลำบาก และไม่ต้องรบกวนใครบางคน
เพียงตะวันปฏิเสธเสียงเรียบ หากดวงตาสองคู่งามกลับดูแข็งกร้าวขึ้นมาทันที เพราะความน้อยใจ เสียใจหลังจากที่เธอถูกย้ายเข้าไปอยู่ในโรงเรียนประจำ เธอคิดเสมอว่าคนที่บ้านหลังนี้เป็น ‘คนอื่น’ จะว่าเป็นเพราะความเมตตาจริง ๆ หรือเป็นเพราะคำสั่งของคุณลุงเตชสิทธิ์ที่ให้ดูแลเธอให้ดีหรือจะอะไรก็แล้วแต่...มันก็ไม่สามารถเรียกศรัทธาที่คุณลุงเตชสิทธิ์เคยย้ำนักย้ำหนาว่า เขาจะไม่มีวันผลักไสทอดทิ้งเธอเด็ดขาด ให้กลับมาได้อีกแล้ว
ศรัทธาที่เธอเคยมีต่อเขาอย่างเต็มเปี่ยม!