'ดูสิ ทำอย่างกับเป็นลูกเป็นหลานของเขาจริง ๆ'
หลังจากเสร็จสิ้นงานศพของลุงเตชสิทธิ์ เธอก็ถูกสั่งย้ายเข้าไปอยู่ในหอพักทันที โดยที่ ‘คนสั่ง’ นั้นช่างใจร้ายนัก ไม่ได้สนใจมองดูเลยสักนิดว่าเธอที่อยู่ในสถานะขาดที่พึ่ง ขาดหลักยึดเหนี่ยวจะเป็นอย่างไร
หัวใจดวงน้อย ๆ ที่ถูกความเหงาความอ้างว้างกัดกินทุกวัน ๆ
จนแทบไม่เหลือชิ้นดีอีกแล้ว เขาใจร้าย ใจร้ายที่สุด!
วันที่เธอเดินออกจากบ้านหลังนี้ สกาวใจและเอมอรลูกสาว เดินออกมาส่งด้วยสายตาเหยียดหยาม พร้อมทั้งกล่าวคำพูดดูถูกดูแคลน
'กาฝากอย่างเธอน่ะ แค่โรงเรียนประจำ มันก็ดีเกินพอแล้ว'
คำเสียดสีของเอมอร บุตรสาวของบ้านอนันท์ตระการ แล้วคนอย่างเพียงตะวันในสถานะที่ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะพูดจาอย่างเชือดเฉือนกลับไปเช่นกัน
'กาฝากอย่างฉัน มันก็มีค่าไม่ต่างอะไรกับลูกนอกไส้ของท่านอย่างเธอหรอก... ว่ามั้ย'
'ปากดีนักนะ!' เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือของคุณสกาวใจมาปะทะที่ใบหน้าเธออย่างแรง น้ำเสียงเยาะเย้ยเปล่งออกมาจากปากของคนที่ได้ชื่อว่าว่าเป็นภรรยาของคุณลุงเตชสิทธิ์
'สะใจดีจริง ๆ ตอนคุณพี่ยังมีชีวิตอยู่เห็นประจบแจงเหลือเกินนี่ เชอะ สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้อะไร นอกจากการศึกษาในโรงเรียนดัดสันดาน อุ๊ย .. โรงเรียนประจำ' จากนั้นสองแม่ลูกก็ตระกองกอดหัวเราะประสานเสียงกันอย่างสะใจ
ดวงตาแวววาวด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อขัง เด็กสาวพยายามกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อขับไล่น้ำตา รู้สึกร้อนผ่าวบริเวณซีกหน้าที่โดนแรงปะทะ มือข้างหนึ่งกุมแก้มอยู่อย่างนั้น ส่วนมืออีกข้างกำหมัดแน่นจนรู้สึกเจ็บเพราะเล็บมันจิกเข้าไปที่ฝ่ามือตัวเอง
ต้องนึกขอบคุณคุณลุงอิศวร ทนายความประจำตระกูลที่เดินเข้ามาขัดจังหวะก่อนที่เธอจะโต้ตอบออกไป พร้อมกับยื่นจดหมายสองฉบับมอบให้เธอ ตามด้วยคำฝากฝังของเจ้าของจดหมายว่า...
“ก่อนที่ท่านจะเสียท่านได้เขียนเอาไว้ ท่านฝากจดหมายไว้ที่ลุงสองฉบับ ฉบับนี้ท่านสั่งให้หนูเปิดอ่านในวันที่หนูตะวันเรียนจบ และอีกฉบับนี้ท่านให้หนูเปิดอ่านในวันแต่งงาน”
วันเวลาที่ผันผ่าน ยิ่งทำให้เพียงตะวันพบว่าตัวเองถูกผลักเข้าสู่โลกแห่งความเงียบเหงา เดียวดาย...คุณลุงเตชสิทธิ์ขา ตะวันคิดถึงคุณลุงเหลือเกิน
เพียงตะวันปัดความเศร้าออกจากใจ พร้อมกับยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาอีกครั้ง รอจนแน่ใจว่ามันหยุดไหล เธอก็ค่อย ๆ หันหลังออกมาจากสนามหญ้าแห่งความทรงจำ เพียงแต่หันหลังกลับเธอก็ต้องผงะด้วยความตกใจ
“คุณ!”
ร่างสูงที่เข้ามายืนข้างหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทำให้เด็กสาวอ้าปากค้าง กะพริบตามองอย่างตกใจ
“นึกอยู่แล้วเชียว ว่าต้องเป็นเธอ' น้ำเสียงแหบแห้งที่ทักขึ้นนั้นคือ น้ำเสียงของ‘วรวุธ’ น้องชายร่วมสายเลือดของสกาวใจ
“หลีกทางค่ะ ตะวันจะกลับ” เธอบอกให้ชายหนุ่มผิวขาวร่างผอมเกร็งที่ยืนขวางทางด้วยน้ำเสียงต่ำๆ
ทันทีที่เธอขยับตัว เขาก็ก้าวเข้ามาดักหน้าเธอเอวไว้ “โอ้โฮ ไม่เจอกันเสียนาน สวยขึ้นเป็นกองเลยนะ”
ดวงตากรุ้มกริ่มที่โลมเลียเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างน่าเกลียด ทำให้มือเธอสั่นด้วยแรงโกรธอย่างยากที่จะควบคุม
“หลีกทาง!” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำอย่างสะกดอารมณ์
แต่ดูเหมือนน้ำเสียงแบบนี้ จะไม่สามารถทำให้ชายหนุ่มร่างผอมคนนี้จะไม่เกรงกลัวเลยสักนิด เขาเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ดวงตาวาววับแฝงความหมาย กลิ่นเบียร์จาง ๆ ที่เริ่มโชยเข้ามาแตะจมูกทำให้เธอรู้สึกสะอิดสะเอียน เมาตั้งแต่ตะวันไม่ตกดินเลยหรือไง เธอส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างระอา ก่อนจะนึกไปถึงพฤติกรรมของเขาก่อนหน้านี้
สำมะเลเทเมา ติดการพนัน เที่ยวผู้หญิง และอีกหลายอย่างที่เธอไม่รู้ ก่อนหน้าที่คุณลุงเตชสิทธิ์ของเธอยังไม่เสีย วรวุธไม่ค่อยได้เข้าออกบ้านหลังนี้บ่อยเท่าไหร่นักหรอก เหตุผลคือ คุณลุงเตชสิทธิ์ของเธอท่านไม่ค่อยชอบให้เขาเข้ามายุ่มย่ามในบ้านหลังนี้
แล้วตอนนี้ล่ะ ... เขาคงเข้าออกที่นี่ได้อย่างสบายเลยล่ะสิ
ขณะขบคิดเพียงตะวันก็ก้าวถอยหลังช้า ๆ แล้ว ดวงตาของเธอก็เบิกขึ้น เมื่อเดาใจชายคนนี้ได้ว่าจะทำอะไร เธอรีบเบี่ยงตัวหลบ แต่ก็ช้าไปเมื่อเขาเอื้อมมือมาคว้าข้อมือเธอไว้ได้ สัมผัสจากมือหยาบ ๆ นั่นทำให้เธอขยะแขยง
“ปล่อย!” เพียงตะวันบอกเสียงกร้าว พร้อมกับสะบัดข้อมืออย่างแรง
“แค่นี้เองน่า ทำเป็นหวงเนื้อหวงตัวไปได้ ดูสิ ไม่ได้เจอกันเสียนานผอมลงไปตั้งเยอะ” วรวุธ ลูบคางบอกอย่างยิ้ มๆ ใช้สายตาเพ่งมองร่างอรชรตรงหน้า ทรวดทรงองค์เอวนี่ไม่เบาเลย
“ไปให้พ้นเลยนะ!” กิริยาโลมเลียอย่างน่าเกลียดทำให้เธอทนไม่ไหวจึง ชี้หน้าไล่ให้เขาออกไป
วรวุธแสยะยิ้ม เรื่องอะไรเขาจะต้องทำตาม อาศัยช่วงที่คน อื่น ๆ ยังไม่กลับมา ขอใกล้ชิดสาวน้อยคนนี้ให้ชื่นใจสักครั้งเถอะ ดูสิ ตาแก่เตชสิทธิ์ก็ตายไปแล้ว คนในบ้านเขาก็สั่งห้ามไม่ให้ใครเข้ามายุ่มย่ามแถวนี้ จะมีใครหน้าไหนมาช่วยเธอได้อีก ว่าแล้วเขาก็ย่างสามขุมตรงดิ่งไปตะปบข้อมือสองข้างของเด็กสาวอย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่งขณะที่ป้าแก้วกำลังเดินถือถาดเครื่องดื่มกับของว่างมาทางนี้ เห็นมาลัยกับมะลิฝาแฝด กำลังทำท่าชะเง้อชะแง้มองเข้าไปที่สนามหญ้าหน้าบ้าน “แกสองคนมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ อะไรตรงนี้”
สองคนที่ถูกทักสะดุ้งโหยง ก่อนที่มาลัยแฝดผู้พี่จะลำล่ำละลักพูดออกมา อย่างมีพิรุธ “ปละ...เปล่า แล้วนี่ป้าจะเอาของว่างไปให้ใครเหรอ”
“เอาไปให้ใครมันก็เรื่องของข้า เอ็งสองคนมาขวางทางข้าทำไม หลีก!” ป้าแก้วบอกอย่างรำคาญ ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบสองพี่น้อง แต่มะลิรีบปราดเข้ามาขวาง
“ฉันถามว่าป้าจะไปไหน”
“ข้าจะเอาของว่างไปในหนูตะวันที่สนามหญ้า แกหลีกทางเดี๋ยวนี้!”
“คุณวุธสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ใครเข้าไปยุ่มย่าม ป้าเอาของไปเก็บเถอะ ฉันว่าหนูตะวันของป้าคงไม่ต้องทานแล้วมั้ง แค่นี้ก็อิ่มแล้ว” มาลัยพูดต่อจนจบ มะลิก็หัวเราะประสานเสียงร่วมคิกคักอย่างถูกใจ
สีหน้าของผู้สูงวัยมีแววตระหนก วรวุธสั่งห้ามอย่างนั้นหรือ ...หมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า... ดวงตาของคนสูงอายุเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อนึกถึงเด็กสาวอีกคน แสดงว่า สองคนที่ยืนขวางอยู่นี่รู้เห็นเป็นใจไปกับคุณวรวุธล่ะสิ
ป้าแก้วมองดูฝาแฝดพี่น้องที่ยืนลอยหน้าลอยตาขวางทางอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นึกเป็นห่วงหนูตะวันขึ้นมาอย่างครามครัน แต่เหมือน
ว่า นางจะไม่หมดหวังไปเสียทีเดียว เมื่อเสียงรถยนต์สองคันที่แล่นเข้ามาจอด ทำให้ป้าแก้วยิ้มออกมาโล่งอก พร้อมกับปรายตามองดูสองพี่น้องที่ค่อย ๆ หยุดเสียงหัวเราะลงจนเงียบสนิท
“เดี๋ยวแกสองคนก็จะรู้ ว่าใครกันแน่ที่จะไม่ต้องกินข้าวเย็นมันก็อิ่มได้” ว่าแล้วก็วางถาดของว่างลงบนเก้าอี้ตัวเปล่าที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ แล้วปราดเข้าไปหาร่างสูงในสูทหรูสีน้ำตาลที่ก้าวลงจากรถ ทิ้งให้สองพี่น้องมองหน้ากันด้วยสีหน้าหวาดหวั่นพลางกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อก
เด็กสาวในชุดนักเรียนมีสีหน้าเหยเกเพราะเจ็บจากการถูกบีบจากแรงเมือของวรวุธ เธอพบว่ายิ่งบิดข้อมือเขาก็ยิ่งบีบแรง จนเธอต้องเผลอครางออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอ้ย ปล่อย!” เธอร้องเสียงหลง
“ทำไมเธอถึงชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากนะ ตะวัน ไอ้การจะพูดคุยกันดี ๆ นี่ไม่ชอบใช่มั้ย ชอบแบบนี้ใช่มั้ย” วรวุธกัดฟันพูดอย่างเหี้ยมเกรียม โน้มใบหน้าลงมาใกล้ ๆ
เพียงตะวันเบี่ยงใบหน้าหลบอย่างตระหนก ความขยะแขยงในตัวผู้ชายคนนี้มีเพิ่มเป็นทวีคูณ กลิ่นเบียร์ที่ออกมาพร้อมกับลมหายใจอุ่น ๆ ทำให้เธออยากจะกลั้นใจตายไปเสียวินาทีนั้น
“หยุดนะ!” น้ำเสียงทุ้มเฉียบขาดดังขึ้น ทำให้ความตระหนกของเธอมลายหายไปในพริบตา ก่อนที่ความอบอุ่นจะแทรกชึมเข้ามาในหัวใจ
เพียงตะวันเงยหน้ามองเจ้าของเสียงที่ก้าวเข้ามา โดยมีป้าแก้วซึ่งมีสีหน้าห่วงใยเดินตามหลังร่างสูงมาติด ๆ
วรวุธจำต้องปล่อยมือบาง ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเสียดาย เขาเหลือบตามองไปด้านหลัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเสียงเมื่อครู่เสียงใคร เขากัดฟันบ่นเบา ๆ อย่างเสียอารมณ์ “มาขวางทำไมก็ไม่รู้”
คิ้วหนาสีน้ำตาลเข้มนั้นขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากบางได้รูปปิดสนิท บ่งบอกให้รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ใด ผู้มาใหม่ส่งสายตากร้าวจับจ้องที่ใบหน้าของวรวุธอย่างเอาเรื่อง จนเขาต้องรีบก้มหน้าก้มตาอย่างซ่อนความผิด ก่อนที่ผู้มาใหม่จะตวัดสายตามองผู้หญิงอีกคนที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” น้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างทรงอำนาจ ดวงตาสีน้ำตาลจ้องวรวุธเขม็งจนเจ้าตัวสะดุ้งเฮือก
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่เข้ามาทักทายตะวันเท่านั้น”วรวุธรีบแก้วตัวเป็นพัลวัน แต่ใบหน้าเคร่งขรึมที่มองมาทำให้สีหน้าของวรวุธสีซีดเผือดลง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ติณณ์” เสียงของสกาวใจดังพร้อมกับบุตรสาวทั้งสองคนรีบสาวเท้าเข้ามาสมทบ สกาวใจสวมใส่สุดสูทสีดำหรู เหลียวมองดูใบหน้าเคร่งขรึมที่จ้องเขม็งไปยังน้องชายของตัวเอง แล้วเหยียดสายตาไปมองเด็กสาวอีกคนที่ยืนนิ่ง อย่างพอจะเข้าใจเรื่องราวราง ๆ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น วุธ” เมื่อเห็นว่าทุกคนในที่เกิดเหตุยังคงเงียบกริบ คุณสกาวใจจึงหันหน้าไปถามน้องชายของเธอเอง
วรวุธเห็นว่าเข้าทางจึงรีบอธิบายปด ๆ “คุณพี่ครับ คือมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะ..ผมก็แค่”
“มีอะไรให้เข้าไปคุยกันในบ้าน” น้ำเสียงเฉียบขาดนั้นเอ่ยแทรกคำปดของวรวุธขึ้นมาอย่างรู้ทัน แล้วเจ้าของเสียงก็หันกายกลับเดินเข้าบ้าน โดยมีป้าแก้วที่โอบร่างของเพียงตะวันพาเดินตามไป ส่วนคุณสกาวใจได้แต่ตวัดสายตาดุ ๆ ไปที่น้องชายซึ่งสีหน้าเจื่อนลงตามลำดับ
.